บทที่ 77 กุญแจสำคัญ Ink Stone_Romance
“นายท่านสามรวบรวมความโดดเด่นของบรรพบุรุษตระกูลหมิงสองรุ่นไว้ด้วยกัน” หยางชูตอบ “บุตรชายทั้งสองคนของหมิงเซียงนั้นธรรมดา หลานทั้งหกคนของเขาล้วนมีคุณสมบัติธรรมดา มีเพียงนายท่านสามเท่านั้นที่ฉลาดหลักแหลมมาตั้งแต่เด็ก”
“เขาลงสนามสอบตั้งแต่อายุยี่สิบ มีความรู้ด้านอักษรโดดเด่น อันที่จริงเขาควรอยู่ในอันดับต้นๆ แต่เพราะชาติกำเนิดของเขาสุดท้ายจึงอยู่อันดับที่สิบ ทุกคนที่ทำงานร่วมกับเขาต่างยกย่องว่าเขาเป็นคนอ่อนน้อมถ่อมตน เขาเป็นเหมือนต้นแบบของบรรพบุรุษตระกูลหมิง”
“เขาไม่ใช่ผู้ที่จะเที่ยวแสดงตนว่าเป็นคนฉลาด กลับกันเขาเลือกที่จะทำตัวไม่สะดุดตาเสียมากกว่า ทำให้เส้นทางราชการของเขานั้นราบรื่นมาก”
หยางชูถอนหายใจ “นับเป็นคนฉลาดผู้หนึ่ง! เขารู้ดีว่าเพราะชาติกำเนิดของเขาการแสดงความสามารถออกมาย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดี ดังนั้นทางที่เขาเลือกเดินคือการทำตัวให้เงียบเข้าไว้”
“มีหลักฐานว่าเขามีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องหรือไม่”
หยางชูส่ายหน้า “เขากับหลิ่วหยางจวิ้นอ๋องรู้จักกัน แต่พวกเขาพบกันแค่เพียงบางโอกาสเท่านั้น ไม่มีการพูดคุยกันแบบส่วนตัวใดๆ ด้วยเหตุนี้พวกเราเลยไม่สงสัยเขาในตอนแรก”
“เช่นนี้ก็หมายความว่าเขาจัดการทุกอย่างได้สะอาดมาก”
หยางชูกล่าวชม “ใช่ สะอาดมาก ดังนั้นตอนที่ยังไม่เกิดเรื่องขึ้น เขาจึงใช้ประโยชน์จากความวุ่นวายในราชสำนักเพื่อแสร้งทำเป็นตาย และถอนตัวออกไปอย่างแนบเนียน ผู้ใดจะมาสงสัยการตายของเขากัน ที่นั่นคือเป่ยหูอยู่ไกลเสียขนาดนั้น หรือหากเขาต้องการจะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกครั้งก็สามารถสร้างเหตุผลขึ้นมาได้ง่ายๆ ว่าเพราะห่างไกลถึงเพียงนั้นข่าวการตายของเขาก็กลายเป็นเท็จได้อย่างไรล่ะ!”
ยิ่งคิดเขาก็ยิ่งชื่นชม “คนผู้นี้ไม่แปลกใจเลยที่เกิงซานพ่ายแพ้ให้”
หมิงเวยครุ่นคิดสักพักแล้วนางก็หยิบปิ่นปักผมสีทองออกจากแขนของตน
“ท่านจะทำอันใด”
หยางชูมองนางถือปิ่นปักผม ในใจเขาเพียงคิดว่าตนยังไม่ได้ลวนลามอันใดนางเลยนะ นางคงไม่ได้จะใช้มันแทงเขาหรอกใช่หรือไม่
หมิงเวยเหลือบมองเขาแล้วบิดหัวปิ่นออกเบาๆ ไหมสีทองเป็นชั้นๆ ด้านในของปิ่นปักผมนั้นมีโลกใบเล็กซ่อนอยู่
“นี่มัน…”
“กุญแจของแม่กุญแจห่วงคล้องสิบสองห่วง” นางยื่นมือไปขยับตัวผนึก กุญแจก็เปลี่ยนเป็นเช่นนี้ พอขยับอีกมันก็เปลี่ยนไปหลายสิบครั้งถึงจะหยุด
หมิงเวยติดหัวปิ่นกลับไป “ท่านเคยได้ยินชื่อหอเทียนจีหรือไม่”
หยางชูคิด “ดูเหมือนจะเป็นเสวียนเหมินที่เป็นสำนักขั้นสูง”
“ในช่วงต้นรัชสมัยเพราะมีการโต้เถียงว่าหอเทียนจีมีส่วนเกี่ยวข้องกับอำนาจของฮ่องเต้และทำลายประเพณี” หมิงเวยตอบ “แม่กุญแจห่วงคล้องสิบสองห่วงนี้เป็นเคล็ดลับของหอเทียนจี โดยเอาก้านดิน[1]สิบสองตัวอักษรเป็นพื้นฐาน มีการเปลี่ยนแปลงหลายพันครั้ง ถือว่าเป็นกุญแจที่ไขยากที่สุดในโลก ยิ่งไปกว่านั้นทุกครั้งที่หอเทียนจีสร้างกุญแจขึ้นมาคู่หนึ่ง ผังก็จะถูกทำลาย มีเพียงเจ้าของเท่านั้นที่รู้วิธีจับคู่มัน”
หยางชูประหลาดใจ “ของหายากเช่นนี้มาอยู่ในมือท่านได้อย่างไรกัน”
หมิงเวยตอบอย่างเฉยเมย “เป็นของที่ท่านแม่ให้ข้ามาตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ นางบอกว่านายท่านสามเป็นคนให้มา”
ประโยคสั้นๆ ที่มีความลึกลับมากมาย
หยางชูโพล่งออกมาว่า “สะสมกำลังทหารงั้นหรือ!”
“ไม่น่าใช่…” หมิงเวยตอบ “แต่มั่นใจได้ว่ากุญแจที่คู่กับลูกกุญแจนี้จะต้องซ่อนบางอย่างที่สำคัญมากเอาไว้อยู่เป็นแน่”
…………
หมิงเฉิงรู้สึกเฉยชากับการฟังเสียงทะเลาะกันของบิดามารดาในห้อง
“ท่านมีสิทธิ์อะไรถึงได้คิดถึงนาง นางทนทุกข์มาทั้งชีวิตก็ไม่ใช่เพราะสิ่งที่ท่านทำกับนางหรอกหรือ พี่ชายท่านแต่งงานกับนาง แต่ท่านไม่ต่อสู้เอง ท่านเลือกที่จะไม่สู้ตั้งแต่แรกแล้วตอนนี้ยังจะมามีท่าทางเช่นนี้อีกหรือ”
เสียงของฮูหยินสี่เกรี้ยวกราดราวกับว่าสิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ต่อหน้านายท่านสี่ นางกลายเป็นอีกคนที่อ่อนโยน และระมัดระวังมากเกินไปในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ
“ท่านพูดมาสิ เหตุใดถึงไม่พูด ท่านไม่ได้โกรธหรือ ต่อว่าข้าสิ! ตีข้าสิ!”
แต่ท้ายที่สุดแล้วนายท่านสี่กลับตอบอย่างเย็นชากลับไปว่า “ข้าจะไม่เถียงกับเจ้า”
“หมิงชาง!”
แต่ฮูหยินสี่กลับต้องการเถียงกับเขานางตะโกนเสียงแหบเสียงแห้ง “ท่านมันขี้ขลาด! ท่านคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าท่านกำลังคิดอันใดอยู่ ท่านคิดว่าถึงแม้จะเป็นแฝดกัน แต่ท่านกลับด้อยจากพี่ชายมากมีแต่เขาที่เหมาะสมกับนาง ท่านไม่เหมาะสม!”
“ใช่! ท่านจะเทียบกับเขาได้อย่างไร เขาฉลาดมาตั้งแต่เด็ก ทุกคนต่างบอกว่าเขาคือความหวังของตระกูลหมิง ส่วนท่านน่ะหรือ พี่ชายท่านได้เข้าร่วมการสอบคัดเลือกช่วงวสันต์[2] แต่ท่านแค่การสอบระดับเมืองก็ยังไม่ผ่าน! เพราะฉะนั้นตอนที่พี่ชายท่านแต่งงานกับนาง ท่านกลับถอยไปท่านคิดว่าหากไปแข่งกับเขาก็มีแต่จะทำให้ตนเองอับอาย! นางงดงามถึงเพียงนั้นคนที่แต่งงานด้วยควรเป็นบุรุษที่เพียบพร้อมอย่างพี่ชายท่าน แต่ท่านกลับคิดไม่ถึง! คิดไม่ถึงว่าพี่ชายท่านจะจากไปเร็วเพียงนี้!”
“นางกลายเป็นหม้าย ถูกน้องหกรังแก แล้วยังแขวนคอตายอีก! ตอนนี้ท่านรู้แล้วเสียใจหรือไม่ว่าทำไมถึงไม่พบนางให้เร็วกว่านี้ นางอาจจะไม่ตายก็ได้ แต่ตอนนี้นางตายแล้ว แค่คิดจะแก้แค้นให้นางท่านยังไม่กล้า ทำได้เพียงมานั่งเสียใจอยู่ในห้อง! ท่านมันขี้ขลาด ท่านมันคนขี้ขลาดโดยสมบูรณ์!”
นายท่านสี่ยืนจับประตูอยู่อย่างนั้น
ผิดแล้ว…เขาตอบในใจ
เขารู้นานแล้ว แต่ทำอันใดไม่ได้เพราะว่าเขาไม่มีคุณสมบัติพอ คนผู้นั้นมีคุณสมบัติมากที่สุดโดยปริยายแล้วเขาล่ะมีคุณสมบัติอะไร! บางทีการที่นางตายอาจจะเป็นเรื่องที่ดีแล้วก็ได้ จะได้ไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป
ด้านนอกห้องหมิงเฉิงพบว่าตนเองสงบอย่างน่าประหลาดใจ อาจเป็นเพราะว่าเขารู้ตัวนานแล้ว ในสายตาของผู้อื่นเขามีครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ แต่หมิงเฉิงรู้ดีว่ามันเป็นเพียงแค่เปลือกนอก
ความคิดของท่านพ่อนั้นอิสระไม่เคยจดจ่ออยู่กับบ้านเลย ท่านแม่เองก็ขุ่นเคืองใจ แต่ก็อดทนอดกลั้นมากว่าสิบปี พวกเขาดูภายนอกสนิทสนมกันดี แต่ความจริงไม่ใช่ นอนเตียงเดียวกันแต่กลับฝันไม่เหมือนกัน
ความสมบูรณ์แบบที่เปลือกนอกนั่น หากเปิดดูแล้วข้างในมีแต่ความกระอักกระอ่วนใจ
“ที่รัก! สามี! ท่านพี่!”
ฮูหยินสี่ร้องเรียกด้วยความโศกเศร้า “ท่านมองข้าบ้างไม่ได้หรือ ข้าต่อว่าท่านถึงเพียงนั้นแต่ท่านกลับไม่โกรธข้า หรือข้าต้องต่อว่านางว่าเป็นหญิงชั้นต่ำ ท่านถึงจะตอบโต้ข้าบ้าง นางเป็นสตรีที่ดี แต่ข้าเป็นภรรยาของท่านนะ!”
หมิงเฉิงกะพริบตาอย่างสงสัย เขาไม่รู้ว่าตนเองควรเจ็บปวดไปกับท่านแม่หรือเห็นอกเห็นใจท่านพ่อดี
“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ทำเช่นนั้นหรอก” นายท่านสี่พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “หลายปีมานี้ข้าทำให้เจ้าทนทุกข์ถึงเพียงนี้เป็นความผิดของข้าเอง แต่มันสายไปเสียแล้ว ข้าเคยคิดว่าตนเองจะเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดี ข้าคิดจริงๆ ว่าตนเองทำได้ แต่สิบปีมานี้…ข้าทำไม่ได้เลย”
นางมีความสุขเขาจึงถอนตัวออกมา แต่เมื่อเห็นว่าร่างกายนางตกลงไปในหลุมโคลน เขาตกอยู่ในความรู้สึกผิดจนไม่สามารถหลบหนีได้ ตอนที่เขารู้เรื่องนี้มันก็สายไปเสียแล้ว เรื่องราวไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้แล้ว
เขาไปหานายท่านสองด้วยความโกรธ แต่สุดท้ายเขาก็ถูกพาไปที่เรือนเล็ก แล้วเขาก็ได้พบกับผู้ที่น่าจะตายไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาเขาไม่ได้อยู่ตัวคนเดียว…เขาเป็นเพียงหุ่นเชิด
“เจ้าไม่ต้องนึกถึงเรื่องนี้อีก”
น้ำเสียงของเขาสงบนิ่งมากมีความรู้สึกเห็นอกเห็นใจเล็กน้อย “ลูกโตถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดตัวเจ้าเองถึงไม่ผ่านไปให้ได้ด้วยล่ะ เพื่อข้าที่ขี้ขลาดถึงเพียงนี้ จนทำให้ตนเองลำบากใจมันไร้ค่าจนเกินไป”
แล้วน้ำตาของฮูหยินสี่ก็ไหลออกมา “ท่านช่างโหดร้าย ท่านช่างโหดร้ายเหลือเกิน!”
ความเห็นอกเห็นใจของเขาคือกริชที่แหลมคมที่สุดที่ทิ่มแทงหัวใจของนางอย่างรุนแรง ทำลายความหวังสุดท้ายจนย่อยยับ เขาทำตัวอยู่เหนือปัญหาเช่นนี้เป็นความเด็ดขาดที่แท้จริง ไม่ใช่เขาไม่ให้ แต่เขาทำไม่ได้
สุดท้ายเรื่องที่ทำให้คนลำบากใจมากที่สุดก็คือการที่เราทำไม่ได้
แม้ทะเลจะเหือดแห้ง ฟ้าถล่มดินทลาย แม้นางจะถูกเป็นพัน เขาจะผิดเป็นหมื่น
แต่ทำไม่ได้ ก็คือทำไม่ได้
…………………………………
[1] ก้านดิน : ก้านดิน เป็นสิ่งที่คนจีนใช้ในการ “บอกเวลา” เป็นหลัก และยังนำมาใช้ใน การบอกทิศทางอีกด้วย
[2] การสอบคัดเลือกช่วงวสันต์ : การสอบบรรจุขุนนางบนท้องประโรงในช่วงราชวงศ์ถังและซ่ง โดยจะมีฮ่องเต้เสด็จมาคุมสอบด้วยองค์เอง หรือที่รู้จักกันในนามสอบจอหงวน