ศิษย์ของปัญญาชน โดย ProjectZyphon

อู๋ยวนนายอำเภอหลงเฉวียนพาราชเลขาฝ่ายบุ๋นคนสนิทคนหนึ่งเดินออกจากจวนใหญ่สกุลหลี่บนถนนฝูลวี่ อู๋ยวนที่สวมชุดข้าราชการเดินไปเดินมาก็พลันหยุดยืนขาเดียว ก้มตัวลงถอดรองเท้าหุ้มข้อ เทกรวดซ้ายที่อยู่ด้านในออกมา ราชเลขาฝ่ายบุ๋นที่เกิดในตระกูลสูงศักดิ์เห็นภาพแบบนี้มาจนชินตาจึงไม่แปลกใจ เพียงแต่ว่าถนนฝูลวี่ในเวลานี้ครึกครื้นกว่าในอดีตมาก คนหนุ่มที่ยังมีฐานะเป็นขุนนางผู้น้อยชั่วคราวจึงรีบช่วยเจ้านายบังสายตาคนอื่น ขณะเดียวกันก็เอ่ยเบาๆ ว่า “เห็นๆ กันอยู่ว่าก่อนหน้านี้หลี่หงผู้นั้นยอมรับปากว่าจะช่วยเป็นผู้นำยอมถอยให้เรื่องสุสานเทพเซียนแล้ว ทำไมจู่ๆ ถึงเปลี่ยนใจกะทันหัน เขาไม่กลัวว่าจะทำให้ใต้เท้ารู้สึกว่าเขาเป็นคนที่ทั้งละโมบและขี้ขลาดหรอกหรือ?”

อู๋ยวนที่สีหน้าเหนื่อยล้ากล่าวอย่างจนใจ “เป็นไปได้ว่าหลี่เป่าเจินบุตรชายคนรองของหลี่หงไปสร้างชื่อเสียงอยู่ในเมืองหลวง ไม่แน่ว่าอาจหาที่พึ่งได้แล้วจึงส่งจดหมายกลับมาบ้านบอกห้ามไม่ให้หลี่หงกระทำการบุ่มบ่าม หรือไม่ก็เป็นเพราะบุตรชายคนโตที่เก็บตัวเงียบเตือนให้หลี่หงใช้ความนิ่งสยบความเคลื่อนไหว ล้วนบอกได้ยาก สรุปก็คือตอนนี้คนที่เดือดร้อนก็คือพวกเรา ช่วยไม่ได้ แผนการเดิมล้วนขึ้นอยู่กับอาจารย์ของข้า…เฮ้อ ไม่พูดแล้วๆ เรือล่องมาถึงท่าย่อมต้องจอดนิ่ง ไปดื่มเหล้ากัน ดื่มเหล้าต้มดอกท้อวสันต์สักสองไหก่อนแล้วค่อยว่ากัน ข้าเชื้อเชิญ เจ้าจ่ายเงิน จดบันทึกไว้ในบัญชีของคุณชายฟู่อย่างเจ้าก็แล้วกัน”

สำหรับเรื่องบัญชีเชื่อของผู้บังคับบัญชานี้ ราชเลขาฝ่ายบุ๋นแซ่ฟู่ชินชาซะแล้ว จึงแค่ถามด้วยความใคร่รู้ว่า “ในเมืองเล็กล้วนเล่าลือกันว่าตระกูลหลี่บนถนนฝูลวี่มีสองบุตรชายหนึ่งบุตรสาว ซึ่งหมอดูคนหนึ่งที่ทำนายดวงชะตาได้อย่างแม่นยำเคยขนานนามพวกเขาว่ามังกร กิเลนและหงส์งั้นหรือ?”

อู๋ยวนนวดคลึงซีกแก้มซูบตอบที่ค่อนข้างซีดเซียว ตอบกลั้วหัวเราะอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ “เรื่องพวกนี้เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? เมืองหลวงต้าหลีของพวกเรา คนที่อยากจะมีหน้ามีตา โดยเฉพาะพวกที่เกิดในตระกูลยากจนข้นแค้น ใครบ้างที่ไม่หวังสั่งสมชื่อเสียงอันดีงาม? ต่อให้เป็นตระกูลร่ำรวยก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ คำพูดของตระกูลฟู่พวกเจ้าที่บอกว่า ‘ทองมรกตสว่างเรืองรอง ของล้ำค่าดารดาษละลานตา’ เป็นจริงสักกี่ส่วน คนนอกอาจไม่รู้ แต่เจ้าฟู่อวี้น่าจะรู้ดีไม่ใช่หรือ?”

ฟู่อวี้ที่ถูกแฉเสียหมดเปลือกโมโหปรี๊ดทันที “ใต้เท้าอู๋ ท่านยังกล้ามีหน้ามาพูดถึงตระกูลฟู่พวกเราอีกหรือ?”

อู๋ยวนอารมณ์ดีทันตาเห็น หัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง ตบไหล่สหายรู้ใจ “พวกเราสองคนไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ หมาป่าและเป้ยสมคบคิดกัน”

ฟู่อวี้หัวเราะตามไปด้วย “ใช้คำว่ามีปณิธานตรงกัน รสนิยมเดียวกันจะน่าฟังกว่าหรือเปล่า?”

อู๋ยวนด่ากลั้วหัวเราะ “เกิดดัดจริตอะไรขึ้นมา? เป็นวิญญูชนจอมปลอมเหนื่อยจะตายไป เป็นคนถ่อยที่แท้จริงนี่แหละถึงจะสะใจ”

ฟู่อวี้ส่ายหน้ากล่าวด้วยน้ำเสียงเสียดาย “คำพูดประโยคนี้ของใต้เท้าอู๋ไม่ค่อยจะมีจุดยืนของตัวเองสักเท่าไหร่”

อู๋ยวนถอนหายใจหนึ่งที แล้วเปลี่ยนหัวข้อพูด “เริ่มคิดถึงภรรยาแล้วสิ”

ฟู่อวี้ยิ้มบางๆ “ใต้เท้านายอำเภอ หอโคมเขียวของอำเภอหลงเฉวียนพวกเราก็ควรจะยกเลิกข้อห้ามแล้วหรือไม่? สุรานารี มีแต่สุราก็ดูจะไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไหร่”

อู๋ยวนพยักหน้ารับ กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ในบรรดานักโทษของราชวงศ์สกุลหลูที่ถูกเนรเทศ สถานะของสตรีบางคนเหมาะสมพอดี แทนที่จะให้ไปทำงานยากลำบากเหนื่อยตายอยู่ในป่าเขา ไม่สู้มอบทางเลือกอีกอย่างหนึ่งให้กับพวกนาง แน่นอนว่าเรื่องนี้ไม่อาจบังคับฝืนใจกัน ต้องดูที่ความสมัครใจของตัวพวกนางเองเป็นหลัก ฟู่อวี้ หลังจากนี้เจ้าไม่ต้องคอยติดตามข้าไปให้คนค้อนตาดูแคลนใส่ทุกวันแล้ว เจ้ารับเรื่องนี้ไปทำ”

คราวนี้เป็นฟู่อวี้บ้างที่มีสีหน้าตะลึง ประโยคก่อนหน้านี้เขาก็แค่เสนอไปอย่างนั้นเอง จึงถามด้วยความสงสัย “เอาจริงหรือ?”

อู๋ยวนขยับคอเสื้อชุดข้าราชการ ตอบยิ้มๆ “มีอะไรจริงไม่จริงเล่า ภูเขาถูกบุกเบิกหลายลูกขนาดนั้น อนาคตคนที่จะมาอยู่อาศัยส่วนมากก็ต้องเป็นเทพเซียนบนภูเขา คิดจะรั้งตัวนายท่านใหญ่ที่สายตามองแต่ที่สูง ถุงเงินหนาใหญ่ ให้พวกเขาใช้จ่ายเงินมือเติบอยู่ในเมืองเล็กของพวกเรา จะอาศัยแค่ตำแหน่งนายอำเภอเล็กๆ ของข้าที่อีกไม่นานก็ต้องถูกปลดสถานะผู้ตรวจการ หรือว่าจะให้อาศัยเจ้าฟู่อวี้? เมื่อก่อนเคยได้ยินอาจารย์ของข้าเล่าให้ฟังว่า คนบนภูเขาที่หยิ่งยโสพวกนั้นมักจะไม่ค่อยสนใจความงามเพริศพริ้งของสตรีในโลกมนุษย์ เพราะเมื่อเทียบกับเทพธิดาที่ฝึกตนแล้ว ความต่างด้านในหนังหุ้มนั้นมีมาก ถ้าอย่างนั้นขอแค่สตรีล่างภูเขายังมีสถานะหลงเหลืออยู่ อย่างเช่นเป็นดั่งกิ่งทองใบหยกของแคว้นที่ล่มสลาย เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่ตระกูลล้มละลาย ก็พอจะมีความดึงดูดใจไม่มากก็น้อย สำหรับข้อนี้ พวกนักโทษกลุ่มนั้นของราชวงศ์สกุลหลู ไม่ขาด”

ฟู่อวี้แค้นเคืองด้วยรู้สึกไม่เป็นธรรม “ราชสำนักคิดจะแต่งตั้งขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาคนใหม่ในเวลาเช่นนี้ หากไม่ได้คิดจะเก็บเกี่ยวดอกผลจะเป็นอะไรไปได้อีก? สองเดือนมานี้ใต้เท้าต้องเดินเท้าไปทั่วภูเขาหกสิบกว่าลูก คอยติดตามพวกจิ้งจอกเฒ่าปากร้ายพวกนั้นปรึกษาหารือเรื่องขุดดินปลูกสร้างศาลเทพอภิบาลเมืองของอำเภอไปจนถึงเลือกสถานที่สำหรับสร้างศาลเจ้าบุ๋นบู๊สองแห่ง ช่วงก่อนหน้านี้ยังต้องไปวัดที่และเตรียมไม้ให้พร้อม จากนั้นก็มาจัดการเรื่องชาวบ้านสกุลหลูที่ลี้ภัย จะเรื่องน้อยเรื่องใหญ่ต้องทำเองหมด มีวันไหนบ้างที่ได้นอนเกินสามชั่วยาม? ทีนี้กลับดีนัก พวกตาแก่ในราชสำนักแค่ขยับปากไม่กี่ที ก็เท่ากับว่าใต้เท้าอู๋ทำงานไม่ดีแล้ว? ไม่แน่ว่าเรื่องที่สี่แซ่สิบตระกูลสร้างความลำบากใจให้ท่านอาจเป็นเพราะได้รับคำสั่งจากคนบางคนในราชสำนัก! พวกเขาต้องการให้อนาคตที่ยิ่งใหญ่ของใต้เท้าเริ่มต้นขึ้นที่อำเภอหลงเฉวียน แล้วก็ต้องจบลงที่อำเภอหลงเฉวียน!”

น่าจะเป็นเพราะฟู่อวี้รู้สึกว่าคำพูดประโยคสุดท้ายฟังดูอัปมงคลเกินไป แล้วก็เกินจริงไปมาก จึงพูดใหม่อย่างไม่สบอารมณ์ดังเดิม “อย่างน้อยก็ต้องไม่ให้ใต้เท้าได้ควบคุมหนึ่งกรมสำเร็จก่อนอายุห้าสิบ ได้แต่ต้องท่องคาถาอดทน ค่อยๆ อดทนจนกว่าจะไปถึงตำแหน่งสูงของหนึ่งกรม”

อู๋ยวนเผยอริมฝีปากที่แห้งผาก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

ฟู่อวี้พลันหัวเราะ อู๋ยวนจึงหันหน้ากลับไปมอง “นึกถึงเรื่องอะไรที่ทำให้อารมณ์ดีได้รึ?”

ฟู่อวี้พยักหน้ารับ “อำเภอหลงเฉวียนนี้ของพวกเรา แม้สถานที่จะเล็ก แต่เมื่อเทียบกับเมืองหลวงที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ข้ากลับชอบที่นี่มากกว่า เหล้าต้ม ขนมหวาน และซาลาเปาเนื้อช่วงเช้าตรู่ของทุกวัน ขอแค่นึกอยากกินก็สามารถเดินไปซื้อได้ด้วยตัวเอง ไปกลับอย่างมากสุดก็แค่หนึ่งชั่วยาม บางครั้งที่จิตใจวุ่นวายไม่สงบก็ไปนั่งที่เพิงร้านเหล้า สั่งสุรามาหนึ่งชั่ง ข้าฟู่อวี้ก็สามารถนั่งอย่างสงบได้หนึ่งชั่วยามโดยที่ไม่มีคนคอยมาตีสนิทเรียกคุณชายฟู่ให้รำคาญหู จากนั้นก็สั่งเนื้อเต้าเจี้ยวถ้วยเล็กหนึ่งถ้วย ผักดองมาอีกหนึ่งจาน อยากให้ชีวิตเป็นอย่างนี้ตลอดไปจริงๆ ดังนั้นตอนนี้ข้าจึงอยากจะทำผลงานที่ดีๆ อยู่ที่นี่ ต่อให้ลำบากแค่ไหนข้าก็ไม่กลัว”

อู๋ยวนอืมรับหนึ่งที “หากเอาแต่นอนเสวยสุขรอให้คนดันขึ้นฟ้า ถ้าอย่างนั้นเป็นขุนนางจะมีความหมายอะไร? ยังไงก็ต้องทำอะไรเป็นจริงเป็นจังเพื่อชาวบ้านบ้าง เจ้าเก่งกว่าข้า เพราะข้ามีชาติกำเนิดยากจน รู้ดีว่าพวกชาวบ้านร้านตลาดและชาวป่าชาวเขามีชีวิตอยู่ไม่ง่าย แต่เจ้าคือคุณชายสูงศักดิ์ตระกูลฟู่ที่เป็นขุนนางกันมาหลายรุ่นหลายสมัย สามารถคิดแบบนี้ได้ ทำให้ข้าแปลกใจอย่างมาก”

คนทั้งสองเดินเคียงบ่ากันไป

ฟู่อวี้กล่าวอย่างจนใจ “แต่ปัญหาก็มาแล้ว เจ้าทำดี แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าชาวบ้านจะเห็นความดีของเจ้า ในหนังสือประวัติศาสตร์ ขุนนางที่ทำงานเก่ง บุกเบิกแสวงหาหนทางสู่ความก้าวหน้าให้แก่สถานที่หนึ่ง สุดท้ายกลับถูกด่าไม่เหลือดี ต้องจากไปด้วยความเศร้าหมอง มีน้อยนักหรือ? หนึ่งร้อยปีหรือหลายร้อยปีให้หลัง เมื่อราชสำนักมารู้ตัวภายหลัง ถึงเวลานั้นก็เหลือเพียงแค่บทกวีบทเพลงสรรเสริญเยินยอ จะมีประโยชน์กับผายลมอะไร”

อู๋ยวนส่ายหน้า “คิดอย่างนี้ไม่ถูก ทำงานก็คือทำงาน ความตั้งใจเดิมของเจ้าก็คือทำเรื่องที่ตัวเองภาคภูมิใจ ส่วนข้อที่ว่าทำไปแล้วชาวบ้านจะรับน้ำใจหรือไม่ ราชสำนักจะยอมรับหรือไม่ ตอนนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องคิดถึงเรื่องพวกนี้ คิดมากไปก็มีแต่จะทำให้ตัวเองหงุดหงิดใจ คิดส่งเดชก็ยิ่งอาจทำให้หมดสิ้นปณิธานความฮึกเหิม ลัทธิขงจี๊อของพวกเราไม่เหมือนกับลัทธิเต๋าที่แสวงหาในตบะสูงต่ำ ไม่เหมือนกับลัทธิพุทธที่สืบเสาะหาว่าแดนสุขาวดีอยู่ไกลเพียงใด…”

ฟู่อวี้ถอนหายใจ

อู๋ยวนยังพูดต่อเหมือนคุยกับตัวเอง “ในสามลัทธิ ลัทธิเต๋าเน้นย้ำในความสะอาดบริสุทธิ์ เป็นเรื่องของคนคนเดียว ฟ้าถล่มดินทลาย ขอแค่ข้ามีชีวิตอมตะก็เพียงพอแล้ว ไม่สนใจในชาติหน้า กลับสนใจเพียงหนังหุ้มกายในชาตินี้ เพราะจำเป็นต้องอาศัยเรือนกายนี้ไปพิสูจน์มหามรรคา เดินไปให้ถึงปลายทางของสะพานแห่งความอมตะ เล่าลือกันว่าลัทธิพุทธมีแบ่งหีนยานและมหายาน หีนยานนั้นคล้ายคลึงกับลัทธิเต๋า แต่มหายานกลับบอกกล่าวแก่คนธรรมดาทั่วไปว่า ชีวิตนี้ยากลำบากชาติหน้าเสวยสุข มอบอุดมคติที่ยิ่งใหญ่ให้แก่ผู้คน มีเพียงลัทธิขงจื๊อของพวกเราที่ใกล้ชิดกับทางโลกมากที่สุด พัวพันลึกล้ำที่สุด อีกทั้งยังมีสภาวะยากลำบากอย่าง ‘ใกล้เกินไปก็กลายเป็นลามปามไม่นับถือ ไกลเกินไปก็กลายเป็นห่างเหินไม่พอใจ’ ยิ่งมีความรู้มาก มีตบะมากกลับยิ่งเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า มักจะรู้สึกว่าแค่ยืดขาเงยหน้าก็สัมผัสโดนกำแพงแห่งกฎเกณฑ์แล้ว ยกตัวอย่างเช่นวัตุประสงค์ในการเรียนรู้ที่อาจารย์ของข้าเป็นผู้เสนอ เน้นย้ำความรู้ แต่ให้ความสำคัญกับผลงานยิ่งกว่า หวังว่าจะสามารถกำจัดพวกปัญญาชนคร่ำครึถากถางสังคมเหล่านั้นออกไปได้ คล้ายคลึงกับการจัดระเบียบตระกูล ต้องเผชิญกับศัตรูทั่วทุกหนแห่ง ย่อมยากจะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนชิงชังผลักไส”

อู๋ยวนส่ายหน้าพูด “ความคิดของท่านอาจารย์นั้นดี แต่ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่ควรให้สุดโต่งเกินไปนัก อีกทั้งทุกคนล้วนมีความเคยชิน มีความเป็นไปได้ว่าหลังจากผ่านยุคเจริญรุ่งเรืองไปหนึ่งร้อยปี ในช่วงเวลาห้าร้อยปี หนึ่งพันปีต่อมา เนื่องจากบัณฑิตยังคงตรากตรำเล่าเรียนตำราแห่งปราชญ์ แต่ละคนจึงยังคงความภูมิฐานผ่าเผย แต่เมื่อมาถึงท้ายที่สุด จุดประสงค์ของพวกเขากลับไม่ใช่เพื่อ ‘ปลูกฝังกลิ่นอายแห่งความซื่อสัตย์เที่ยงธรรม’ ตามคำกล่าวของอริยะอีกต่อไป ตอนนี้ยังดี สร้างคุณธรรม สร้างคุณความชอบ ถ่ายทอดคำสั่งสอน สามสิ่งนี้ล้วนไม่เสื่อมในลัทธิขงจื๊อ วิญญูชน นักปราชญ์ อริยะต่างก็ยังแสวงหาคำว่า ‘คุณธรรม’ แต่หากวัตุประสงค์ในการเรียนรู้ของท่านอาจารย์กลายมาเป็นบรรทัดฐานแห่งคุณธรรมใต้หล้า นั่นก็ไม่เท่ากับว่าดึง ‘สร้างคุณความชอบ’ ให้ต่ำลงหรอกหรือ? นานวันเข้ากลายเป็นว่าบัณฑิตคือคนที่ดูแคลนการบ่มเพาะคุณธรรมมากที่สุด แค่อ่านอักษรไม่กี่คำ เปิดหนังสือไม่กี่หน้าก็เหมือนว่าจะได้เหรียญทองแดงมาหลายเหรียญแล้ว หากเป็นแบบนี้ นี่จะเป็นสภาพการณ์ที่น่ากลัวแค่ไหนกัน”

ฟู่อวี้ตะลึงงันไปก่อน จากนั้นสีหน้าก็แปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เอื้อมมือไปบีบแขนของอู๋ยวน กดเสียงลงต่ำ “อู๋ยวน! คำพูดพวกนี้เจ้าห้ามพูดกับอาจารย์ของเจ้าเด็ดขาด ห้ามเด็ดขาด! เจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกลมปราณ ไม่ใช่ผู้ฝึกตน ไม่รู้ถึงความโหดร้ายของการช่วงชิงกันบนมหามรรคา เพียงคำพูดที่เกิดจากความไม่ตั้งใจคำเดียว เพียงการกระทำที่ไม่มีเจตนาครั้งเดียวก็สามารถชักนำหายนะถึงแก่ชีวิตมาสู่ตัวได้!”

อู๋ยวนตบหลังมือของฟู่อวี้ หัวเราะเสียงแหบพร่า “แน่นอนว่าข้าย่อมไม่มีความกล้านี้ อีกอย่างด้วยความรู้และสติปัญญาของอาจารย์ข้า อาจเป็นข้าเองที่คิดผิดไป คิดตื้นเขินเกินไป ท่านอาจารย์ย่อมไม่เห็นดีเห็นงามกับความคิดนี้ของข้า”

ฟู่อวี้ปล่อยมือออก “เจ้าห้ามหลุดปากพูดเด็ดขาดเชียว ไม่อยากเห็นว่าวันใดเจ้ากลายเป็นเหมือนซ่งอวี้จางที่อยู่ดีๆ ก็…”

ฟู่อวี้ไม่พูดต่อ พูดมากไปอาจนำภัยมาสู่ตัว

อู๋ยวนจึงเปลี่ยนหัวข้อพูด “หากวันหน้าข้าเดินทางผิด ไม่ว่าเวลานั้นข้าอู๋ยวนเป็นขุนนางใหญ่โตแค่ไหน ฟู่อวี้ เจ้าจำไว้ว่าต้องด่าข้าซึ่งๆ หน้า ทางที่ดีที่สุดคือด่าจนข้าคืนสติ”

“วางใจเถอะ ถึงเวลานั้นข้าก็รับรองว่าไม่ต้องพูดอะไรให้มากความก็จะประเคนฝ่ามือแก่เสนาบดีอู๋ทันที”

“เสนาบดีของหกกรมหรือ แค่ขุนนางหลักขั้นสองเท่านั้น เล็กเกินไปๆ”

“ไม่เล็ก เจ้าคิดดูนะ รอวันใดที่ต้าหลีของพวกเรายึดครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปไว้ได้ เสนาบดีของหกกรมยังเป็นตำแหน่งเล็กอีกหรือ? ข้าว่าผู้ช่วยเสนาบดีก็ใหญ่มากพอแล้ว เอาเป็นว่าใต้เท้าอู๋ ข้าบอกไว้ก่อนเลยนะว่า ข้าคนนี้นอกจากจะถนัดเสนอความคิดเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ถนัดตัดสินใจเรื่องอะไรทั้งนั้น ดังนั้นข้าจะติดตามเจ้าไปตลอดชีวิตนี้นี่แหละ วันหน้าหากเจ้าเป็นเสนาบดี ก็ยกตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดีให้ข้า เป็นไง?”

บัณฑิตสองคนที่อยู่ในวงการขุนนางเดินหัวเราะกลับไปยังจวนที่ว่าการอำเภอ

ในจวนตระกูลหลี่มีบัณฑิตชุดเชียวผู้หนึ่งหยิบหนังสือขึ้นมาใหม่อีกครั้ง กล่าวพร้อมยิ้มๆ บางว่า “เกี่ยวกับเรื่องการทำผลงานนั้น เจ้าอู๋ยวนไม่ได้คิดผิด แต่คิดตื้นไปจริงๆ”