บทที่ 72

วันต่อมา อู่เหมยได้มาถึงที่พักของถังหยิน

ดูเหมือนว่านางจะเสียใจกับการไปเขตปิงหยวนของถังหยินมากทีเดียว

หลังจากที่นั่งลงแล้ว นางจึงพูดอย่างจริงจัง “ถังหยิน เมื่อเจ้าไปถึงปิงหยวน เจ้าจะต้องระวังตัวเองให้ดี อย่าพยายามทำอะไรเกินหน้าเกินตา พวกมอร์ฟีสนั้นแตกต่างจากหนิงตรงที่พวกมันแสวงหาสงครามและการทำลายล้างตลอดเวลา พวกมันเจ้าเล่ห์และมากไปด้วยแม่ทัพเก่ง ๆ มากมาย ทุกครั้งที่พวกมันทำการโจมตี ก็มักจะตามมาด้วยการสูญเสียอยู่เสมอ”

ถังหยินนั่งฟังอย่างตั้งใจ

อู่เหมยเตือนเขาต่อ “ทหารม้ามอร์ฟีสนั้นเก่งกาจและคาดเดาไม่ได้ ทั้งยังมีความสามารถในการรบสูงยิ่งยวด”

คำพูดดังกล่าวทำให้เขาตกตะลึง ในความคิดของถังหยิน เขานั้นเข้าใจว่าทหารม้าของพวกโมเก่งที่สุดเสียอีก “แล้วถ้าให้เทียบกับแคว้นโมเล่า ?”

นางหัวเราะอย่างขมขื่น “ทหารม้าของพวกโมพึ่งพาความรวดเร็ว แต่ม้าของพวกมอร์ฟีสนั้นเน้นการต่อสู้ ถ้าหากทั้งสองปะทะกัน พวกโมจะต้องพ่ายแพ้แม้ว่าจะมีจำนวนที่มากกว่าก็ตาม”

ทรงพลังมาก ! สายตาของถังหยินแสดงออกถึงความเงียบงัน

เมื่อคิดว่าเขากำลังกลัว อู่เหมยจึงปลอบเขา “เจ้าไม่ต้องกังวลมากหรอก เมื่อเวลาผ่านไปสักพักเดี๋ยวเราจะไปหาเจ้าเอง เราไม่คิดว่าพวกหนิงจะทนได้นานนักหรอก อีกอย่างเราก็เชื่อว่าสงครามครั้งนี้จะจบลงด้วยความรวดเร็ว เมื่อถึงเวลานั้น เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อนำเจ้ากลับมายังเมืองหลวงให้ได้”

เขารู้สึกราวกับว่าในสายตาของอู่เหมยนั้น นางมองปิงหยวนเหมือนกับดินแดนคนตาย ถังหยินอยากจะบอกให้นางหยุดกังวลเพราะยังไงเสียเขาก็แค่ทำตามหน้าที่ แต่เมื่อเห็นสายตาของอู่เหมย ชายหนุ่มก็ได้แต่กลืนคำพูดที่คิดไว้ลงไป

ใครจะไปล่วงรู้เรื่องราวในอนาคตล่ะ ? ไม่ว่าจะเป็นสงครามที่จบลงหรืออะไรก็แล้วแต่ ทว่าด้วยการขัดขวางจากเหลียงซิง มันก็ไม่ง่ายเลยที่อู่เหมยจะพาตัวเขากลับมายังเมืองหลวงได้

เมื่อไม่อาจทำร้ายความหวังดีจากนางได้ ถังหยินจึงได้แต่ยิ้มออกมา “เจ้าไม่ต้องฝืนหรอก บางทีปิงหยวนอาจจะไม่น่ากลัวอย่างที่พูดก็ได้ บางทีข้าอาจจะคุ้นชินกับมันอย่างรวดเร็วก็ได้นะ”

นางมองชายหนุ่มอย่างสิ้นหวังและคิดกับตนเอง ช่างไร้เดียงสาเสียจริง ! ถ้าปิงหยวนมันไม่น่ากลัว พวกเขาคงไม่เปลี่ยนผู้ดูแลเป็นสิบ ๆ นายภายใน 10 ปีที่ผ่านมานี้หรอก !

อู่เหมยหัวเราะ “จำคำเราไว้ก็พอ ด้วยความสามารถของเจ้า มันจะไม่เป็นปัญหาแน่ในการปกป้องเขตนี้” สิ่งที่นางกังวลก็คือการกระทำของถังหยินมากกว่า นางลุกขึ้นและกล่าว “เราเอาของขวัญมาให้เจ้าด้วย มาดูสิ”

ถังหยินยิ้มให้กับนาง “อะไรหรือ ?”

เมื่อเขาเดินตามนางไปที่สวนหย่อมก็พบกับม้าที่ข้ารับใช้ของอู่เหมยนำมา

มันคือม้าสีดำร่างใหญ่กว่าม้าปกติทั่วไป ขนสีน้ำตาลสะท้อนแสงและเรียบเนียนสวย

เป็นม้าที่ดี ! ถึงแม้ชายหนุ่มจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับม้า แต่เขาก็บอกได้ทันทีเลยว่าเจ้านี่ต้องเป็นม้าที่สุดยอดแน่

อู่เหมยพูดอย่างจริงจัง “นี่คือม้ามังกรดำ ถิ่นกำเนิดของมันอยู่ที่แคว้นโม แต่เราซื้อมาจากพ่อค้าเมื่อ 2 ปีก่อนและยังไม่เคยขี่มันมาก่อนเลย ตอนนี้เมื่อเจ้าจะไปปิงหยวน เราก็เลยคิดว่าเจ้าคงต้องการใช้มันมากกว่าเรา”

ม้ามังกรดำเป็นม้าที่มีค่ามากในสายตาทุกคน ถ้าเกิดว่าถังหยินจะบอกว่าไม่ชอบก็คงบอกได้เลยว่าเขาโกหก แต่ของล้ำค่าแบบนี้จะให้เขารับมันมาเลยก็กระไรอยู่

ชายหนุ่มตะลึงสักพักก่อนจะส่ายหัว “ข้าขอรับน้ำใจเจ้านะ แต่ว่าสิ่งนี้…”

โดยไม่รอเขาพูดจบ อู่เหมยก็รีบตัดบทแล้วเดินเข้ามาเบื้องหน้าม้า “เจ้ายังพูดแบบนั้นอยู่อีกหรือ ?”

“อู่เหมย…” ถังหยินแทบไม่เคยเรียกชื่อนางเลย เพราะด้วยตำแหน่งที่แตกต่างกัน หากแต่ในครั้งนี้มันต่างออกไป

เขาไม่ใช่คนโง่ แน่นอนว่าเขาสัมผัสได้ถึงความรู้สึกของนางที่มีต่อเขา หากแต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจจะเก็บมันมาคิดฝันได้

“เจ้าจะตายไม่ได้นะ !” อู่เหมยตัวสั่นเทา นางเข้าไปกอดเขาไว้ ใบหน้าของหญิงสาวซุกเข้าไปที่หน้าอกของถังหยิน “อย่างน้อยก็ช่วยอยู่ให้รอดจนกว่าเราจะไปหาเจ้าด้วยเถอะ”

เสียงของนางยังคงดุดันเช่นเคย ทว่าถังหยินกลับรู้สึกว่ามันไม่เหมือนเคย

ถ้าเขาไม่เคยพบหยินโรว ก็คงไม่แน่ใจเหมือนกัน

เขาไม่อาจโกหกนางต่อไปได้อีกแล้ว

ชายหนุ่มยืนนิ่งและรู้สึกว่าหน้าอกของเขาเริ่มเปียกและร้อนจากน้ำตาของอู่เหมย

“มันมีชื่อไหม?” เขาไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไรดีจึงได้แต่เปลี่ยนหัวข้อคุยแทน

“ลู่อิง” อู่เหมยก้มหน้าอยู่สักพักก่อนที่จะสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นเช่นเดิม พร้อมกับน้ำตาที่หายไปราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ภายนอกของนางดูองอาจและเฉิดฉาย แต่ความจริงแล้วนางก็คือหญิงแกร่งที่ไม่อยากจะให้ใครอื่นมาเห็นด้านที่อ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับถังหยินที่ไม่อยากจะให้เขาได้เห็นน้ำตาของตน

“เป็นชื่อที่ดี” ถังหยินถอนหายใจ เขารู้สึกว่าหัวใจของเขากำลังเจ็บปวด หากแต่ก็ยังคงโอบรอบตัวอู่เหมยเอาไว้เช่นนั้น แต่ทว่าเมื่อยื่นแขนไปได้ครึ่งทาง เขาก็ตัดใจทิ้งแขนทั้ง 2 ข้างลง

ชายหนุ่มเดินทางออกจากที่นี่เพื่อไปเป็นผู้ว่าเขตปิงหยวน

คนที่ไปกับเขาก็คือชิวเจิ้น กู่เยว่ หลีเทียน หลีเหว่ย ซ่งเฉิง เฉินฟาง อัยเจียและเหล่าทหารอีกนับร้อยนาย

มีคนมากมายมายืนส่งพวกเขา และกว่าครึ่งเป็นทหารจากกองพันที่ 2

ถังหยินรู้สึกผิดหวังนิดหน่อยที่ไม่มีใครบางคนมาส่งเขา นอกจากนี้เองก็ไม่อาจโอกาสได้บอกลาหยินโรวด้วย

องค์หญิงคงไม่ได้เจอกับเขาอีก ถึงจะมีตำแหน่งแม่ทัพเจิ้นเป่ย แต่พระราชวังหลวงก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะเข้าออกได้บ่อย ๆ

“ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพแม่ทัพถัง !”

ไม่รู้ว่าใครตะโกนออกมาคนแรก แต่หลังจากนั้นทุกคนก็แห่ขานร้องออกมาพร้อมกัน “ขอให้โชคดีแม่ทัพถัง !”

ระหว่างเสียงโห่ร้องทุกคนก็เริ่มมีน้ำตาไหลออกมา

ถังหยินนั่งบนหลังม้าแล้วหัวเราะอย่างดัง ก่อนจะโบกมือให้กับทุกคน “พวกเจ้าจะร้องไห้กันทำไม ? นี่ไม่ใช่การจากไปของข้าเสียหน่อย สักวันโชคชะตาจะพาให้พวกเรามาพบพานกันเองแหละน่า !” พูดจบเขาก็ควบม้าหายไป

จากนั้นชิวเจิ้นและคนอื่น ๆ ก็รีบตามไป

พวกกองพลที่สองมองส่งพวกเขาไปจนลับสายตา

เขตปิงหยวนอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นเฟิง มันไกลจากเมืองหยานหลายพันลี้

เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลังจากที่เขาออกจากเมืองหลวงมา ถังหยินก็เริ่มชะลอม้าแล้วมองกลับไปยังเมืองหยาน

ชิวเจิ้นเดินเข้ามาแล้วบอกกับเขา “สักวันหนึ่งเราจะกลับมา”

ชายหนุ่มยิ้มให้กับเขา

ด้วยคณะเดินทางของชายหนุ่ม ทุกอุปสรรคก็ไม่อาจหยุดยั้งหรือชะลอการเดินทางของพวกเขาได้เลย เพียง 22 วัน พวกเขาก็มาถึงทางผ่านสวรรค์แล้ว

ตำแหน่งของที่นี่ไม่ต่างอะไรจากประตูหน้าด่านตงเลย มันเป็นพื้นที่ลาดเอียงและมีการป้องกันที่สูงมาก ป้อมปราการสามารถรับมือได้ทุกสภาพการสู้รบ แต่ด้วยความที่มันตั้งอยู่ในเขตแดนด้านในของแคว้นเฟิง ทำให้ไม่มีความสำคัญมากนัก

หลังจากผ่านประตูสวรรค์มาได้ ไกลออกไปทางทิศเหนือจะเป็นพื้นที่ของมณฑลเทียนหยวน

เมื่อเขาไปถึงอากาศก็เริ่มเย็นลง แม้จะเป็นยามเช้า หากแต่สภาพอากาศก็ยังคงเย็นยะเยือกไปถึงกระดูก ทำให้พวกเขาเริ่มใส่เสื้อผ้าที่หนาขึ้น

มณฑลเทียนหยวนนั้นประกอบไปด้วย 3 เขตย่อย อันได้แก่ เขตซานชุย เขตจี้เฟิง และเขตปิงหยวนที่ถังหยินจะต้องไปถึง

ชุนโจวคือเมืองที่เจริญและใหญ่ที่สุดในมณฑลเทียนหยวน มีอาณาเขตใหญ่กว่าเมืองหยานเสียอีก แต่ถ้าว่าด้วยเรื่องของประชาชนแล้วละก็ กลับน้อยกว่ามาก

ผู้ว่ามณฑลแห่งนี้คือ หยูเฮอ คนผู้นี้นับได้ว่าเป็นเจ้านายของถังหยิน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ทำตัวดีต่อชายหนุ่มและออกไปรับถังหยินกับทุกคนด้วยตัวเอง

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถังหยินก็ได้รับตำแหน่งแม่ทัพดูแลทิศเหนือ ถึงจะเป็นลูกน้องในนาม แต่ว่ากันตามตำแหน่งกลับไม่ทิ้งห่างกันมากนัก ยิ่งมีพื้นเพได้รับการแต่งตั้งจากท่านอ๋องด้วยแล้ว หยูเฮอก็ยิ่งไม่กล้าไปมีเรื่องด้วยเข้าไปใหญ่

หยูเฮอเป็นชายวัยราว ๆ 50 รูปร่างอ้วนและมีใบหูที่ใหญ่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยไขมัน บอกได้ชัดเลยว่าคนคนนี้มีชีวิตที่ดีมากทีเดียว

“แม่ทัพถัง ข้าได้ยินกิตติศัพท์เกี่ยวกับท่านมานานแล้ว ฮ่า ๆ ” เขาทักทายและต้อนรับอย่างอบอุ่น

ถังหยินเด็กเกินกว่าที่เขาจินตนาการไว้ เขาดูอายุราว ๆ 20 ปีเท่านั้น แต่กลับได้ตำแหน่งนี้มาครองแล้ว ในความคิดของหยูเฮอนี่มันผิดปกติมากเกินไปแล้ว

“ท่านหยู เป็นเกียรติที่ได้พบ”

ถังหยินตอบตามปกติ

ผู้ว่ามณฑลชวนถังหยินและทุกคนเข้าไปยังเรือนพักของเขา หลังจากนั่งลงแล้ว เขาก็เชื้อเชิญให้ถังหยินอยู่ที่นี่ “แม่ทัพถังคงจะเดินทางมาเหน็ดเหนื่อย ข้าว่าท่านควรจะพักที่นี่สัก 2-3 วันนะ”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ท่านหยู เมื่อเร็ว ๆ นี้มีสงครามในเขตปิงหยวนบ้างหรือไม่ ?”

ได้ยินแบบนี้หยูเฮอก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาทันที ไม่มีเวลาไหนในช่วงปีที่ปิงหยวนจะไม่มีการศึก เขาถูมือตัวเองเข้าด้วยกัน “มีบ้าง ในช่วง 2 วันที่ผ่านมามีหมู่บ้านแถวชายแดนถูกโจมตีจากพวกมอร์ฟีส มีผู้ล้มตายนับสิบ แต่ทว่ามันก็ไม่ใช่ศึกใหญ่อะไร”

เขาพูดตามปกติราวกับว่าคนตายไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือบางทีอาจเป็นเพราะอยู่มานานจนคุ้นชินแล้วก็ได้

“แล้วมีพวกศัตรูถูกจัดการไปบ้างหรือไม่ ?” ถังหยินขมวดคิ้ว

“ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้าไม่รู้เรื่องของเขตปิงหยวนมากนักหรอก” ชายร่างอ้วนตอบแห้ง ๆ

ได้ยินแบบนี้พวกชิวเจิ้นที่อยู่ด้านหลังก็ส่ายหัวด้วยรอยยิ้มประหลาด

เขตปิงหยวนถูกโจมตีบ่อยครั้ง แต่หยูเฮอผู้ว่ามณฑลกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วแบบนี้จะให้ใครที่ไหนไปรู้เรื่องอีกเล่า ?

นี่มันผู้ว่าแบบไหนกันนี่ ไม่แปลกใจเลยถ้าปิงหยวนจะมีสงครามตลอดเวลา !

ไม่ต้องสืบเสาะหาอะไรกันอีกแล้ว แค่มองหน้าตากับคำพูดของหยูเฮอก็รู้ได้เลยว่าเขาเป็นคนแบบไหน

ชายหนุ่มนั้นไม่ชอบคนแบบนี้เอาเสียเลย

เขายืนขึ้นและยิ้ม “ท่านหยู ข้าต้องรีบเดินทางต่อแล้ว คงไม่ขอรบกวนท่านก็แล้วกัน”

“แม่ทัพถังจะไปแล้วหรือ ? ”

ดวงตาของเขาเบิกกว้าง นี่เขาคิดว่าปิงหยวนเป็นสถานที่ที่สงบสุขหรือไงกัน ? ชายร่างอ้วนไม่เข้าใจเลยว่าทำไมชายหนุ่มถึงต้องรีบไปที่นั่น

“การรีบไปถึงที่หมายน่ะดีเสมอ แล้วเจอกันท่านหยู!” พูดจบถังหยินก็ไม่มองเขาแล้วเดินนำพวกชิวเจิ้นออกไปด้านนอก

“แม่ทัพถัง ข้าได้เตรียมงานเลี้ยงไว้ให้ท่านแล้วนะ…” ชายร่างอ้วนพยายามตะโกนไล่หลัง

ทว่าชายหนุ่มก็ได้ควบม้าแล้วไม่หันกลับไปมองอีกเลย

“หึ!” หลังจากพวกถังหยินออกไปแล้ว หยูเฮอก็บ่นพึมพำอย่างเย็นชา “เจ้าโง่เอ๊ย มาดูกันซิว่าเจ้าจะทำตัวเช่นนี้ไปได้อีกนานแค่ไหนกัน !”