หกสิบแปด

ความเห็นใจ

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่เดินกลับเรือนของตน ก็เห็นว่าเสวี่ยหยวนจิ้งกำลังยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง เขาคงเห็นเหตุการณ์เมื่อครู่แล้ว สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึมเล็กน้อย มิอาจรู้ได้ว่ากำลังคิดสิ่งใดอยู่

เสวี่ยเจียเยว่อธิบายกับเขา “ข้าเห็นว่าเสี่ยวฉานกับหูจื่อยังเด็ก เมื่อก่อนก็ไม่เคยได้กินของพวกนี้ ข้าเลย…”

“ข้าไม่ได้จะตำหนิเจ้า” เสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยขัด “ที่เจ้าทำน่ะถูกแล้ว”

เมื่อเสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้น เธอก็โล่งอกไม่น้อย ทว่ายังอดถามเขาไม่ได้ “เช่นนั้นเหตุใดท่านถึงได้มีท่าทางเคร่งขรึมเล่า”

เสวี่ยหยวนจิ้งหันไปมองเสวี่ยเจียเยว่ แล้วส่งสายตาให้อีกฝ่ายมองไปที่เรือนหลัก “เมื่อครู่นี้ข้าเห็นเหมือนคนยืนอยู่ตรงประตูด้านหลังเรือนหลัก กำลังมองออกไปด้านนอก”

ในเรือนหลักมีเพียงป้าโจวอาศัยอยู่คนเดียวเท่านั้น คนที่ยืนอยู่ตรงประตูด้านหลังอาจจะเป็นนางก็ได้

เสวี่ยหยวนจิ้งขมวดคิ้ว เขาบังเอิญได้พบป้าโจวตอนที่ตื่นขึ้นมาเมื่อสองวันก่อน

ตอนนั้นนางกำลังยกถังออกมาตักน้ำ นางสวมชุดผ้าโปร่งสีฟ้าอ่อน ชุดนั้นดูสะอาดสะอ้านมาก แม้ว่าผมของนางจะรวบอย่างเรียบง่าย ปักปิ่นที่ทำขึ้นมาอย่างลวกๆ แต่ก็ยังดูออกว่าเป็นคนพิถีพิถัน

สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ กิริยาของป้าโจวนั้นสุขุมลุ่มลึก มองปราดเดียวก็รู้ว่านางเป็นคนที่ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก แตกต่างจากสตรีทั่วไป

เสวี่ยหยวนจิ้งมิอาจรู้ได้ว่าการไปมาหาสู่กับป้าโจวนั้นจะเป็นผลดีหรือไม่ และตอนนี้เขาก็กำลังไตร่ตรองเรื่องนี้อยู่

เขามีนิสัยเย็นชาและชอบความสันโดษ ทั้งยังไม่ชอบเป็นฝ่ายเข้าหาใครก่อน นอกเสียจากว่าคนผู้นั้นอาจจะมีประโยชน์ต่อเขา แม้ว่าจะไม่รู้ที่ไปที่มาของป้าโจวผู้นี้ แต่ฐานะของนางต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน…

หลังจากไตร่ตรองได้ครู่หนึ่ง ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจได้ จึงบอกเสวี่ย-เจียเยว่ “ดูเหมือนว่าเมื่อสองวันก่อนนางจะไม่สบาย เกรงว่าคงออกมาทำกับข้าวไม่ได้ เจ้าก็เอากับข้าวพวกนี้ไปให้นางเสีย และถือโอกาสถามไถ่เรื่องสุขภาพของนางด้วยว่าเป็นอย่างไรบ้าง”

ตอนที่เขาเห็นป้าโจวเมื่อสองวันก่อน สังเกตเห็นว่าใบหน้าของนางซีดเซียว ขณะที่เดินก็โซเซเล็กน้อย คงเป็นเพราะว่าถูกลมหนาวพัดปะทะร่างกาย

แม้จะได้ยินมาว่าป้าโจวผู้นี้เป็นคนรักสันโดษ ไม่ชอบสุงสิงกับผู้ใด แต่ยามที่คนเจ็บป่วยจะเป็นช่วงที่ร่างกายอ่อนแอที่สุด หากเข้าหานางในยามนี้จะต้องสร้างความประทับใจได้มากกว่าครึ่งอย่างแน่นอน นอกจากนี้เขายังรู้ว่า

เสวี่ยเจียเยว่เป็นคนอัธยาศัยดี ยิ่งตอนที่ยิ้มแย้ม ยิ่งทำให้ดูน่ารักเหลือเกิน ง่ายต่อการทำให้คนที่หวาดระแวงและระมัดระวังตัวตลอดเวลาวางทุกสิ่งทุกอย่างลงไปได้

เสวี่ยเจียเยว่ได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เหตุใดท่านถึงรู้ว่าสองวันก่อนป้าโจวไม่สบายเล่า”

ตั้งแต่รู้จักกันมา เธอดูออกว่าเขาเป็นคนเย็นชา หาได้ยากยิ่งที่จะใส่ใจป้าโจวเช่นนี้ อีกทั้งโดยปกติแล้วนางก็ไม่ชอบออกจากเรือน เสวี่ยหยวนจิ้งรู้ได้อย่างไรว่าสองวันก่อนป้าโจวไม่สบาย หรือว่าเขาแอบวิ่งไปที่เรือนของนาง

“เจ้ากำลังคิดอะไรอยู่” เสวี่ยหยวนจิ้งยื่นมือไปเคาะหน้าผากเสวี่ย-เจียเยว่เบาๆ อย่างระอาใจ ก่อนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “เพราะข้าบังเอิญเห็นป้าโจวออกมาตักน้ำตอนเช้าเมื่อสองวันก่อน เห็นว่าหน้าของนางซีดเซียวไร้เลือดฝาด ยามเดินก็โงนเงนเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงเดาว่านางต้องไม่สบายอย่างแน่นอน”

เสวี่ยเจียเยว่ขานรับหนึ่งเสียง ขณะเดียวกันก็คิดในใจไปด้วย

‘เห็นป้าโจวไม่สบายเมื่อสองวันก่อน แต่เพิ่งมาบอกเอาวันนี้ สั่งให้ฉันไปดูอาการป้าโจวอย่างนั้นหรือ นี่คือการบอกว่าคุณใส่ใจเธอละสิ แต่ท่าทางการใส่ใจแบบนี้ ฉันพูดอะไรไม่ออกจริงๆ’

แม้จะตำหนิเช่นนี้ในใจ แต่เธอยังรีบเดินไปตักข้าว คีบซี่โครงหมูตุ๋นกับเต้าหู้ และตักผัดแตงกวาใส่ไข่ลงไปในถ้วยอีกเล็กน้อย จากนั้นก็ยกถ้วยเดินออกจากประตูเรือนไป

เสวี่ยหยวนจิ้งยังไม่วางใจ จึงยืนมองอยู่หน้าประตู

เขาเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินไปที่หน้าเรือนหลักก่อนจะเคาะประตู พลางเอ่ยถึงเจตนาที่ตนมาในครั้งนี้ด้วย

“ป้าโจวเจ้าคะ ข้าคือคนที่อาศัยอยู่ในเรือนฝั่งตะวันออกเจ้าค่ะ เมื่อครู่ข้าทำซี่โครงหมูตุ๋นใส่เต้าหู้กับผัดแตงกวาใส่ไข่ จึงอยากจะให้ท่านชิมว่าอร่อยหรือไม่ ท่านเปิดประตูสักหน่อยจะได้หรือไม่เจ้าคะ”

เคาะประตูเช่นนี้อยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับไม่เห็นป้าโจวเดินมาเปิดให้

กระนั้นเสวี่ยเจียเยว่ก็ไม่ใช่คนยอมแพ้อะไรง่ายๆ อีกทั้งเมื่อครู่ยังได้ยินเสวี่ยหยวนจิ้งเอ่ยมาเช่นนั้น เธอจึงรู้ว่าป้าโจวอยู่ในเรือน

เธอยังคงยืนเคาะประตูอยู่เช่นเดิม เคาะสามครั้งเรียกป้าโจวหนึ่งครั้ง จากนั้นก็เคาะสามครั้งและเรียกป้าโจวอีกครั้ง ทำเช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา

หลังจากผ่านไปได้พักใหญ่ ในที่สุดก็ได้ยินเสียง ‘แกร๊ก’ ดังขึ้น คงจะเป็นเพราะป้าโจวดึงกลอนซึ่งเป็นไม้ขัดประตูออก

ต่อมาก็ได้ยินเสียง ‘แอ๊ด’ ซึ่งทำให้เธอรู้สึกเสียวฟัน

ป้าโจวแง้มประตูออกเพียงเล็กน้อย สายตาที่มองเสวี่ยเจียเยว่ดูรำคาญไม่น้อย

เสวี่ยเจียเยว่ทำเป็นมองไม่เห็น และยิ้มแฉ่งให้ป้าโจว จากนั้นก็ส่งถ้วยอาหารให้นางด้วยสองมือ “ป้าโจว ได้โปรดชิมฝีมือของข้าด้วยเจ้าค่ะ”

ขณะเดียวกันสายตาของเธอก็มองพิจารณาป้าโจวตั้งแต่ศีรษะจดเท้า พบว่าใบหน้าของนางแดงก่ำผิดปกติ ยืนก็ไม่มั่นคงเท่าไรนัก อีกทั้งผมเผ้ายังกระเซอะกระเซิง คงเป็นเพราะว่าเพิ่งลุกมาจากเตียง

ป้าโจวไม่มีทีท่าว่าจะรับถ้วย กลับเอ่ยด้วยความโมโห “ข้าไม่กิน เจ้ากลับไปเถอะ และไม่ต้องมายุ่งกับข้า”

ครั้นนางเอ่ยจบก็คิดจะปิดประตู แต่เสวี่ยเจียเยว่ยื่นมือไปขวางเอาไว้ ก่อนเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง

“ป้าโจว ท่านเป็นอะไรไปเจ้าคะ เห็นสีหน้าของท่านไม่ดีเอาเสียเลย

ไม่สบายใช่หรือไม่เจ้าคะ”

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า” เมื่อป้าโจวเอ่ยจบ นางก็ไอออกมาเสียงเบา ก่อนจะผลักมือของเสวี่ยเจียเยว่ออกแล้วปิดประตูเสียงดัง ‘ปัง!’

ได้ยินเพียงเสียง ‘แกร๊ก’ ป้าโจวคงลงกลอนแล้ว

เสวี่ยเจียเยว่ทำได้เพียงหมุนตัวกลับ เมื่อเห็นเสวี่ยหยวนจิ้งยืนอยู่หน้าประตูเรือนของตน เธอก็ส่ายหน้าให้เขาทันที

เสวี่ยหยวนจิ้งเข้าใจความหมายนั้น เมื่ออีกฝ่ายเดินมาถึงจึงเอ่ยปลอบใจ “ในเมื่อนางไม่รับความหวังดีจากเจ้าก็ช่างเถอะ พวกเราไปกินข้าวกันก่อน”

เสวี่ยเจียเยว่พยักหน้าเบาๆ พลางยกถ้วยใบนั้นเข้าไปในเรือน

ซี่โครงหมูที่ซื้อมาวันนี้มีไม่มากนัก ทั้งยังแบ่งให้เสี่ยวฉานกับหูจื่อไป ตอนที่กินข้าวเสวี่ยเจียเยว่จึงอยากให้เสวี่ยหยวนจิ้งกินซี่โครงหมูตุ๋นใส่เต้าหู้ทั้งหมด เพราะสองวันมานี้เขาตั้งใจสอบเป็นอย่างมาก แต่เด็กหนุ่มก็อยากให้เธอกินซี่โครงหมูตุ๋นทั้งหมดเช่นกัน เขาบอกว่าตนเป็นพี่ชายควรจะเสียสละให้น้องสาว สุดท้ายทั้งสองคนก็โต้แย้งกันไปมา จนยามนี้อาหารเย็นชืดหมดแล้ว

สุดท้ายเสวี่ยเจียเยว่ก็หัวเราะแล้วเอ่ยขึ้น “เอาอย่างนี้ ซี่โครงหมูตุ๋นพวกนี้ข้ากับท่านพี่ก็กินคนละครึ่ง ดีหรือไม่”

ขณะที่เสวี่ยหยวนจิ้งกำลังจะเอ่ยบางอย่าง กลับถูกเสวี่ยเจียเยว่ชิงพูดเสียก่อน

“หากท่านพี่ไม่ยอม เช่นนั้นซี่โครงหมูตุ๋นชิ้นนี้ข้าก็จะไม่กิน ข้าพูดคำไหนคำนั้นเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งมองอีกฝ่ายครู่หนึ่ง จากนั้นก็ทำได้แค่เห็นด้วยเท่านั้น

เมื่อทั้งสองกินข้าวเสร็จแล้ว เสวี่ยเจียเยว่นำถ้วยชามไปล้าง เมื่อครุ่นคิดครู่หนึ่ง เธอก็ตักข้าวครึ่งถ้วยที่เหลือมาใส่ลงไปในหม้อ จุดไฟและเริ่มต้มโจ๊ก

เสวี่ยหยวนจิ้งมองอยู่ในห้องของตน ก่อนจะเอ่ยถามอีกฝ่าย “เจ้าจะต้มโจ๊กทำไมอีกเล่า”

เสวี่ยเจียเยว่หันกลับไปมอง แต่ไม่ได้เอ่ยตอบกลับไปในทันที เพียงใส่ถ่านเข้าไปในเตาแล้วจึงเอ่ยตอบ

“เมื่อครู่นี้สีหน้าของป้าโจวดูไม่ดีเลยจริงๆ อีกทั้งตอนที่นางผลักมือข้า มือของนางร้อนเหมือนไฟ และดูไม่มีเรี่ยวแรง ข้าคิดว่านางคงจะเป็นหวัดแล้วละ สองวันมานี้คงไม่ได้กินอะไรเป็นแน่ ตอนนี้นางป่วยอยู่ จะกินซี่โครงหมูตุ๋นก็คงไม่เหมาะนัก ข้าเลยอยากต้มโจ๊กให้นาง จะได้สดชื่นขึ้นมาบ้าง อีกประเดี๋ยวข้าจะเอาไปให้นางเจ้าค่ะ”

เสวี่ยหยวนจิ้งยกยิ้มมุมปาก สิ่งที่ทำให้คนชอบเสวี่ยเจียเยว่ ไม่ใช่เพียงเพราะอีกฝ่ายเป็นคนร่าเริงชอบยิ้มเท่านั้น แต่สำคัญที่สุดคือแม่นางน้อยผู้นี้เป็นคนจิตใจดี เห็นอกเห็นใจผู้อื่น ทั้งที่ตนมีโอกาสได้กินซี่โครงหมูตุ๋นอยู่น้อยครั้ง แต่เมื่อเห็นเสี่ยวฉานกับหูจื่อยืนหิวอยู่ข้างๆ ก็ตักให้พวกเขากิน ตอนนี้เห็นว่าป้าโจวไม่สบาย จึงตั้งใจต้มโจ๊กให้นาง ครั้งแรกที่เสวี่ยเจียเยว่ทำดีกับเขาก็คงเป็นเพราะเห็นอกเห็นใจเช่นกันกระมัง แม้เขาจะเย็นชาอย่างไร อีกฝ่ายก็ไม่มีทีท่าว่าจะท้อแท้แม้แต่น้อย

การที่เสวี่ยเจียเยว่มีจิตใจดีเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มีค่ามากกว่าสิ่งใด

เสวี่ยหยวนจิ้งรีบไปช่วยอีกฝ่ายทันที ขณะเดียวกันก็พูดคุยกันไปด้วย

ฝนหยุดตกแล้ว ราวกับท้องฟ้าสีครามยามโพล้เพล้ถูกชำระล้างก็ไม่ปาน

แสงอาทิตย์จางๆ ลอดผ่านม่านเมฆตกกระทบลงบนต้นการบูร หยดน้ำที่กลิ้งอยู่บนใบของมันร่วงหล่นลงพื้น และเมื่อมีลมพัดผ่านมาเบาๆ หยดน้ำเหล่านั้นก็ร่วงลงมาราวกับสายฝนโปรยปราย

เมื่อโจ๊กสุกได้ที่แล้ว เสวี่ยเจียเยว่นำหน่อไม้กับผักกวางตุ้งมายำรวมกัน หลังจากหยดน้ำส้มสายชูลงไปแล้วก็ดูน่ากินยิ่ง จากนั้นเธอนำหม้อใบเล็กมาใส่อาหารแล้ววางลงไปในตะกร้าหวายพร้อมตะเกียบหนึ่งคู่ แล้วหิ้วไปที่ประตูเรือนของป้าโจว

หลังจากเคาะประตูแล้ว เสวี่ยเจียเยว่ก็เอ่ยด้วยเสียงกังวาน “ป้าโจว ข้าต้มโจ๊กถ้วยใหญ่มาให้ท่าน อีกทั้งยังทำยำหน่อไม้กับผักกวางตุ้งมาด้วย ข้าวางไว้หน้าประตูเรือน ท่านออกมาหยิบไปตอนไหนก็ได้เจ้าค่ะ กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กินโจ๊กแล้วอาการป่วยของท่านก็จะหายเร็วขึ้น”

เธอไม่เอ่ยอะไรออกมาอีก และไม่ได้เคาะประตูต่อ แต่หมุนตัวเดินกลับเรือน

เสวี่ยหยวนจิ้งยืนเอามือไพล่หลังอยู่หน้าประตูเรือน แสงอาทิตย์อ่อนๆ กระทบกับร่างของเขา ทำให้เงาร่างนั้นกลายเป็นแสงสีทองอันอบอุ่น

เมื่อเห็นเสวี่ยเจียเยว่เดินกลับมา ราวกับมีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในดวงตาของเสวี่ยหยวนจิ้ง

เสวี่ยเจียเยว่ยิ้มให้เขา จากนั้นทั้งสองก็เดินเข้ามาในเรือน

พอเห็นว่าท้องฟ้ามืดลงทุกขณะ และนึกขึ้นได้ว่าเสวี่ยหยวนจิ้งยังต้องไปสอบในวันพรุ่งนี้ คืนนี้เสวี่ยเจียเยว่จึงให้เขาเข้านอนเร็วกว่าปกติ

ทั้งสองล้างหน้าบ้วนปาก ขณะที่เสวี่ยเจียเยว่กำลังจะปิดประตูเรือนนั้น เธอก็ตั้งใจมองไปที่ประตูเรือนหลัก และเห็นว่าตะกร้าหวายที่เคยวางอยู่หน้าประตูบานนั้นหายไปแล้ว ไม่รู้ว่าหายไปตั้งแต่เมื่อไร

เธอยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะปิดประตูเรือนแล้วเข้านอน

เมื่อเธอตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้น ก็เห็นตะกร้าหวายใบนั้นวางอยู่ตรงหน้าประตูเรือนแล้ว หม้อใบเล็กกับตะเกียบถูกล้างอย่างสะอาดสะอ้าน

เสวี่ยเจียเยว่เห็นดังนั้น รอยยิ้มของเธอก็ยิ่งกว้างขึ้น

เธอรีบหิ้วตะกร้าหวายเดินเข้าไปในเรือน และเรียกเสวี่ยหยวนจิ้งทันที “ท่านพี่ ไปกันเถอะเจ้าค่ะ”

แสงอาทิตย์เรืองรองในยามเช้าตรู่ปกคลุมท้องฟ้าไปกว่าครึ่งหนึ่ง ใบการบูรสะท้อนกับแดดอ่อนๆ จนเห็นเป็นแสงสีแดงเปล่งประกาย วันนี้คงจะเป็นวันที่แดดแรงไม่น้อย