บทที่ 141 แม่ลูกวางแผน + บทที่ 142 ยังไม่ตื่นอีกหรือไร Ink Stone_Romance
บทที่ 141 แม่ลูกวางแผน
ถ้อยคำโหดร้ายของเฉียวเทียนช่างอาจฟังแล้วหยาบคายนัก แต่สมเหตุสมผลยิ่ง…
หยางฮว๋ายอาจจะคงแก่เรียน แต่เขาไม่ได้ยอดเยี่ยมแต่อย่างใด เขาเกือบจะสอบไม่ผ่านด้วยซ้ำ และถึงแม้เขาจะสอบผ่านมาได้ ลำดับของเขาก็อยู่ต่ำ แล้วเขาจะไปได้อันดับหนึ่งในการสอบขุนนางได้อย่างไร
นางเฉินเกลียดยามมีใครพูดไม่ดีถึงหยางฮว๋าย ยิ่งล้อเลียนว่าเขาไม่มีวันได้อันดับหนึ่งในการสอบขุนนางยิ่งอย่าหวังว่านางจะยอม
บัดนี้คนอื่นพากันล้อเลียนบุตรชายของนางให้คนอีกมากฟัง นางเฉินรู้สึกว่าพวกเขากำลังท้าทายอำนาจของตน
นางตวาด “เฉียวเทียนช่าง เจ้าก็แค่ริษยาลูกชายข้า ข้าไม่มาเสียเวลาต่อล้อต่อเถียงกับเจ้าหรอก ข้าต้องการให้เจ้าแต่งงานกับลูกสาวข้า เจ้าห้ามแต่งงานกับหนิงเมิ่งเหยา”
ทุกคนเริ่มเหงื่อตก นางเฉินจะมากเกินไปแล้วหรือเปล่า
นางกล้ามาบังคับให้ใครแต่งงานกับบุตรสาวนางได้อย่างไรกัน
เฉียวเทียนช่างคิดว่าไม่มีเหตุจำเป็นต้องคุยกับคนพรรค์นี้มากไปกว่านี้อีกแล้ว เขาคว้าคอเสื้อนางแล้วลากนางไปจนพ้นประตู
“วันนี้เป็นวันเฉลิมฉลองของชาวบ้าน ถ้าเจ้าจะมาเห่าเหมือนหมาบ้า เจ้าก็ไปเสียเถอะ” เฉียวเทียนช่างไขว้แขนกอดอก ตาจ้องมองร่างสั่นเทิ้มของนางเฉิน
นางเฉินเอานิ้วสั่นระริกชี้หน้าเฉียวเทียนช่าง แต่ชายหนุ่มสะบัดหน้าหนีอย่างไม่รีรอแล้วปิดประตูใส่นาง
นางเฉินทำเสียงฮึ่มไปตลอดทางกลับบ้าน ระหว่างทางนางเห็นหยางฮว๋าย นางก็บันดาลโทสะหนักกว่าเดิม
“ท่านแม่ เป็นอะไรของท่านกัน” หยางฮว๋ายย่นหัวคิ้ว ถามอย่างสับสนเพราะไม่อาจเข้าใจได้
หลังจากโดนหยางฮว๋ายถามไถ่ นางเฉินก็เล่าให้เขาฟังว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อครู่ โดยพุ่งเป้าไปที่เรื่องเฉียวเทียนช่างแช่งให้เขาเรียนไม่ทัน
หยางฮว๋ายก็เหมือนนางเฉิน เขาไม่ชอบให้ใครมาพูดจาไม่ดีถึงตน
โดยเฉพาะในเวลานี้ เพราะใกล้ถึงการสอบขุนนางแล้ว ถ้อยคำเช่นนั้นไม่เป็นมงคลกับตัวเขา เมื่อรวมกับความเป็นจริงว่าเฉียวเทียนช่างหมั้นกับหนิงเมิ่งเหยาแล้วด้วย
เพียงนึกถึงหนิงเมิ่งเหยา สีหน้าหยางฮว๋ายก็เคร่งเครียดขึ้นมา
“ท่านแม่ ไปดูที่บ้านหลังนั้นกันเถอะ ข้าอยากจะถามนักว่าเขาคิดว่าเขาเป็นใครจึงมาแช่งข้า” หยางฮว๋ายพูดอย่างมีน้ำโห
นางเฉินคิดเหมือนเขา นางยังเปรยมาอย่างแอบแฝงเป็นนัยอีกว่า “ลูกข้า เฉียวเทียนช่างมันรวย เขามีส่วนแบ่งจากโรงงานน้ำปรุงรสของหนิงเมิ่งเหยาด้วย ถ้าหยางชุ่ยได้แต่งงานกับเขาแล้วละก็…เจ้าไม่คิดว่าชีวิตเราหลังจากนั้นจะยิ่งดีขึ้นหรือ” นางเฉินเพ้อฝัน
มีประกายแวบผ่านในดวงตาหยางฮว๋าย พวกเขาจำเป็นต้องใช้เงิน ถ้าเขาอยากจะสอบต่อเพื่อกลายเป็นขุนนางในอนาคต ก็ยิ่งต้องใช้เงินจำนวนมาก เว้นเสียแต่ว่า…
“ท่านแม่ แทนที่จะเอาเฉียวเทียนช่าง ท่านไม่คิดว่าหนิงเมิ่งเหยามีเงินมากกว่ารึ” หยางฮว๋ายอดพูดขึ้นมาไม่ได้
นางเฉินย่นหัวคิ้ว มองหยางฮว๋ายอย่างไม่ชอบใจนัก “ลูกชาย เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
หยางฮว๋ายเผยยิ้ม “ท่านคิดว่าสตรีสนใจอะไรมากที่สุด ก็ยศถาและความมั่งคั่งน่ะสิ”
“เจ้าหมายถึงอะไร” นางเฉินไม่เข้าใจว่าหยางฮว๋ายพยายามจะบอกอะไรนาง ที่เขาว่ามาเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่นางกำลังพูดอยู่กัน
หยางฮว๋ายมองมารดาของตนแล้วคิดในใจว่าหญิงผู้นี้ช่างไม่รู้อะไรเสียเลย “ตอนนี้ข้ายังเป็นเพียงซิ่วไฉที่สอบผ่านระดับของสถานศึกษา แต่สักวันข้าจะกลายเป็นขุนนาง ถ้าข้าแต่งงานกับหนิงเมิ่งเหยา นางจะกลายเป็นภรรยาของขุนนาง ท่านคิดว่านางจะเลือกขุนนางหรือพรานจากภูเขากันเล่า”
พอได้ฟังหยางฮว๋ายกล่าว นางเฉินก็รู้สึกขนลุก “เจ้าอยากแต่งงานกับนางผู้หญิงโง่คนนั้นหรือ ข้าบอกแล้วให้เจ้าเลิกคิดเรื่องนี้ไปเสีย อนาคตเจ้าต้องแต่งกับสาวงามจากตระกูลร่ำรวยเท่านั้น”
สายตาหยางฮว๋ายกลายเป็นเย็นชา เขาเย้ยเสียงดัง “แน่นอน ข้ารู้ดี แต่งงานกับหนิงเมิ่งเหยาแค่เพื่อให้ข้าได้เงินของนางมาเท่านั้น พอเราเอาเงินนางมาหมดแล้ว เราค่อยจัดการนาง ท่านไม่คิดว่านี่เป็นแผนที่ดีหรือ”
แม้หนิงเมิ่งเหยาจะเป็นหญิงสาวมากความสามารถ แต่สำหรับหยางฮว๋าย นอกจากเงินแล้ว ตัวนางก็ไม่มีความหมายอันใดต่อเขา
นางเฉินครุ่นคิดแผนนี้อยู่ครู่ใหญ่ ความคิดของบุตรชายนางค่อนข้างสมเหตุสมผล ถ้าทำได้สำเร็จจริง โรงงานน้ำปรุงรสและร้านขายสุราก็จะกลายเป็นของพวกนาง ถึงตอนนั้นนางก็จะร่ำรวยดั่งที่ปรารถนา นางเฉินคิดอย่างสุขใจ
บทที่ 142 ยังไม่ตื่นอีกหรือไร
“ลูกข้า ข้าจะฟังที่เจ้าว่าแล้วกัน ไปหานางจิ้งจอกนั่นกันเถอะ” นางเฉินกล่าวอย่างตื่นเต้น
หากนางเป็นหนิงเมิ่งเหยา นางย่อมเลือกที่จะเป็นภรรยาขุนนางอย่างแน่นอน นางเฉินจึงไม่กังวลแต่อย่างใดเมื่อสองแม่ลูกไม่ถึงบ้านของเฉียวเทียนช่าง ทุกคนกินกันใกล้จะเสร็จแล้ว พวกนางมองยังแขกเหรื่อที่กำลังพูดคุยหัวเราะพลางช่วยเก็บกวาดจัดแจงสถานที่ให้เรียบร้อย แววตานางเฉินฉายแววรังเกียจ ช่างเป็นภาพน่าขายหน้าอะไรเช่นนี้
เมื่อเห็นสองแม่ลูกมาทางนี้ ทุกคนก็สงสัยขึ้นมา และต่างมีคำถามเดียวกันผุดขึ้นในใจ สองคนนั้นมาทำอะไรที่นี่กัน
หยางฮว๋ายมองใบหน้าหล่อเหลาของเฉียวเทียนช่าง แล้วแสดงอาการรำคาญใจ “เฉียวเทียนช่าง เจ้าแช่งข้ารึ”
“ข้าแช่งรึ”
“ท่านแม่บอกข้าว่าเจ้าแช่งให้ข้าไม่มีวันสอบขุนนางผ่าน และไม่ให้ข้าได้เป็นอันดับหนึ่ง” สีหน้าหยางฮว๋ายหงุดหงิด แววตาเย็นยะเยือก
เฉียวเทียนช่างแสยะปากใส่หยางฮว๋าย ตาเป็นประกายล้อเลียน “แล้วเจ้ามาที่นี่เพื่อโทษข้ารึ ถ้าข้าพูดเช่นนั้นจริงแล้วจะอย่างไรเล่า มีผู้เรียนมากมายในใต้หล้านี้ และทุกคนล้วนอยากเป็นอันดับหนึ่ง แค่เพราะเจ้าก็อยากเป็น ไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะทำสำเร็จจริงเสียเมื่อไร”
“นั่นเป็นความจริง ถ้าเป็นอันดับหนึ่งมันง่ายดาย ซิ่วไฉแก่จากหมู่บ้านถัดไปคงไม่ได้เป็นซิ่วไฉคนเดียวที่ผ่านการสอบขุนนางตอนอายุหกสิบ” ประโยคนั้นทำให้บรรดาแขกหันไปกระซิบกระซาบกันเอง
พวกเขาเห็นพ้องต้องกันว่าเฉียวเทียนช่างพูดถูก จะทำคะแนนเป็นอันดับหนึ่งนั้นไม่ง่ายเลย ต้องเป็นผู้ที่ทรงปัญญาแก่กล้าเท่านั้นจึงจะทำได้
หยางฮว๋ายปรายมองเขาแล้วกล่าวเสียงแข็ง “เจ้าห้ามแต่งงานกับเมิ่งเหยา”
“ห้ามข้ารึ เจ้าคิดว่าตัวเจ้าเป็นใครมาบอกห้ามข้าแต่งงานกับเมิ่งเหยา” เฉียวเทียนช่างมองหยางฮว๋ายอย่างเยาะเย้ย
สีหน้าหยางฮว๋ายฉายประกายมาดมั่นเล็กน้อยก่อนเขาจะเปิดปาก “เพราะนางจะมาเป็นภรรยาของข้า”
ผู้คนรอบด้านพากันทำตาโต มองหยางฮว๋ายราวกับเห็นผี
ชายคนนี้สมองมีปัญหาหรืออย่างไร ชายหญิงสองคนนั้นตัดสินใจหมั้นกันแล้ว เขายังจะมากล้าพูดจาเช่นนี้
“เจ้าสองคนมีสัญญาแต่งงานกันแล้วหรือ”
“ยังไม่มี”
“เจ้าสองคนได้ขอแต่งงานผ่านพ่อสื่อแม่สื่อหรือยัง” เฉียวเทียนช่างยิ้มให้หยางฮว๋ายที่มีสีหน้าดำคร่ำเคร่งขึ้นเรื่อยๆ
หยางฮว๋ายมีสีหน้าเคร่งเครียดชัดเจน เขาพูดไม่ออก แต่ทุกคนต่างก็รู้ว่าเขาไม่มีอะไรจะพูด
“ข้าต้องการเจอหนิงเมิ่งเหยา เจ้าไม่มีสิทธิ์มาตัดสินใจว่านางอยากแต่งงานกับใคร” หยางฮว๋ายจ้องเฉียวเทียนช่างเขม็ง
เขาต้องแต่งงานกับหนิงเมิ่งเหยาเพื่อให้อนาคตของตนราบรื่น
หนิงเมิ่งเหยาอยู่ในบ้านของนางตอนนางได้ยินเสียงชิงเสวี่ยพาชายทั้งสองมาหา
“หนิงเมิ่งเหยา ข้าไม่ยอมให้เจ้าแต่งงานกับเฉียวเทียนช่าง เจ้าแต่งงานได้แต่กับข้าเท่านั้น” เมื่อเห็นหนิงเมิ่งเหยาเดินมาทางพวกตน หยางฮว๋ายเอ่ยโดยไม่มีพิธีรีตอง
หนิงเมิ่งเหยามองหยางฮว๋ายแล้วเย้ยหยันเขา “เจ้ายังไม่ตื่นอีกหรืออย่างไร”
“หนิงเมิ่งเหยา อนาคตข้าจะเป็นขุนนาง เจ้าควรจะคิดให้ถี่ถ้วนก่อนตัดสินใจ” หยางฮว๋ายขู่
หนิงเมิ่งเหยากล่าวเย้ยเขาเสียงดัง “แล้วอย่างไร”
ทุกคนมองหน้ากันเอง นางเพิ่งว่าอย่างไรนะ นางเพิ่งพูดว่า ‘แล้วอย่างไร’ เช่นนั้นหรือ
เดิมหยางฮว๋ายคิดว่าตนจะจัดการเรื่องนี้ได้ง่ายๆ ทว่าเรื่องกลับพลิกผัน ทำให้สีหน้าเขาย่ำแย่ลงทันใด
“หนิงเมิ่งเหยา เจ้าอยากแต่งงานกับเขาจริงหรือ” หยางฮว๋ายชี้เฉียวเทียนช่างแล้วถามตามตรง
หนิงเมิ่งเหยาลูบหน้าผากตนอย่างระอา แล้วมองเขาด้วยสายตาเวทนา “เจ้าร่ำเรียนหนักจนธาตุไฟเข้าแทรกรึ มาถามคำถามพรรค์นี้ ทุกคนในหมู่บ้านรู้กันทั่วว่าวันนี้ข้ากับเฉียวเทียนช่างหมั้นกันแล้ว ข้า หนิงเมิ่งเหยา เป็นว่าที่ภรรยาของเฉียวเทียนช่าง เจ้ายังเป็นซิ่วไฉคนหนึ่ง แต่กลับกล้ามาพูดจาเช่นนี้ ถ้าหัวหน้าสถานศึกษาของเจ้ารู้เรื่องนี้เข้า จะเกิดอะไรขึ้นกับเจ้ากัน เขาอาจจะโกรธเจ้ามากก็เป็นได้”
“เจ้า…”
“ข้า ข้าทำไม ถ้าเจ้ายังไม่ตื่นดี เจ้าควรกลับบ้านไปนอนต่อเสียดีกว่า กลับออกมาตอนเจ้าตื่นเต็มตาแล้ว อย่ามาทำตัวขายขี้หน้าที่นี่เลย” ถ้อยคำของหนิงเมิ่งเหยาไม่น่าฟังเอาเสียเลย นางมองหยางฮว๋ายอย่างล้อเลียน โดยเฉพาะสีหน้าที่ทั้งอายทั้งหวาดกลัวของเขา
หยางฮว๋ายเกรี้ยวกราด เดิมเขาคิดว่าปัญหานี้เป็นเรื่องง่ายๆ ไม่คิดสักนิดว่าตนจะเจอจุดพลิกกลับเช่นนี้ ช่างน่าอายยิ่งนัก
ในจังหวะนั้น เฉียวเทียนช่างเข้าไปหาหนิงเมิ่งเหยา กุมมือนางก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ครั้งนี้ข้าจะปล่อยเจ้าไป จะอย่างไร อนาคตเจ้าอาจจะเป็น ‘ผู้ทำคะแนนอันดับหนึ่ง’ แต่ถ้าเจ้ายังกล้ามาวุ่นวายกับว่าที่ภรรยาของข้า ข้ารับรองไม่ได้หรอกนะว่าสอบครั้งหน้า เจ้าจะยังถือพู่กันไหว”