ตอนที่ 47 ยืมแรงปะทะกำลัง

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 47 ยืมแรงปะทะกำลัง

อันหลิงเกอทำราวกับว่ามิได้สังเกตเห็นแววตาของอันหลิงเฉ่ว ยังคงกินข้าวไปอย่างเงียบ ๆ มิเห็นสิ่งผิดปกติอันใดเลยแม้แต่นิดเดียว รอจนฮูหยินผู้เฒ่าวางตะเกียบ คนอื่น ๆ ก็พากันวางลงด้วยเช่นกัน

เมื่อเห็นฮูหยินผู้เฒ่าถูกสาวใช้เดินประคองส่งกลับห้อง  หลี่ซื่อยังส่งยิ้มยั่วยุไปให้หวังซื่อ จากนั้นจึงพาสาวใช้ไปดูแลจัดการเรื่องราวภายในจวน

อันหลิงเกอก็จะเดินกลับไปที่เรือนของตนตามปกติ  แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงเรียกของหวังซื่อดังตามหลังมา

“เกอเอ๋อ วันนี้เจ้าว่างหรือไม่ อาสะใภ้มีเรื่องสองสามอย่างจะถามเจ้าสักหน่อย”

อันหลิงเกอหันหน้ากลับมาส่งยิ้มให้ ด้วยท่าทีที่อ่อนโยนและใสซื่อ

“อาสะใภ้รองมีเรื่องอันใดหรือเจ้าคะ  ถ้าเกอเอ๋อรู้อันใดก็จะบอกท่านหมดทุกอย่างเลยเจ้าค่ะ”

“ที่นี่มิสะดวกที่จะคุยกัน มา เจ้าตามอามาที่เรือนจะดีกว่า”

หวังซื่อพาอันหลิงเกอไปที่ห้องตนเอง จากนั้นก็สั่งให้บ่าวรับใช้ของตนออกไปจากห้อง และสายตาจับจ้องไปที่ ปี้จูที่อยู่ด้านหลังอันหลิงเกอ ปี้จูรู้ตัวจึงถอยออกไป ชั่วพริบตาจึงมีเพียงนางและอันหลิงเกอที่เหลืออยู่ในห้อง

หวังซื่อดึงอันหลิงเกอนั่งลงด้านข้างตัวเอง แล้วเอ่ยถามออกมาว่า “เมื่อคืนวานตอนที่อาไปถามเจ้าเรื่องห้องเก็บสมบัติ เจ้ายังจำได้หรือไม่ ? ”

“จำได้เจ้าค่ะ หลายปีมานี้จวนโหวมิเคยมีเรื่องถูกขโมยทรัพย์สินมาก่อน  แต่เมื่อคืนวานพอท่านอาสะใภ้เข้ามารับหน้าที่ดูแลห้องเก็บสมบัติ กลับมีขโมยเกิดขึ้น ราวกับว่ามีคนสร้างเรื่องแล้วโยนความผิดให้อาสะใภ้รองเยี่ยงนั้นแหละเจ้าค่ะ”

มันจะเป็นใครไปได้ล่ะที่คอยสร้างเรื่องให้กับนาง ?

หวังซื่อบ่นอยู่ในใจเพียงผู้เดียว และยิ่งรู้สึกรังเกียจหลี่ซื่อมากยิ่งกว่าเดิม แม้ว่าภายในใจจะพร่ำบ่น เกลียดชังหลี่ซื่อมาเพียงใด ใบหน้าของหวังก็ยังยิ้มแย้ม ดูมิออกว่าแท้จริงแล้วกำลังคิดอันใดอยู่

“อาสะใภ้รองก็คิดว่าเหตุการณ์นี้เป็นเรื่องบังเอิญเกินไปใช่หรือไม่เจ้าคะ มิเช่นนั้นเมื่อคืนวาน คงมิถามเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของสาวใช้คนสนิทข้างกายอี๋เหนียงหรอกใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

“ใช่อย่างที่เจ้ากล่าว เดิมทีอาให้คนหาหลักฐานจากบ่าวรับใช้ที่ขโมยทรัพย์สินจากจวนไป แต่ใครจะรู้ว่านั้นเป็นแผนที่หลี่ซื่อวางไว้ และรอให้อาตกหลุมพราง”

อันหลิงเกอเมื่อได้รับฟังก็ ก็แสร้งทำสีหน้าตกใจ

“เหตุใดอี๋เหนียงต้องวางแผนใส่ร้ายท่านด้วยล่ะเจ้าคะ ? ”

“นางคงจักกลัวว่าอาจะไปแย่งอำนาจไปจากนางกระมัง”

หวังซื่อกล่าวบอกอันหลิงเกอไปตามตรง นางมิได้เห็นว่าอันหลิงเกอเป็นรุ่นลูกและคิดที่จะหลอกใช้ แต่ในเวลานี้นางต้องการพันธมิตรอย่างมากเพื่อโค่นล้มหลี่ซื่อ

“เจ้าก็รู้ว่าหลี่ซื่อยักยอกข้าวของในห้องเก็บสมบัติไป  นางต้องการที่จะครอบครองข้าวของเหล่านั้นไว้เอง ท่านย่าของเจ้าทำเพื่อผลประโยชน์ของจวนโหว ท่านจึงยกห้องเก็บสมบัติให้อาเป็นคนดูแล”

อันหลิงเกอที่ได้ฟังหวังซื่อกล่าวถึงเรื่องที่นางต้องการจะยึดอำนาจไปจากอี๋เหนียง จนเป็นต้นเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นนี้ แม้อันหลิงเกอจะรู้ถึงจุดประสงค์นี้ดี แต่นางก็ยังคงมิได้แสดงท่าทีอันใดออกมา  ยังคงฟังคำแก้ตัวของหวังซื่อต่อราวกับเป็นเด็กผู้หญิงที่อ่อนต่อโลก

“ใครจะรู้ว่าหลี่ซื่อจะร้ายกาจมากถึงเพียงนี้  แค่วันแรกที่อารับผิดชอบห้องเก็บสมบัติ นางก็ส่งคนไปขโมยทรัพย์สินจากในห้องเก็บสมบัติ แล้วมาใส่ร้ายอาว่าจัดการเรื่องราวได้มิเหมาะสม  ตอนที่อาส่งคนไปตามหาขโมยและได้หลักฐานมา นางได้ให้เจ้าโจรนั้นทำหลักฐานปลอมขึ้นมา และนางก็ไปร้องห่มร้องไห้ต่อหน้าท่านแม่ว่าตัวเองถูกอาใส่ร้าย ทำให้อาต้องมากลายเป็นผู้ร้าย”

อันหลิงเกอร้องอุทานออกมาอย่างมิอยากจะเชื่อ เมื่อฟังหวังซื่อกล่าวจบแล้วเอ่ยถามไปอย่างใสซื่อว่า “ที่แท้ที่ห้องเก็บสมบัติถูกขโมย เป็นฝีมือของอี๋เหนียงหรอกรึเจ้าคะ ? ”

หวังซื่อเมื่อได้ฟังคำเอ่ยถามของอันหลิงเกอก็ทอดถอนหายใจ  จ้องมองอันหลิงเกอราวกับมองดูลูกสาวของตัวเองด้วยความรักใคร่เอ็นดูในความไร้เดียงสา

“เด็กโง่ เจ้าคิดว่าหลี่ซื่อเป็นคนดีเยี่ยงนั้นหรือ ? ดูสิเจ้านั้นได้หมั้นหมายกับจวนอ๋องมู่แล้ว เดิมทีเวลานี้เจ้าควรจะเรียนรู้การจัดการเรื่องทั่วไปภายในจวนได้แล้ว แต่หลี่ซื่อกลับกักตัวเจ้าให้อยู่ในเรือนหลัง มิยอมปล่อยให้เจ้าเข้าไปยุ่งเรื่องในจวน ถ้าเจ้าแต่งงานเข้าจวนอ๋องมู่แล้ว แต่ทำอันใดมิเป็นเลยมันก็จะทำให้ผู้อื่นดูหมิ่นและดูถูกเจ้าได้มิใช่หรือ ? ”

อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังก็กระพริบตา แสร้งทำทีตกใจ

“แต่อี๋เหนียงทำไปด้วยความหวังดีกับข้ามิใช่หรือเจ้าคะ ? ”

“ทำเพื่อหวังดีกับเจ้าเยี่ยงนั้นหรือ ถ้าหากทำเพื่อหวังดีกับเจ้าจริง ๆ แล้วเหตุใดถึงคิดโลภเอาเครื่องประดับของแม่เจ้าไปละ ทั้งยังเอาข้าวของเหล่านั้นไปมอบให้ท่านย่าของเจ้า อย่างมิกลัวร้อนมือได้เยี่ยงนั้นอีก”

หวังซื่อกล่าวออกมาอย่างมิปิดบังความรังเกียจและดูถูกที่มีต่อหลี่ซื่อ เมื่ออยู่ต่อหน้าอันหลิงเกอ

“หลี่ซื่อ นางกำลังจะเลี้ยงดูปลูกฝังให้เจ้าทำอันใดมิเป็น และให้โอกาสแก่ลูกสาวสุดที่รักของนางผู้นั้นน่ะสิ”

หวังซื่อกล่าวออกไปพร้อมกับตบลงที่มือของอันหลิงเกอเบา ๆ จากนั้นก็กล่าวสอนราวกับผู้ใหญ่ที่ใจดี

“เกอเอ๋อ เจ้าก็รู้ ถึงแม้หลี่ซื่อจะเป็นอี๋เหนียงแต่ก็เป็นเพียงแม่เลี้ยง นางจะจริงใจกับเจ้าแค่ไหนกัน ? อามิเหมือนกัน อามีลูกชายแค่คนเดียว  มองเจ้าเป็นเหมือนลูกสาวแท้ ๆ ของอา อาจริงใจกับเจ้าจริง ๆ “

เมื่อได้ฟังคำกล่าวของหวังซื่อ อันหลิงเกอกลับมิสนใจว่านางนั้นจะจริงใจหรือไม่ เมื่อนึกย้อนกลับไปชาติก่อนนั้นอี๋เหนียงและอาสะใภ้รองนั้นแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นระหว่างกันอย่างดุเดือด ขณะนั้นนางถูกอี๋เหนียงและอันหลิงอีบังคับให้ช่วยเหลือพวกนาง เพื่อทำให้อาสะใภ้รองพ่ายแพ้ในการแก่งแย่งอำนาจ

แต่วันนี้เมื่อนางได้กลับชาติมาเกิดใหม่  นี่จึงเป็นโอกาสเหมาะกับที่จะยืมมือของอาสะใภ้รอง

เพื่อมากดหัวสองแม่ลูกนั้น ในเมื่ออาสะใภ้รองต้องการทราบข่าวจากนาง เหตุใดนางถึงมิใช้โอกาสนี้ช่วยอาสะใภ้รองกันล่ะ ?

อันหลิงเกอพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ แล้วกล่าวออกไปว่า “เกอเอ๋อรู้ว่าอาสะใภ้รองรักข้าจริง ๆ มิเช่นนั้นคงจะมิมาบอกเรื่องนี้กับข้าหรอก ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

น้ำเสียงที่กล่าวออกมาของนางดูจริงใจมาก  ทำให้หวังซื่ออดมิได้ที่จะเผยรอยยิ้มออกมา

“ใช่แล้ว  หลี่ซื่อโลภมาก เอาสมบัติของแม่เจ้าไป และยังคิดที่จะเลี้ยงดูเจ้าอย่างเสีย ๆ หาย ๆ นี่เป็นคนที่มีเจตนาร้ายควรถูกกำจัดออกไปโดยเร็ว  ถ้าเจ้ารู้ว่าหลี่ซื่อมีเรื่องกลัดกลุ้มใจอันใดให้รีบบอกอานะ”

หวังซื่อกึ่งเกลี้ยกล่อมกึ่งหลอกลวง โดยมิรู้ว่าตัวของนางและอันหลิงเกอคิดกันไปคนละเรื่อง

ทันทีที่นางกล่าวจบ อันหลิงเกอก็กัดริมฝีปาก ทำทีท่าอยากที่จะกล่าวบางอย่างออกมาแต่ก็เงียบไป  เหมือนกับกำลังลังเลอันใดอยู่

หวังซื่อจ้องตาอันหลิงเกอ  จึงรู้ว่าอันหลิงเกอต้องมีบางอย่างจะกล่าวออกมาแน่

“เจ้ามีอันใดเจ้าก็เอ่ยออกมาเถอะ  อามิทำร้ายเจ้าหรอก”

หลังจากอันหลิงเกอได้ฟังคำกล่าวเยี่ยงนั้นของหวังซื่อ ในที่สุดนางก็ตัดสิ้นใจกล่าวออกมา

“หลายวันก่อน ตอนที่ท่านอาสะใภ้และท่านย่ายังมิกลับมา  มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นจริงเจ้าค่ะ”

อันหลิงเกอเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องอี้ให้หวังซื่อฟัง ยิ่งหวังซื่อได้ฟัง ดวงตาก็ยิ่งเบิกกว้าง เมื่อได้ฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว เป็นเหตุให้นางคิดแผนการหนึ่งขึ้นมาได้ ถ้าหากนางวางแผนให้อันหลิงอีได้แต่งงานเข้าจวนอ๋องอี้ นั่นมิเท่ากับว่าได้ฉีกทึ้งชิ้นเนื้อจากหัวใจหลี่ซื่อไปหรอกรึ เมื่อถึงเวลานั้นหลี่ซื่อก็จะยุ่งวุ่นวายอยู่กับเรื่องอันหลิงอีจนหลงลืมการแย่งชิงอำนาจกับตนไป

เมื่อคิดได้เช่นนั้น หวังซื่อก็ดึงอันหลิงเกอมาถามถึงอันหลิงอีอีกครั้ง จนได้ยินว่าอันหลิงอีปล่อยงูพิษมากัดอันหลิงเกอที่วัดชิงหยุน ก็ถอนหายใจออกมาด้วยความเป็นห่วงใยทันที และยังให้สมุนไพรบำรุงแก่อันหลิงเกอมาอีกจำนวนมาก จากนั้นถึงสั่งให้สาวใช้ไปส่งอันหลิงเกอกลับเรือน

ทันทีที่อันหลิงเกอจากไป หวังซื่อก็ยิ้มอย่างมีเลศนัยออกมา มือทั้งสองข้างกุมเข้าหากัน ราวกับว่าเก็บรวบรวมทุกอย่างไว้ในมือนาง จากนั้นนางก็เรียกสาวใช้ให้เข้ามาหา และอธิบายแผนการของนางให้ฟังอย่างละเอียด

“ไปส่งข้อความถึงอี้หวางเฟย แล้วบอกว่า…”

….

ทางด้านอี้หวางเฟยที่กำลังกลัดกลุ้มใจ ร้องห่มร้องไห้เพราะเรื่องของอี้หมิงมิหยุดหย่อน นางมิเข้าใจว่าเหตุใดลูกชายสุดที่รักของนางถึงไปตกหลุมรักผู้หญิงเยี่ยงอันหลิงอีซึ่งมีประพฤติมิเหมาะสมผู้นั้น  ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าหลี่ซื่อนั้นมิรู้ผิดชอบชั่วดี ทั้งที่ตนนั้นลดตัวไปสู่ขออันหลิงอีด้วยตัวเองแล้ว นางยังกล้าที่จะปฏิเสธ !

เมื่อเห็นอี้หมิงมาร้องห่มร้องไห้ต่อหน้านางอีกคราและยืนยันที่จะแต่งงานกับอันหลิงเกอให้ได้

อี้หวังเฟยก็รู้สึกโกรธมาก จึงให้คนนำตัวอีหมิงออกไป จากนั้นก็มีบ่าวรับใช้มารายงานทันทีว่าหวังซื่อนายหญิงรองของจวนโหวให้คนมาส่งข่าว

“บอกให้คนไล่คนส่งข่าวออกไป ! ”

อี้หวางเฟยรู้สึกรำคาญเมื่อได้ยินชื่อของจวนโหว  บ่าวรับใช้ผู้นั้นจึงหันหลังจะเดินออกไป

แต่อี้หวางเฟยกลับเปลี่ยนใจ แล้วกล่าวออกไปอีกครั้งว่า “ช่างเถอะ นำตัวคนผู้นั้นเข้ามา ข้าอยากดูสิว่านายหญิงรองผู้นั้นจะส่งข่าวอันใดมาถึงข้า”