บทที่ 67 นัดต่อสู้กับชางหลาง

เทพสังหาร ยุทธการระห่ำ

บทที่ 67 นัดต่อสู้กับชางหลาง Ink Stone_Fantasy

เย่เทียนเฉินอยากจะหายอดฝีมือของโลกนี้เพื่อต่อสู้ด้วยมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นยอดฝีมือพรรควรยุทธโบราณก็ดี หรือผู้แข็งแกร่งจากโลกพลังพิเศษก็ดี ที่สำคัญคือต้องการใช้การต่อสู้ระหว่างพวกเขากระตุ้นพลังพิเศษในร่างกายของตนเอง กระตุ้นแก่นพลังในสมองให้ตื่น และทะลวงไปสู่ขอบเขตพลังพิเศษที่สูงยิ่งขึ้น

การต่อสู้อันบ้าคลั่งกับอู๋เสวี่ยที่เป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของเมืองหลวงทำให้ขอบเขตพลังพิเศษของเย่เทียนเฉินสามารถยกระดับจากระดับราชันขึ้นไปสู่ระดับจอมราชัน หากไม่ใช่เพราะเหตุนี้ การที่เย่เทียนเฉินจะเอาชนะอู๋เสวี่ยและเถี่ยฉุยก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เช่นนั้น อย่างไรก็ตามต่อมาเย่เทียนเฉินพบว่า หากต้องการที่จะยกระดับขอบเขตพลังพิเศษอีกครั้ง ไม่สามารถอาศัยเพียงการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างหนึ่งคนสองคนได้อีกต่อไป หากต้องการยกระดับขอบเขตพลังพิเศษขึ้นทุกหนึ่งขั้น สิ่งที่จำเป็นนอกเหนือไปจากการใช้แก่นพลังในสมองที่ถูกกระตุ้นและพลังพิเศษที่รวบรวมจากชีพจรในร่างกายทุกนิ้วมาทำการทะลวงแล้ว ผู้มีพลังพิเศษยังต้องมีความเข้าใจร่างกายของตนและธรรมชาติอย่างลึกซึ้งมากพอจึงจะทำได้

ตอนที่เย่เทียนเฉินต่อสู้กับเถี่ยฉุยที่บ้านตระกูลเย่ ต้องใช้ความสามารถของขอบเขตพลังระดับจอมราชันถึงจะทำให้เถี่ยฉุยถอยได้ ตอนนั้นเย่เทียนเฉินรู้สึกได้ถึงพลังพิเศษในร่างกายของตนที่แม้จะเดือดพล่านขึ้นมา แต่ก็ยังห่างไกลกับแนวโน้มที่จะปะทุจนทะลวงไปสู่อีกขอบเขตหนึ่ง ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่า หากต้องการที่จะทะลวงอีกครั้งหนึ่ง จำเป็นต้องต่อสู้ให้บ้าคลั่งและดุเดือดยิ่งขึ้น

อีกทั้งตั้งแต่ชาติก่อนที่เป็นยุคสมัยอันดำมืดและเต็มไปด้วยกลิ่นคาวเลือด เป็นยุคที่คนกินคน ต้องต่อสู้อยู่ตลอดเวลา ทำให้ในสมองและโลหิตของเย่เทียนเฉินเต็มไปด้วยเซลล์แห่งการต่อสู้ตั้งนานแล้ว ชีวิตในเมืองที่น่าเบื่อนี้ หากมีการต่อสู้ดุเดือดบ้าคลั่งบ้างเป็นบางครั้งก็นับว่าไม่เลวทีเดียว

“อะไรนะ? สนใจขึ้นมาแล้วเหรอ?” ชางหลางเห็นว่าในที่สุดเย่เทียนเฉินก็กระตือรือล้นขึ้นมาจึงกล่าวถามด้วยรอยยิ้ม

“สนใจนิดหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนต่างชาติพวกนั้นฝีมือเป็นยังไง”

“นอกเหนือจากนี้ฉันก็ไม่รู้ แต่ว่าดูจากข่าวกรองในช่วงหลายปีมานี้ของประเทศจีนของพวกเรา ประเทศmมีหน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจอยู่ทีมหนึ่ง คนพวกนั้นทุกคนต่างก็แข็งแกร่ง ความสามารถด้านพลังพิเศษก็ร้ายกาจเป็นอย่างมาก อีกทั้งหลายปีมานี้ หน่วยพลังพิเศษเฉพาะกิจของประเทศm มีสมาชิกเพิ่มขึ้นไม่ขาด พวกเราสงสัยว่าจะมีคนกำลังทดลองเบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของมนุษย์…” ชางหลางกล่าวต่อเนื่อง

เย่เทียนเฉินชะงักไปครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงเลยว่าโลกแห่งนี้จะมีคนเริ่มการทดลองเบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของมนุษย์แล้ว อีกอย่างจากคำพูดของชางหลาง เห็นได้ชัดว่าเทคโนโลยีทางด้านนี้ของต่างประเทศพัฒนาไปไกลกว่าประเทศจีนมาก ที่ประเทศจีนนั้นยังไม่มีนักวิทยาศาสตร์ที่สามารถทำการเบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของคนธรรมดาได้ ดังนั้นผู้มีพลังพิเศษทางฝั่งนี้ล้วนมีพลังมาแต่กำเนิด

ผู้มีพลังพิเศษแบ่งเป็นผู้มีพลังมาแต่กำเนิดและผู้ที่มีพลังภายหลัง จุดนี้เย่เทียนเฉินรู้นานแล้ว ในชาติก่อนก็มีองค์กรที่เบิกแก่นพลังพิเศษในสมองของคนธรรมดาเช่นกัน เนื่องจากภายในสมองของมนุษย์ทุกคน ล้วนมีส่วนที่ลี้ลับอยู่ ภายในสมองส่วนนี้ จะมีสิ่งหนึ่งที่มีขนาดใหญ่เท่ากับนิ้วโป้ง ลักษณะคล้ายถั่วลิสง นั่นก็คือแก่นพลังพิเศษ เมื่อถูกกระตุ้นก็จะทำให้ผู้คนสามารถมีพลังพิเศษขึ้นมาได้ เพียงแต่โอกาสเช่นนั้นมีน้อยมาก หลายคนที่ชั่วชีวิตไม่สามารถถูกกระตุ้นแก่นพลังพิเศษจนมีพลังพิเศษขึ้นมาได้ นี่ก็คือผู้ที่มีพลังพิเศษภายหลัง

ผู้มีพลังพิเศษแต่กำเนิด ก็มีความหมายตามชื่อเรียก นั่นก็คือพอเกิดมาก็มีพลังพิเศษอยู่แล้ว คนประเภทนี้ถูกเรียกว่าอัจฉริยะ ชาติก่อนเย่เทียนเฉินเคยพบกับผู้มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งมากคนหนึ่ง เป็นเด็กอายุสิบสามปี แข็งแกร่งหาที่เปรียบ และชั่วร้ายหาที่เปรียบ เด็กชายคนนี้เป็นผู้มีพลังพิเศษมาแต่กำเนิด เกิดมาก็มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเป็นอย่างมากแล้ว ความอภิรมย์ที่สุดของเขาก็คือจับคนมีเจาะเปิดรูที่หัวทั้งๆ ที่ยังมีชีวิต ขุดมันสมองข้างในออกมา ทำให้เหยื่อหวาดกลัวจนตาย

ในปีนั้น เย่เทียนเฉินได้สู้กับเด็กชายวัยสิบสามปีคนนี้จนสั่นสะเทือนไปทั่วโลกของผู้มีพลังพิเศษ การต่อสู้ครั้งนั้นเป็นการต่อสู้ครั้งเดียวที่เย่เทียนเฉินกระตุ้นพลังพิเศษระดับพระเจ้าภายในร่างกายออกมาทั้งหมดและไปสัมผัสกับขอบเขตต้องห้าม เนื่องจากเด็กชายผู้ชั่วร้ายคนนี้ไม่เพียงแต่มีพลังพิเศษที่แข็งแกร่งเกินพิกัด แต่ยังเป็นยอดฝีมือที่ครอบครองพลังสายธาตุสายฟ้าอีกด้วย การขยับทุกท่วงท่าต่างก็มีสายฟ้าปะทุออกมา เขามีกระทั่งพลังในการเคลื่อนสายฟ้าที่อยู่บนท้องฟ้าได้ มีอำนาจสั่งการสายฟ้า นั่นเป็นการต่อสู้ที่เย่เทียนเฉินลำบากที่สุด และทำให้เขารู้ว่า ผู้มีพลังพิเศษทุกระดับและทุกสาย ต่างก็ไม่อาจดูเบาได้ ขอเพียงยกระดับพลังในสายนั้นนั้นให้ถึงระดับสุดยอด ก็จะมีอำนาจถล่มสวรรค์ทลายปฐพี

การต่อสู้ครั้งนั้น เย่เทียนเฉินไม่สามารถฆ่าเด็กชายวัยสิบสามปีผู้ชั่วร้ายคนนั้นได้ แต่ก็ทำให้เขาบาดเจ็บสาหัสและทำลายพลังพิเศษในร่างกายของเด็กชายคนนั้น ทำให้เขายากที่จะทะลวงไปได้ นับว่าเป็นการทำความดีแก่คนธรรมดาในชาติก่อนที่เอาตัวรอดไปวันๆ

“ผมก็สนใจไปเที่ยวต่างประเทศสักรอบนะครับ เพียงแต่ผมไม่อาจวางใจเรื่องพ่อแม่และน้องสาวของผมได้ ถ้าตระกูลลั่วและตระกูลฉินลงมือกับพวกเขาจะทำยังไง?” เย่เทีนยเฉินถอนหายใจ

“นายวางใจได้ ช่วงที่นายไปทำภารกิจ ฉันชางหลางขอรับประกันกับนายด้วยเกียรติ์ของทหาร หากมีใครกล้าแตะต้องคนของตระกูลนายแม้แต่น้อย ฉันจะรับผิดชอบเองทั้งหมด” ชางหลางกล่าวอย่างจริงจัง

ชางหลางเองก็เข้าใจดีว่า ถ้าต้องให้เย่เทียนเฉินคนนี้ไปทำภารกิจอย่างเต็มใจและยินดี ก็จำเป็นต้องจัดการกับความกังวลใจของเขา เพียงแต่เมื่อคิดว่าคนคนนี้เพิ่งจะปลดประจำการจากกองทัพกลับไป ก็ไปหาเรื่องยุ่งยากขนานใหญ่มาเสียแล้ว ชางหลางอยากจะอัดชายคนนี้สักหลายๆ ครั้ง ตอนนี้ก็ต้องให้เขาไปตามเช็ดก้นให้เย่เทียนเฉินแล้ว

เพียงแต่ชางหลางจนถึงตอนนี้ก็ไม่มีหนทางอื่นอีก เขารับรองกับกับหัวหน้าของเขาหยางอี้ซึ่งเป็นรองประธานคณะกรรมาธิการทหารไปแล้วว่าเย่เทียนเฉินสามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้ ชายคนนี้เป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการปฏิบัติภารกิจนี้มากที่สุดในหมู่คนที่เขารู้จัก ชางหลางจึงทำได้เพียงเดิมพันข้างเย่เทียนเฉิน

“งั้นผมมีข้อเรียกร้องสามข้อ” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้อเรียกร้องสามข้อ? นายนี่ได้คืบจะเอาศอกใช่ไหม? นายเป็นใครกัน? เป็นพ่อค้าใชไหม? นี่เป็นภารกิจ เป็นคำสั่ง เข้าใจรึเปล่า?” เถี่ยฉุยโกรธจนหันมาคำรามลั่น

“จะตกลงหรือไม่ก็แล้วแต่พวกคุณ ผมจะไปหรือไม่ไปก็ได้ทั้งนั้น ถึงผมจะอยากไปลองฝีมือของยอดฝีมือที่ต่างประเทศพวกนั้นนิดหน่อย แต่เมื่อเทียบกับชีวิตเอ้อระเหยอิสระในประเทศ ก็ยังรู้สึกทุกข์ใจอยู่บ้าง” เย่เทียนเฉินยักไหล่ พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ไอ้หนูนายอย่าเรียกร้องอะไรให้มันเกินไปนัก นายล่วงเกินตระกูลฉิน เมื่อกี้หากไม่ใช่เพราะฉัน เกรงว่านายคงเดินออกมาไม่ได้แล้ว ถือว่าช่วยชีวิตนายไว้ครั้งหนึ่ง คนเราต้องรู้จักตอบแทนบุญคุณ” ชางหลางรีบเปิดปากพูด

เย่เทียนเฉินอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา แม้ว่าเขาจะเป็นคนเข้มงวดคนหนึ่ง แต่ก็เป็นคนไม่สนโลกเช่นกัน การใช้ชีวิตก็ควรจะเป็นเช่นนี้ เวลาที่ควรจริงจังก็ต้องจริงจัง เวลาที่ควรเล่นก็เล่น โดยเฉพาะประโยคเมื่อสักครู่นี้ ทำให้ชางหลางที่เป็นคนไม่มีอารมณ์ขันมาโดยตลอดลนลานขึ้นมา นี่ทำให้เย่เทียนเฉินรู้สึกน่าขำอยู่บ้าง

“ไม่จำเป็น เรื่องของตระกูลฉินผมสามารถจัดการเองได้ คุณเข้ามาวุ่นวายพอดี ทำให้แผนของผมยุ่งไปหมดเลย” เย่เทียนเฉินกล่าวอย่างไม่รู้จักดีชั่ว

“ไอ้หนูนาย…”

“หนึ่งเรื่องแลกหนึ่งเรื่อง จะต้องแยกให้ชัดเจน บอกมาเถอะ จะตอบรับข้อเรียกร้องทั้งสามข้อของผมไหม?” เย่เทียนเฉินกล่าวขัดคำพูดของชางหลาง

ครั้งนี้ชางหลงมาหาตนเองเพื่อที่จะมอบหมายภารกิจปกป้องข้อมูลลับ ชางหลางเป็นใคร มีสถานะอย่างไร เย่เทียนเฉินทราบเป็นทราบดี ดังนั้นเขาจึงอยากจะยื่นข้อเรียกร้องสักหน่อย แม้ว่าตนเองจะไม่มีอะไรที่ต้องการ แต่ก็สามารถช่วงชิงมาให้พ่อแม่และน้องสาวได้สักหน่อยไม่ใช่หรือ

“ลองพูดมาสิ?” เจอกับเย่เทียนเฉิน ทำให้ชางหลางรู้สึกมึนๆ เบลอๆ เสียจริง จึงกล่าวถามออกมาอย่างระมัดระวัง

ในสายตาของชางหลาง เย่เทียนเฉินเป็นประหลาดคนหนึ่ง ชายคนนี้เวลาที่จริงจังก็ฆ่าคนราวผักปลา ราวกับเทพแห่งความตายก็มิปาน ใครก็ไม่อาจขวางกั้นการก้าวเดินของเขาได้ ในยามเล่นสนุก ก็ไม่ต่างอะไรจากคุณชายเสเพลไร้การศึกษาเลย ความชั่วช้ามานย์ก็ยังคงมีในตัวเขา ช่างทำให้ผู้คนอับจนคำพูดจริงๆ

“ข้อแรก พ่อของผมเป็นเลาขาธิการอยู่ที่เมืองh ให้เปลี่ยนมาเรียนที่โรงเรียนพรรคคอมมิวนิสต์ได้ไหมครับ? ข้อสอง ผมอยากจะปล่อยคนคนหนึ่งออกมาจากคุกของเมืองหลวง ชื่อของเขาคือหยางไห่ ข้อสาม หลังจากที่ผมกลับมา ผมอยากประลองกับคุณสักครั้ง และความว่าคุณจะลงมือเต็มที่” เย่เทียนเฉินกล่าวกับชางหลางด้วยรอยยิ้ม

เงื่อนไขสองข้อแรกของเย่เทียนเฉิน อาจจะยังอยู่ในความคาดหมายของชางหลาง แต่เงื่อนไขข้อที่สามของเขา ไม่คิดเลยว่าจะเป็นการประลองกับตนเอง ทำให้เขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“เย่เทียนเฉิน ไอ้หนูอย่างนายจะไม่โอหังไปหน่อยเรอะ ถึงกับกล้าบอกว่าจะสู้กับนายพลชาง เบื่อชีวิตแล้วใช่ไหม?” เถี่ยฉุยที่ขับรถอยู่ เมื่อได้ยินเงื่อนไขทั้งสามข้อที่เย่เทียนเฉินพูดขึ้นมา ก็พลันกล่าวออกมาอย่างโมโห

เถี่ยฉุยมีชางหลางเป็นแบบอย่างในใจ เป็นบุคคลที่ไม่อาจดูหมิ่นได้ มีฐานะเป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีน ฝีมือแข็งแกร่งเป็นออย่างมากดูเหมือนจะไม่มีใครรู้และไม่มีใครกล้าท้าทายฝีมือชางหลาย เย่เทียนเฉินถึงกับกล้าเอ่ยปากว่าต้องการสู้กับชางหลาง ในความถึงของเถี่ยฉุยเป็นการไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ ต่อให้เย่เทียนเฉินจะพอมีฝีมือ ก็ไม่อาจเป็นคู่ต่อสู้ของชางหลางได้โดยสิ้นเชิง นี่คือความคิดของเถี่ยฉุย

“เงียบน่า ขับรถของคุณไปดีๆ เถอะ ระวังว่าขับรถไม่ดีผาดโผนไปมา จะถูกเปลี่ยนตัวเอาได้” เย่เทียนเฉินพูดกับเถี่ยฉุย

ตอนนี้เอง ชางหลางที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็จริงจังขึ้นมาพลางมองเย่เทียนเฉินอย่างพิจารณา แม้ว่าเขาจะมองความสามารถของเย่เทียนเฉินไม่ออก แต่เขารู้ว่าฝีมือของเย่เทียนเฉินไม่อ่อนแอ ทั้งเถี่ยฉุยก็บอกเขาว่าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลังกับเย่เทียนเฉินและไม่อาจเอาชนะได้ นี่ทำให้ชางหลางอดไม่ได้ที่จะตกใจ เถี่ยฉุยเป็นลูกน้องหมายเลขหนึ่งของเขา ฝีมือไล่ตามตนเองที่เป็นสามนักรบราชันของจีนได้ ถึงขนาดลงมือเต็มที่แล้วยังไม่สามารถทำให้เย่เทียนเฉินพ่ายแพ้ได้ ทำให้เขาไม่กล้าที่จะเชื่อ

“นายแน่ใจนะว่าอยากจะสู้กับฉัน?” ชางหลางกล่าวถามเสียงเข้ม

“ใช่ครับ ผมรู้ว่าคุณแข็งแกร่งมาก เลยอยากจะลองดูสักหน่อยว่าตกลงแล้วคุณแข็งแกร่งขนาดไหน ถ้าเป็นไปได้ คุณอาจจะอัดผมจนจมูกเขียวหน้าช้ำได้ แต่ก็เป็นไปได้ว่าผมอาจจะอัดคุณจนตาเขียว…” เย่เทียนเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มสบายๆ

หากตอนนี้มีคนนอกได้ยินคำพูดของเย่เทียนเฉินจะต้องงตกใจจนคางหลุดเป็นแน่ คนที่กล้าพูดกับชางหลางซึ่งเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งในสามนักรบราชันของจีนว่าจะอัดให้ตาเขียว มีเพียงเย่เทียนเฉินคนเดียวเท่านั้นที่กล้าพูดคำนี้ออกมา

“ฮ่ะๆ ดี ผู้กล้าน้อย ถ้าหากนายสามารถสำเร็จภารกิจและมีชีวิตรอดกลับมาได้ ฉันจะสู้กับนาย” ชางหลางพลันกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มกว้าง

“คำไหนคำนั้น ถ้าแพ้ก็อย่าร้องไห้ขี้มูกโป่งแล้วกัน!”

ได้ยินคำพูดยั่วเย้าของเย่เทียนเฉิน ชางหลางก็อยากจะอัดได้หนุ่มนี่แรงๆ สักยก ตนเองเป็นใคร? เป็นทหาร เป็นหนึ่งในสามราชันนักรบของจีน เป็นชายชาตรีที่หลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตามาตั้งนานแล้ว เย่เทียนเฉินถึงกับพูดคำว่าร้องไห้ขี้มูกโป่งออกมา ทำให้ชางหลางอยากจะพุ่งไปประเคนหมัดให้เย่เทียนเฉินสักหลายๆ หมัดจริงๆ

…………………………………………..