ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่ลั่วซินอวี่พลันรู้สึกว่าชิ่งเจิ่นผู้สงบนิ่งที่ยืนอยู่นอกกรงนั้นดุร้ายอำมหิตเสียยิ่งกว่าตัวทดลองที่อยู่ข้างในเสียอีก
และ…เรื่องนี้มันเกี่ยวอะไรกับบริษัทหัวจ่งกัน
“ส่องไฟไปที่มัน” ชิ่งเจิ่นว่า
มีคนส่องสปอตไลต์ไปที่ใบหน้าของตัวทดลอง มันกลัวแสงไฟมาก พยายามยกแขนปิดบังดวงตาตามสัญชาตญาณ
ชิ่งเจิ่นสงสัย “พวกมันกลัวแสงจริงๆ นี่หน่า ทำไมวันนี้พวกมันถึงออกมาเคลื่อนไหวตอนกลางวันได้กัน พวกมันวิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้นแล้ว…หรือว่าอะไรบางอย่างดึงดูดพวกมัน จนยอมออกมาตอนสว่างแบบนี้!”
คนข้างกายเขาพูดเสียงนิ่ง “มีสองความเป็นได้ว่าทำไมพวกมันถึงกลัวแสง หนึ่งคือบุคลิกความเป็นมนุษย์ในอดีตไม่อาจยอมรับสภาพในปัจจุบันได้ หรือสอง ดีเอ็นเอของพวกเขาถูกดัดแปลงเข้ากับสัตว์ที่มีพฤติกรรมออกหากินตอนกลางคืน”
“ยังไงก็ไม่ใช่เรื่องด่วนอะไร” ชิ่งเจิ่นพยักหน้า พลางกล่าว “วิทยุถามสู่หมานหน่อยว่าเขาเจอสามคนนั้นหรือยัง ฉันเดาว่าพวกเขาคงแอบดอดมาในพื้นที่ปฏิบัติการเราตอนที่พวกเรากำลังวุ่นอยู่กับการจับตัวทดลองแน่”
ชิ่งเจิ่นเดาว่าพวกเริ่นเสี่ยวซู่สามารถแอบดอดเข้ามาในเขตพื้นที่ที่พวกเขาควบคุมเบ็ดเสร็จนี้ได้ ชิ่งเจิ่นอยากรู้ยิ่งนักว่า ที่อยู่ๆ ตัวทดลองก็ออกมาเคลื่อนไหวยามฟ้าสว่างนั้น เป็นเพราะหนึ่งในสามคนนั้นเป็นผู้ดึงดูดมันมาหรือเปล่า
…
เริ่นเสี่ยวซู่เดินท่องไปมาในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง อาจจะเป็นเพราะโครงสร้างมีคุณภาพดีมาก ห้างใหญ่นี้ถึงไม่ล้มครืนลงมาตอนเกิดแผ่นดินไหว
แต่กระนั้น แม้ตึกภายนอกจะดูสมประกอบดี ของตกแต่งข้างในกลับผุพังจนไม่เห็นเค้าโครงเดิม ฝ้าเพดานหลายแผ่นหล่นลงมาบนพื้น บรรดาเคาน์เตอร์ก็เละไปหมดแถมมีฝุ่นเกรอะจนเป็นสีเทา ฝุ่นหนาเกาะบนนั้นอย่างกับหนาอย่างน้อยสิบเซนติเมตรได้ ส่วนของต่างๆ ก็หมดอายุทรุดโทรมและได้รับความเสียหายไปหมดแล้ว
และในห้างนี้เอง เริ่นเสี่ยวซู่ก็พบร้านขายเครื่องประดับในที่สุด!
พวกเครื่องประดับเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น[1]ไปหมดหมดแล้ว พวกเครื่องเงินเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำ มีแต่ต้องหักมันออกเป็นสองส่วนถึงจะเห็นเนื้อเงินเดิมตรงส่วนที่แตกหักออก
พวกเครื่องทองเองเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่นไม่ต่างกัน พวกทองคำในร้านน่าจะสัมผัสเหล็กที่มาจากตามเพดานที่พังลงมาเป็นระยะเวลานาน ทำให้พวกเนื้อทองเกิดจุดสีแดงเต็มไปหมด แต่แน่ละ มูลค่าทองคำยังคงเดิม
สินค้าทำจากเงินเขาไม่สนใจ ยุคสมัยนี้แร่เงินไม่ได้มีค่าอะไรมากนัก
เริ่นเสี่ยวซู่พกของได้จำกัด ดังนั้นต้องเลือกที่มูลค่าสูงๆ หน่อย!
ตอนนี้ประโยชน์ของช่องเก็บของเพิ่มพูนในบัดดล พื้นที่ขนาดหนึ่งตารางเมตรใส่ทองได้ขนาดไหนกัน ตอนแรกเริ่นเสี่ยวซู่ยังกังวลอยู่เลยว่าจะพัฒนาระดับของช่องเก็บของยังไง แต่ตอนนี้ไม่ห่วงแล้ว ทองที่อยู่ที่นี่ ก็พอจะให้เขา เหยียนลิ่วหยวน และพี่เสี่ยวอวี้อยู่สบายไปหลายสิบปี!
ทองส่วนใหญ่ในห้างนี้เป็นเครื่องประดับ เพื่อประหยัดพื้นที่ เริ่นเสี่ยวซู่เลยบีบกำไลทองสร้อยทองเป็นก้อน จากนั้นก็นำไปเก็บในพระราชวัง ด้วยหัตถ์อันทรงพลัง เขาอยากทำอะไรแบบไหนก็ทำได้
แต่หลังจากยัดทองไปเต็มพื้นที่แล้ว ทองก็ยังเหลืออีกไม่น้อย ทำเอาเริ่นเสี่ยวซู่ปวดใจแปลบ
สุดท้ายเขาก็ถอดแจ็กเก็ตของตัวเองไปห่อทองคำบางส่วนไว้
เริ่นเสี่ยวซู่เห็นเพชรด้วย แต่ว่าปัจจุบันนี้เพชรไม่ได้เป็นแร่มีค่าอะไรอีก คุณจางเคยเล่าให้ฟังว่า ในอดีตนั้นแม้เพชรจะมีจำนวนไม่น้อยในโลก แต่ราคานั้นแพงยิ่ง เพราะมีการผูกขาด ราคาจึงปั่นให้สูงเกินจริง
ด้วยเหตุนี้คนในยุคปัจจุบันจึงไม่เห็นค่าเพชรอีก ด้วยอาจเป็นเพราะทุกคนคิดอยากจะซื้ออาหารมากกว่าเพชรพลอย ราคาเพชรพลอยจึงถูกด้อยค่าลงไปเป็นธรรมดา
ทันใดนั้นเริ่นเสี่ยวซู่ก็ได้ยินเสียงขบวนฝีเท้าเคลื่อนตัวมาจากนอกห้าง เริ่นเสี่ยวซู่สัมผัสได้ว่าคนของสมาคมตระกูลชิ่งมาถึงแล้วก็ขมวดคิ้วมุ่น
เริ่นเสี่ยวซู่รู้ดีว่าเดี๋ยวสมาคมตระกูลชิ่งต้องได้ทราบถึงตัวตนของเขา สูเสี่ยนฉู่ และหยางเสียวจิ่นแน่นอน เพราะอย่างไรหลิวปู้ก็ถูกจับไปแล้ว เขาย่อมปากสว่างบอกสมาคมตระกูลชิ่งเรื่องพวกเขาหมดแน่
ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่กำลังอยู่ในห้าง ใช้เสื้อแจ็กแกตแบกทอง เพราะช่องเก็บของตัวเองเต็มแล้ว
เขาไม่สนใจหรอกว่าสูเสี่ยนฉู่กับหยางเสียวจิ่นจะบรรลุจุดประสงค์ในการเดินทางมาที่นี่หรือเปล่า ตอนนี้เริ่นเสี่ยวซู่ได้ของอิ่มหนำแล้ว
อาจจะเป็นเพราะสูเสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่นมาที่นี่ ด้วยคิดอยากสืบหาความลับเกี่ยวกับผู้มีพลังพิเศษและเหตุการณ์วิวัฒนาการทั่วโลก แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่สนใจเรื่องพวกนั้นเลย ถ้าเกิดว่ามีสปานวดกดจุดเปิดทำการอยู่ในเมือง เขาอาจจะสนใจก็ได้นะ…
เริ่นเสี่ยวซู่คิดจะหอบทองหนีไป
แต่ขณะเตรียมจะหลบหนีไปนั้น เขาก็ได้ยินเสียงเดินเท้าอันพรักพร้อมของสมาคมตระกูลชิ่งดังมาจากนอกห้าง เริ่นเสี่ยวซู่ขมวดคิ้ว ถอยหลังกลับเข้าร้านขายเครื่องประดับโดยพลัน
ดูเหมือนว่าหลังจากหลิวปู้โดนสมาคมตระกูลชิ่งจับไป ก็คายเรื่องพวกเขาจนหมดสิ้น แต่เริ่นเสี่ยวซู่ไม่วิตก ห้างใหญ่ขนาดนี้ เริ่นเสี่ยวซู่คิดว่าต่อให้พวกทหารเข้ามาค้น ก็ไม่น่าเจอตัวเขาได้ง่ายนัก
แถมซากเมืองนี้ใหญ่โตมโหฬาร มีตึกรามมากมาย ต่อให้สมาคมตระกูลชิ่งมีทหารหลายพัน และใช้ทหารทั้งหมดนั้นในการค้นหา กว่าจะค้นทั่วเมืองก็กินเวลาอย่างน้อยสิบถึงสิบห้าวัน
สู่หมานแห่งสมาคมตระกูลชิ่งนำหน่วยทหารเดินผ่านถนนผุพัง พวกเขาพร้อมต่อสู้ทุกชั่วขณะ เพราะจากคำกล่าวของหลิวปู้ สูเสี่ยนฉู่และหยางเสียวจิ่นถือว่าเป็นบุคคลที่มีอันตรายไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสูเสี่ยนฉู่ที่มีความอันตรายระดับ C
ส่วนสำหรับเริ่นเสี่ยวซู่นั้น ทุกคนมองคล้ายๆ กันว่าเป็นเพียงผู้อพยพธรรมดาที่มีพละกำลังสูงกว่าคนธรรมดาทั่วไปอยู่หน่อย และรู้วิธีฆ่าคนอยู่บ้าง ทว่าไม่ถือว่าเป็นภัยร้ายแรงอะไร นี่ไม่ใช่เพราะสู่หมานและชิ่งเจิ่นหยิ่งจองหอง แต่เพราะหลิวปู้ไม่รู้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีท่าไม้ตายอะไรบ้าง
สู่หมานเป็นทหารอาชีพมากประสบการณ์ ก็ยังเข้าใจเพียงว่าเริ่นเสี่ยวซู่มีเพียงพละกำลังที่มากกว่าคนทั่วไป แต่อย่างไรก็คงไม่อาจสู้รบรับมือกระสุนได้
เริ่นเสี่ยวซู่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืด หลังชั้นวางเหล็กพังๆ แห่งหนึ่ง กันไม่ให้ผู้อื่นเห็นยามเดินผ่านอยู่ข้างนอกนั่น
พอเขาเห็นทหารที่นำมาโดยสู่หมานค่อยๆ ผ่านประตูอันทรุดโทรมไป เริ่นเสี่ยวซู่ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง
ขณะสู่หมานนำกำลังทหารผ่านไปผ่านไปยังมุมของตึกถัดไป เขาก็ชะงักร่าง ก่อนจะหันไปมองรอบๆ แล้วกล่าวกับทหารข้างหลังเขาว่า “ฉันไม่เห็นจำได้ว่าเลยของในตึกนั่นอยู่ในสภาพแบบนั้น เพิ่งมีคนเข้าไป บางทีเขาอาจจะยังอยู่ในนั้นก็ได้!”
เริ่นเสี่ยวซู่ไม่คิดเลยว่าทหารจอมโหดยศสูงแห่งสมาคมตระกูลชิ่งจะมีความละเมียดละไมและความทรงจำดีเช่นนี้
จริงๆ แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ไม่ได้คิดจับพวกของที่อยู่บนเคาน์เตอร์ที่หันไปทางนอกร้านเลย อย่างมากแค่แตะโดนชิ้นสองชิ้นเท่านั้น แต่ถึงกระนั้นก็ไม่อาจหลุดรอดสายตาของสู่หมาน
………………….
[1] ออกซิเดชั่น (Oxidation) ปฏิกิริยาที่ทำให้เครื่องเงินเกิดความดำและหมองลง เกิดจากซัลเฟอร์ (S) ในอากากาศทำปฏิกิริยากับเครื่องเงินแล้วจะเกิดเป็นสารสีดำตัวหนึ่งชื่อ ซิลเวอร์ซัลไฟด์ (Silver sulfide หรือ Ag2S) เคลือบบนเครื่องเงินนั้น