บทที่ 38

ใบหน้าของเครย์ลีบันที่ขมวดคิ้วแน่นนั้นมีสีหน้าราวกับคนโดนประกาศบอกเลิก

“นี่ อาจารย์”

“ถ้าข้ายังด้อยความสามารถเกินกว่าจะช่วยคุณหนูได้ เช่นนั้นข้าจะพยายามให้มากขึ้นนะครับ ข้าจะเรียนรู้ให้มาก จะสั่งสมประสบการณ์เพิ่มครับเพราะฉะนั้นได้โปรดคิดทบทวนใหม่อีกครั้งเถอะครับ”

ใบหน้ายิ้มแย้มเมื่อครั้งก่อนก็เหมือนกัน แต่ครั้งนี้นี่มันช่างแตกต่างจากเครย์ลีบันคนที่เธอรู้จักมากจริงๆ

เครย์ลีบันไม่เคยลดศักดิ์ศรีของตัวเอง ไม่ว่าจะอยู่ต่อหน้าใครหน้าไหน

ยิ่งไปกว่านั้น แม้แต่ต่อหน้าท่านปู่เอง ก็ยังคงรักษาท่าทางเย่อหยิ่งไม่เป็นมิตรจนเธอคิดว่านี่เขาเป็นแบบนั้นอยู่ตลอดเลยหรือเปล่า

เอาจริงๆ มันน่าตกใจมาก

เธอเอ่ยถามเพื่อย้ำให้แน่ใจ เพราะมันแทบไม่น่าเชื่อ

“เพราะงั้นก็คือ นี่บอกว่าจะช่วยข้าเหรอคะ”

“เปล่าครับ ขออนุญาตให้ข้าได้คอยช่วยเหลือคุณหนูต่างล่ะครับ”

“ทำไมกันล่ะ”

ฟีเรนเทียหลุดความคิดในใจออกไปโดยไม่รู้ตัว

นี่เธอลงมือทำเรื่องใหญ่ลงไปจนขนาดทำให้เครย์ลีบันออกตัวแบบนี้เลยเหรอ

ไม่สิ

เธอเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบเพราะกลัวคนอื่นๆ จะจับสังเกตหรือให้ความสนใจด้วยซ้ำ

แต่เครย์ลีบัน เพลเลสคนนั้น ทำไมถึงได้มีท่าทางแบบนี้ให้เห็นกันล่ะ

เครย์ลีบันขมวดคิ้วมองเธอที่ยืนเหม่อลอยพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะเอ่ยตอบ

“เพราะข้าเห็นโอกาสความเป็นไปได้ของคุณหนูครับ”

“ความเป็นไปได้ที่ว่านั่น หมายถึงในอนาคตข้าน่าจะเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ฉลาดเหรอคะ”

“เปล่าครับ”

เครย์ลีบันส่ายศีรษะ

“หมายถึงโอกาสที่จะช่วยชีวิตลอมบาร์เดียแห่งนี้เอาไว้ได้ครับ”

ความรู้สึกเหมือนถูกแทงเข้าที่จุดอ่อน

ถึงแม้เธอตั้งใจจะวิ่งต่อไปด้วยคำมั่นสัญญากับตัวเอง ว่าในอนาคตเธอจะกลายเป็นเจ้าตระกูล และจะต้องช่วยตระกูลที่แสนงดงามแห่งนี้จากเงื้อมมือของเบเจอร์ให้ได้แต่ความคิดนั่นมันไม่เคยหลุดออกมาจากปากใครเลยสักคน

เธอจัดการสีหน้าของตัวเอง เปลี่ยนมันกลับมาเป็นใบหน้าใสซื่ออีกครั้ง แล้วถามกลับไป

“อาจารย์จะบอกว่า ตอนนี้ตระกูลของพวกเรากำลังตายลงไปเหรอคะ”

คำถามของเธอทำให้เครย์ลีบันร้องหาพระเจ้า ก่อนจะรีบแก้ไขคำพูดให้ถูกต้อง

“ยังครับ ท่านเจ้าตระกูลยังคงดำรงตำแหน่งได้อย่างมั่นคงอยู่ แต่ว่า…”

เครย์ลีบันที่ตั้งใจจะอธิบายอะไรยืดยาว จู่ๆ ก็ตัดประโยค แล้วหันมาจ้องเธอและหัวเราะอ่อนระโหยพลางเอ่ยตอบ

“ทดสอบข้าอีกแล้วสินะครับ คุณหนู”

เครย์ลีบันก็พูดกับเธอด้วยน้ำเสียงราวกับไม่เหลือความสงสัยใดๆ อีกแม้แต่น้อย

“คุณหนูเองก็ทราบอยู่แล้วไม่ใช่หรือครับ”

เครย์ลีบันยิ้มจาง

อา คราวนี้ไม่โดนหลอกแฮะ

ฟีเรนเทียยักไหล่หนึ่งครั้งอย่างช่วยไม่ได้พลางเอ่ยพูด

“จะปล่อยให้เบเจอร์ขึ้นเป็นเจ้าตระกูลลอมบาร์เดียคนถัดไปแบบนี้ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะคะ”

เธอตั้งใจเรียกชื่อเบเจอร์ตรงๆ แทนที่จะเรียกว่าท่านลุง

ถึงอย่างไรนอกจากชานาเนสแล้ว เธอก็ไม่รู้สึกถึงความรักความผูกพันทางสายเลือดจากพวกพี่น้องของท่านพ่ออยู่แล้ว เรียกแบบนี้จะสบายใจกว่า

เครย์ลีบันเองก็ดูจะไม่สนใจเรื่องนั้นเลยเหมือนกัน

ท่าทางกลับดูยินดีเสียด้วยซ้ำ ที่เธอตีความคำพูดของเขาได้อย่างแม่นยำและทะลุปรุโปร่ง

“คุณหนูจะต้องเป็นอนาคตของลอมบาร์เดียครับ”

“เหตุผลคืออะไรคะ”

“เรื่องนั้น แน่นอนว่าเพราะเบเจอร์ ลอมบาร์เดีย ไม่เหมาะสมที่จะเป็นเจ้าตระกูล…”

“ไม่ค่ะ ไม่ใช่เรื่องนั้น”

เธอตัดคำพูดของเครย์ลีบัน

“อย่างที่อาจารย์บอก ข้าโตขึ้นแล้วสืบทอดตำแหน่งเจ้าตระกูลย่อมดีกว่าให้เบเจอร์กลายเป็นเจ้าตระกูลอยู่แล้วละค่ะ แค่ที่ข้าอยากรู้มันไม่ใช่เรื่องนั้น”

ฟีเรนเทียยิ้มหวานเหมือนที่เคยทำเป็นประจำ

“ข้าถามว่า มีเหตุผลอะไรให้ข้าต้องเชื่อในตัวอาจารย์ แล้วเก็บอาจารย์ไว้ข้างกายข้าด้วยล่ะคะ”

“เรื่องนั้น…”

เป็นครั้งแรกที่เครย์ลีบันมีท่าทางลังเล

เธอไม่ได้เร่งรัดอะไร

แค่นั่งอยู่เฉยๆ รอให้เครย์ลีบันค่อยๆ ใช้เวลาเรียบเรียงความคิด

“เดิมทีข้ามาจากตระกูลดิลลาร์ดครับ”

นั่นคือคำแรกที่ดังออกมาจากปากที่เปิดออกอย่างระมัดระวัง

“โรมาเชีย ดิลลาร์ด คนรับผิดชอบดูแลกลุ่มการค้าลอมบาร์เดียในปัจจุบัน เป็นบิดาของข้าครับ”

ความจริงเธอรู้ตั้งแต่เมื่อชาติก่อนแล้วแต่คนที่รู้เรื่องนี้มีจำนวนน้อยมาก

เรียกได้ว่ามีเพียงแค่ผู้นำตระกูลใต้บังคับบัญชาตระกูลอื่นที่มีสายสัมพันธ์อันดีต่อกันเท่านั้น

โรมาเชีย ดิลลาร์ด ไม่เคยยอมรับอย่างเป็นทางการเลยแม้แต่ครั้งเดียวว่ามีบุตรนอกสมรส

เครย์ลีบันเองก็ไม่เคยบอกความจริงว่าตัวเองเป็นบุตรชายของโรมาเชีย

เธอเองก็แค่บังเอิญไปรู้เข้าในระหว่างที่ช่วยงานท่านปู่เท่านั้นเอง

แถมตอนนั้นท่านปู่ยังสั่งให้เธอปิดปากเงียบอีกด้วย

ขนาดทราบอยู่แล้วว่าเธอไม่ใช่คนประเภทที่ชอบไปเล่าเรื่องอะไรให้คนอื่นฟัง แต่ก็ยังย้ำแล้วย้ำอีกอยู่หลายครั้ง

สำหรับเครย์ลีบันแล้ว ความจริงที่ว่าเขาเป็นบุตรนอกสมรสที่ถูกเลี้ยงดูอยู่ภายใต้เงามืด มันเป็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่ในศักดิ์ศรีของเขา ที่ไม่อาจลบเลือนให้จางหายไปได้

แต่คนคนนั้นกลับบอกความลับของตัวเองออกมาให้เธอได้รับรู้อยู่ในขณะนี้

“ตอนที่บรรลุนิติภาวะ บิดาของข้าต้องการให้ข้าย้ายออกไปจากลอมบาร์เดียครับ เพราะได้ให้ความช่วยเหลือมามากพอแล้วเขาสั่งให้เข้าไปเป็นข้าราชการในวัง หรือไม่ก็ย้ายออกไปอาศัยในเมืองอื่นเสีย แต่ข้าก็เลือกที่จะเข้ามาในตระกูลลอมบาร์เดียแห่งนี้ และเหตุผลนั้นก็คือ”

นัยน์ตาสีฟ้าของเครย์ลีบันมองสบสายตาของเธอ

“เป็นเพราะความจงรักภักดีของข้าเกี่ยวกับลอมบาร์เดียแห่งนี้มันมากเหลือเกินครับ มากยิ่งกว่าตระกูลดิลลาร์ด มากยิ่งกว่าใคร”

และเขาพูดต่อราวกับทวงความยุติธรรมให้ตัวเอง

“แต่ถึงอย่างนั้น ก็ไม่ใช่ว่าข้ายังหลงเหลือเยื่อใยอะไรให้ตระกูลดิลลาร์ดหรอกนะครับ ข้าก็เพียงแค่อยากจะหลุดพ้นจากดิลลาร์ด สร้างอาณาเขตของตัวเอง และคอยรับใช้ลอมบาร์เดียด้วยวิธีการของข้าเท่านั้นเองครับ แต่ว่า…”

เครย์ลีบันขมวดคิ้วเข้มได้รูปแน่น ดูเหมือนจะนึกถึงอะไรบางอย่างที่เขารู้สึกไม่ชอบใจจริงๆ ก่อนจะเอ่ยพูดต่อ

“ข้าเคารพท่านเจ้าตระกูลจากใจจริง แต่เรื่องเลี้ยงดูบุตรนี่…ย่ำแย่มากจริงๆ ครับ”

ฟีเรนเทียเองก็ทำได้แค่ยอมรับเหมือนกัน

เพราะบุตรชายทั้งสามคนไม่มีใครได้เรื่องเลยสักคน และคนที่ดูพอจะมีโอกาสเป็นเจ้าตระกูลได้ก็มีแค่ชานาเนสที่ดันเป็นลูกสาว

“โดยเฉพาะเบเจอร์ที่ทำตัวราวกับได้รับการแต่งตั้งให้เป็นเจ้าตระกูลแล้ว ในกะโหลกของเจ้านั่นคงจะมีแต่ขี้แทนสมอง…”

เครย์ลีบันตั้งใจจะด่าสาปส่งด้วยคำพูดหยาบคาย ก่อนจะลอบสังเกตเธอ แล้วรีบเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว

“เพราะฉะนั้นข้าถึงได้ตั้งใจว่าจะคอยทำงานช่วยเหลือลอมบาร์เดียก็แค่เฉพาะยามที่ท่านเจ้าตระกูลยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น แต่ก็คิดเผื่อไว้ถึงได้มารับผิดชอบหน้าที่สอนหนังสือดู ผลลัพธ์ที่ได้ก็อย่างที่คาดไว้…แต่ข้าก็ได้พบคุณหนูครับ”

เครย์ลีบันมองเธอด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเทิดทูนจนกักเก็บเอาไว้ในนัยน์ตาคู่นั้นไม่อยู่ พลางเอ่ยพูดอย่างจริงจัง

“ถึงแม้ข้าจะได้แค่พูด และยังไม่ได้ทำอะไรสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันแต่ข้ามั่นใจครับว่าความภักดีของข้าที่มีต่อลอมบาร์เดียนั้นไม่น้อยไปกว่าใคร”

ที่จริงเธอตกใจเล็กน้อย

เครย์ลีบันที่มักจะเย็นชาดั่งน้ำแข็งอยู่เสมอ กลับมีความรักในตระกูลลอมบาร์เดียมากขนาดนั้น

แต่ก็นะ คงเป็นเพราะแบบนี้ ทันทีที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลกลุ่มการค้าลอมบาร์เดีย เขาถึงได้ทำให้กิจการต่างๆ เติบโตขึ้นอย่างบ้าคลั่ง ราวกับรอคอยจังหวะนี้อยู่แล้ว

อาจจะฟังดูแปลกไปหน่อย แต่เธอเอาแต่เห็นภาพของตัวเองในอดีตซ้อนทับกับภาพของเครย์ลีบันที่เป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย

ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าคงไม่มีวันได้รับการยอมรับเพราะชาติกำเนิดของตัวเอง แต่ก็ยังพยายามอย่างสุดความสามารถด้วยความรักที่มีต่อลอมบาร์เดีย

เธอตัดสินใจในที่สุด ก่อนจะเปิดปากพูด

“สาเหตุที่จนถึงตอนนี้อาจารย์ยังไม่ประสบความสำเร็จ ก็เป็นเพราะไม่ได้รับโอกาสยังไงล่ะคะ”

คำพูดของเธอที่เอาแต่ฟังอยู่เงียบๆ ไม่พูดอะไร ทำให้เครย์ลีบันเบิกตากว้าง

“แต่ตอนนี้มันต่างไปแล้วละค่ะ ถึงแม้จุดเริ่มต้นจะเป็นแค่ร้านขายเสื้อผ้าร้านเดียวก็ตาม แต่ธุรกิจของท่านพ่อจะสร้างจุดเริ่มต้นของการเคลื่อนไหวที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน อาจารย์เองก็ทราบดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอคะ”

“ถ้าอย่างนั้นเหตุผลที่คุณหนูส่งท่านแคลอฮันมาหาข้าก็…”

“คิดว่าทั้งสองท่านคงจะเป็นพาร์ตเนอร์ที่เข้ากันได้ดีค่ะ ทั้งท่านพ่อทั้งอาจารย์เองก็จะได้ทำอะไรตามที่ใจอยากด้วย”

“อา…”

เครย์ลีบันหลุดอุทานเสียงแผ่วเหมือนเสียงคราง

ฟีเรนเทียเอ่ยถามเครย์ลีบันอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“คิดว่าจะรับมือไหวมั้ยคะ”