ตอนที่ 183 หิมะที่ทำให้รู้สึกทุกข์ทรมาน / ตอนที่ 184 แพทย์แผนจีนวัยรุ่น

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 183 หิมะที่ทำให้รู้สึกทุกข์ทรมาน

 

 

อวี๋กานกานซดน้ำซุปไปหนึ่งคำ พูดด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เมื่อวานฉันกะจะไปพิสูจน์ แต่กลับทำให้ฉันได้รู้ว่าเขากำลังสืบเรื่องของฉันกับอาจารย์อยู่ ฉันไม่รู้ว่าเขาต้องการจะทำอะไร แต่เขาบอกกับฉันว่าเขาไม่ทำร้ายฉันกับอาจารย์ อีกทั้งเขาเองก็อยากจะตามหาอาจารย์ให้พบ แต่เขาก็ไม่ยอมบอกเหตุผลกับฉัน”

 

 

มีความเป็นไปได้สูงที่เหตุผลนี้จะเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของอาจารย์

 

 

ซ่งฉาไป๋ตกตะลึง เธอนิ่งค้างไปนานกว่าจะเรียกสติคืนกลับมาได้ “เขาสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์? แต่ไม่ได้มีจุดประสงค์ร้าย บวกกับการที่เขาบอกว่าเขาเป็นสามีของเธอ ถ้างั้นเป็นไปได้ไหมที่เป้าหมายของเขาคือต้องการอยู่กับเธอ”

 

 

อวี๋กานกานหัวเราะเหอะๆ “ฉันไม่คิดว่าฉันจะมีเสน่ห์เหลือร้ายอะไรขนาดนั้นนะ”

 

 

ซ่งฉาไป๋แสร้งทำเป็นคว่ำปากด้วยความอิจฉา พูดเหน็บแนม “เธออย่าดูถูกตัวเองไปเลย ถึงแม้เธอจะไม่สวยเท่าฉัน แต่เสน่ห์ของเธอร้ายกาจกว่าฉันเยอะ”

 

 

“จ้าๆ เธอสวยที่สุด”

 

 

“ไม่ใช่อะไรนะ ฉันว่าเธอเป็นคนที่มีดวงชะตามหัศจรรย์ ไม่ว่าจะประสบพบเจอเรื่องเลวร้ายอะไรเธอก็มักจะเปลี่ยนเป็นเรื่องดีได้เสมอ ดูอย่างอุบัติเหตุรถยนต์เธอก็ได้สามีมาหนึ่งคน ดวงปลาคาร์ฟปกปักรักษาแท้ๆ ไม่แน่นะเมื่อก่อนเธออาจจะเคยหว่านเสน่ห์ใส่ฟังจือหันก็ไว้ได้ เพียงแต่ว่าเธอลืมไปแล้ว แต่ฟังจือหันหลงหัวปักหัวปำ”

 

 

ซ่งฉาไป๋นั่งเท้าคาง อมยิ้มกรุ้มกริ่ม

 

 

อวี๋กานกานเห็นรอยยิ้มของซ่งฉาไป๋แล้ว รู้สึกเขินอายเล็กน้อย “ช่างเถอะ ฉันรู้สึกว่าฉันกับเขาเราอยู่กันคนละโลก”

 

 

“ทำไมจะไม่ใช่โลกใบเดียวกัน เธอไม่อยู่โลกหรือเขามาจากต่างดาวล่ะ”

 

 

“เธอเนี่ยนะยิ่งพูดยิ่งออกทะเล”

 

 

“เอาล่ะๆ พวกเราไม่ต้องพูดเรื่องนี้กันแล้ว ที่จริงเธอจะคิดมากไปทำไม เดี๋ยวก็ต้องไปปักกิ่งแล้วนี่ กว่าจะกลับมาก็อีกหนึ่งเดือน ฉะนั้นเรื่องของเดือนหน้าก็ไว้เดือนหน้าค่อยมาว่ากันใหม่”

 

 

ซ่งฉาไป๋เป็นคนไม่คิดมาก เธอรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมาใส่ใจ ชีวิตคนเราถ้ามัวแต่คิดเล็กคิดน้อยคงเหน็ดเหนื่อยน่าดู

 

 

อวี๋กานกานรู้สึกว่าซ่งฉาไป๋พูดได้เยี่ยม เธอมั่นใจว่าฟังจือหันจะไม่ทำร้ายเธอแน่นอน อีกทั้งยังช่วยตามหาอาจารย์ด้วย แค่นี้ก็เพียงพอแล้วนี่ เมื่อคิดได้แบบนี้แล้ว หมอกควันที่ปกคลุมอยู่ภายในใจของอวี๋กานกานก็มลายหายไปในทันที

 

 

วันเวลาที่แน่นอนในการเดินทางไปปักกิ่งอวี๋กานกานไม่ได้บอกกับฟังจือหัน เขียนเพียงโน้ตแผ่นหนึ่งทิ้งเอาไว้

 

 

หลินจยาอวี่ไปส่งอวี๋กานกานที่สนามบิน ระหว่างทางไปสนามบิน อวี๋กานกานถามถึงเรื่องลูกว่าเธอจะวางแผนทำอย่างไรต่อไป

 

 

“ยังไม่ได้ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะทำยังไง เธอเคยบอกไว้ไม่ใช่เหรอว่าอายุครรภ์แค่ประมาณหนึ่งเดือนเศษ ฉันว่ายังพอมีเวลาให้คิดทบทวน น่าจะช่วงที่เธอกลับจากปักกิ่ง ฉันถึงตัดสินใจได้”

 

 

จู่ๆ อวี๋กานกานก็รู้สึกอยากจะคลี่ยิ้มออกมา สิ่งของประเภทเดียวกันจะอยู่รวมกลุ่มกัน นิสัยคล้ายกันถึงจะสามารถกลายมาเป็นเพื่อนกันได้ “ไม่ว่าเธอจะตัดสินใจยังไง ฉันอยู่ข้างเธอเสมอนะ”

 

 

หลินจยาอวี่ให้กุญแจอวี๋กานกานหนึ่งดอก “นี่เป็นกุญแจห้องฉันที่ปักกิ่ง อย่างไรเสียมันก็ว่างอยู่ เธอไปพักเถอะ”

 

 

อวี๋กานกานรีบส่ายมือปฏิเสธ “ไม่ดีมั้ง ฉันว่าพักหอพักที่สมาคมจัดเตรียมไว้ให้ดีกว่า”

 

 

หลินจยาอวี่ยัดกุญแจใส่มือของอวี๋กานกาน “เอาไปเถอะ ถึงไม่ได้ไปอยู่ก็เก็บไว้ เผื่อเหลือเผื่อขาด”

 

 

หากจะปฏิเสธต่ออีกก็คงไม่ดี อวี๋กานกานจึงเก็บกุญแจใส่กระเป๋า เธอมาถึงปักกิ่งตอนบ่าย อากาศที่ปักกิ่งหนาวเป็นพิเศษ ประจวบเหมาะกับหิมะแรกของฤดูหนาวที่กำลังโปรยปรายลงมาอย่างพอดิบพอดี เกล็ดหิมะเริงระบำพลิ้วไหว ทิวทัศน์ถูกปกคลุมด้วยอาภรณ์สีขาว ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะแห่งความสุข

 

 

ทุกคนชอบหิมะ แต่อวี๋กานกานเกลียดหิมะ เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่จำความได้เธอก็เกลียดหิมะมาก เพราะหิมะมักจะให้ความรู้สึกทุกข์ทรมานแก่เธอ

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 184 แพทย์แผนจีนวัยรุ่น

 

 

เธอเองก็ไม่รู้ว่าทำไม ตั้งแต่ที่จำความได้เธอก็เกลียดหิมะมาก เพราะหิมะมักจะทำให้เธอรู้สึกทุกข์ทรมาน เธอมักจะฝันอยู่บ่อยๆ เหตุการณ์ในความฝันเป็นวันที่หิมะตก ท่ามกลางหิมะมีเด็กผู้ชายคนหนึ่งอายุประมาณสิบสามสิบสี่ขวบ มองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัดเจน รู้สึกได้เพียงว่ามีสีแดงเต็มไปหมด สีของเลือดและหิมะตัดกันอย่างแสบสันสะดุดตา

 

 

เด็กคนนั้นเอาแต่ตะโกนใส่เธอ “รีบวิ่ง รีบวิ่ง…”

 

 

น่าจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ที่ทำให้เธอเกลียดหิมะ

 

 

……

 

 

สมาคมแพทย์แผนจีนเมืองไป๋หยางและปักกิ่งร่วมกันจัดงานสัมมนาครั้งนี้ขึ้น หนึ่งเพื่อแลกเปลี่ยน สองเพื่อการศึกษา ระยะเวลาหนึ่งเดือน สถานที่จัดคือเมืองปักกิ่งซีเหมิน

 

 

อวี๋กานกานต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าคอนโดมิเนียมของหลินจยาอวี่ที่ปักกิ่งอยู่ใกล้กับสมาคมมาก นั่งรถแท็กซี่ไปสิบกว่านาทีก็ถึงแล้ว แต่เธอยังคงยึดมั่นว่าจะพักในหอพักของมหาวิทยาลัย เพราะเธอไม่อยากทำตัวโดดเด่นเหนือคนอื่น แต่เธอหารู้ไม่ว่าเธอโดดเด่นเหนือคนอื่นตั้งแต่ได้เข้าร่วมงานสัมมนาครั้งนี้แล้ว

 

 

ในตอนที่อวี๋กานกานเดินทางไปถึง ห้องโถงที่ใช้รายงานตัวแน่นขนัดไปด้วยผู้คนเป็นที่เรียบร้อย เธอแอบกวาดตามอง มีหลายท่านที่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านแพทย์แผนจีนของเมืองไป๋หยางและปักกิ่ง เป็นบุคคลทรงอิทธิพลในวงการแพทย์แผนจีน

 

 

สมาคมจัดงานสัมมนาเป็นประจำ เรียนเชิญแพทย์แผนจีนในประเทศที่มีชื่อเสียงโด่งดัง หากว่างโดยปกติแล้วพวกเขาก็จะเข้าร่วม แต่ต่อให้ไม่ว่างพวกเขาก็จะส่งลูกศิษย์ที่ภาคภูมิใจที่สุดเข้าร่วมแทน

 

 

แพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการสืบต่อความรู้ การวินิจฉัยอาการป่วยที่มีความซับซ้อน หากไม่วิเคราะห์ให้ลึก เทียบเคียงโดยใช้ตำราโรคไข้เพียงเล่มเดียว นั่นเป็นเรื่องยากที่จะรักษาได้อย่างตรงจุด

 

 

ในตอนที่อวี๋กานกานเดินเข้ามาในงาน มีคนมากมายชำเลืองตามามองเธอ แต่พวกเขาไม่ได้ให้ความสนใจอะไรมาก พูดคุยกันต่อ

 

 

ขนาดพนักงานต้อนรับยังนึกว่าเธอมาตามหาผู้ร่วมงาน ถาม “มาหาใครคะ”

 

 

อวี๋กานกานยื่นบัตรเชิญเข้าร่วมงานของตนเองให้พนักงาน “สวัสดีค่ะ ฉันมาลงทะเบียนน่ะค่ะ!”

 

 

พนักงานต้อนรับนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง มองอวี๋กานกานด้วยสายตาประหลาดใจ ผู้คนรอบข้างที่ได้ยินก็ต่างพากันตกอกตกใจ มองหน้ากันเลิกลักไปมา สีหน้าเหลือเชื่อกันทุกคน

 

 

นี่เหรอแพทย์ที่จะมาแลกเปลี่ยนศึกษาหาความรู้กับพวกเขา เด็กเกินไปแล้ว รูปร่างหน้าตาของเด็กสาวคนนี้ดูเหมือนยังเรียนไม่จบมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ

 

 

เมื่อพนักงานต้อนรับได้สติคืนกลับมา ตระหนักได้ว่าตนเองเพิ่งจะทำตัวเสียมารยาทไป คลี่ยิ้มแล้วกล่าว “พอดีว่าทุกๆ ท่านมาพร้อมๆ กันหมด อาจจะจำเป็นต้องเรียงคิวสักหน่อยน่ะค่ะ”

 

 

อวี๋กานกานคลี่ยิ้มพร้อมกับพยักหน้าให้ เธอเห็นเหล่าบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่ยืนอยู่ข้างๆ พากันหัวเราะขำขัน คนที่ยืนอยู่ข้างเธอเอ่ยถามขึ้นมา “เธอมาจากสำนักไหน”

 

 

เนื่องด้วยสาเหตุทางด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ มนุษยศาสตร์ฯลฯ สำนักแพทย์แผนจีนที่รู้จักกันโดยทั่วไปจึงแบ่งออกเป็นเจ็ดสำนัก อวี๋กานกานไม่ได้อยู่สำนักไหนทั้งนั้น

 

 

อวี๋กานกานหันหน้าไปมอง เป็นผู้หญิงสวมชุดคอลเลคชั่นชาแนล หน้าตาฉลาดหลักแหลมเป็นการเป็นงาน ทั้งยังสวมกำไลหยกที่ดูมีราคาสูงลิ่ว อายุอานามน่าจะประมาณสามสิบกว่า คาดว่าน่าจะเป็นรุ่นพี่ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนและศึกษาหาความรู้ด้วยกัน

 

 

อวี๋กานกานยิ้มแล้วตอบ “คุณปู่เป็นแพทย์แผนจีนน่ะค่ะ หนูเล่าเรียนกับคุณปู่ตั้งแต่ตอนเด็กๆ ส่วนตอนสมัยมหาลัยเรียนแพทย์แผนตะวันตกค่ะ” อวี๋กานกานพูดพลางโค้งตัวอย่างมีมารยาทให้เหล่าผู้อาวุโส “หนูชื่ออวี๋กานกานค่ะ ระหว่างงานสัมมนารบกวนผู้อาวุโสทุกท่านโปรดช่วยชี้แนะด้วยค่ะ”

 

 

เมื่อหญิงสาวผู้สวมคอลเลคชั่นชาแนลได้ยินเช่นนี้ สายตาของเธอปรากฏความหยิ่งผยองเพิ่มขึ้นมาทันที และยังมีบางคนที่ดูถูกเหยียดหยามอวี๋กานกาน รู้สึกว่าเธอแค่ต้องการมาชุบตัวเท่านั้น เด็กที่ยังวัยรุ่นแบบนี้มีความรู้ความสามารถจริงๆ ที่ไหนกัน ที่ถูกส่งมาให้เข้าร่วมงานนี้ เบื้องหลังต้องมีเส้นสายที่เคี่ยวมากอย่างแน่นอน

 

 

สิ่งที่เธอเกลียดมากที่สุดคือคนที่อาศัยเส้นสายแบบนี้ เธอปรายตามองอวี๋กานกาน ส่งเสียงขึ้นจมูกไม่สบอารมณ์ “เหอะ…”