ตอนที่ 149 รสนิยมทางเพศน่าจะมีปัญหา + ตอนที่ 150 โรคที่ซุกซ่อนคืออะไร

อัจฉริยะตัวน้อยกับคุณพ่อสุดโฉด

ตอนที่ 149 รสนิยมทางเพศน่าจะมีปัญหา

“ผมไม่ได้อยากได้?” ในที่สุดจิ่งเป่ยเฉินก็หันหน้าไปมองผู้เป็นแม่ “อยากให้ผู้หญิงของผมอยู่ที่นี่ก็ต้องไปหาทางทิศตะวันออกแล้วแหละ เรื่องตลกสิ้นดี”

“งั้นลูกก็พามาสักคนสิ! ตั้งหลายปีแล้วมีผู้หญิงแค่คนเดียวเหรอ?” ซูรั่วหยาเหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงนั่งลงข้าง ๆ เขา ก่อนจะใช้สายตาอ่อนโยนมองไปที่ลูกชาย

ถึงแม้ว่าสายตาจะอ่อนโยน แต่การที่ถูกแม่มองมาแบบนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย ก่อนจะขยับตัวไปด้านข้างอย่างเฉยชา

“ลูกชาย ลูกมีปัญหาเรื่องรสนิยมทางเพศใช่หรือเปล่า ลูกบอกว่ามีผู้หญิงที่ชอบก็เพื่อโกหกแม่ใช่ไหม?” ซูรั่วหยามองไปที่เขาอย่างซื่อตรง โดยไม่ได้สังเกตเลยว่ามือของจิ่งเป่ยเฉินที่ยกถ้วยชาอยู่นั้นกำลังสั่นเทา

เขายังคงยกถ้วยชาและเป่าอากาศร้อน ๆ อย่างใจเย็น ก่อนจะเอาชามาจิบทีละนิด และพูดอย่างช้า ๆ ว่า “ยืนยันได้เลยหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าผมชอบผู้หญิง”

“ลูกแน่ใจนะ? แล้วผู้หญิงกี่คน คนไหน?” ซูรั่วหยาเบิกตากว้างพลางเอ่ยถามด้วยความสงสัย

เขาเกือบจะสามสิบอยู่แล้ว ยังไม่แต่งงาน ทุกอย่างก็เพียบพร้อมดีซะขนาดนี้ ถ้าไม่ใช่ว่ามีปัญหา เธอก็คิดไม่ออกแล้วว่าเป็นเพราะอะไร!

“แค่ก แค่ก…” จิ่งเป่ยเฉินสำลักน้ำชา ก่อนจะรีบวางถ้วยชาในมือลงและหยิบกระดาษทิชชูมาเช็ด

เขาเอื้อมมือไปหยิบกระดาษทิชชูมา เมื่อเช็ดมุมปากเสร็จ ซูรั่วหยาก็ยังไม่ยอมแพ้ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง “พูดสิ หนึ่งคน สองคน หรือสามคน!…..”

จิ่งเป่ยเฉินโยนกระดาษทิชชูลงถังขยะที่ข้างเท้าอย่างเฉยเมย ก่อนจะพูดว่า “พ่อรู้ไหมว่าแม่สนใจเรื่องพวกนี้?”

เสียงของเขาเอ่ยอย่างสงบนิ่ง แต่คำพูดที่จิกกัดประมาณว่า ‘สนใจ’ สองคำนี้ เพื่อให้เขาแต่งงานแล้วจำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนี้เลยเหรอ

“ก็แม่เป็นห่วงลูกนี่! ถ้าหากลูกไม่ชอบผู้หญิง เป็นเพื่อนผู้ชาย อย่างน้อยก็ควรพามาให้พวกเราได้ดูกันบ้าง! ขอแค่ชายหนึ่งคนหรือว่าอะไรก็ได้ให้พวกเราสบายใจกันหน่อยเถอะ!” เธอแค่อยากอุ้มหลานเพราะไม่รู้จะได้อุ้มหลานตอนไหนกัน

มุมปากของจิ่งเป่ยเฉินกระตุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะพูดไปว่า “ลูกสะใภ้มีแล้ว หลานก็มีแล้ว ไม่ต้องรีบ”

เขาเองก็คิดว่าเร็ว ๆ นี้เขาจะทำให้อันโหรวสารภาพให้ได้ แต่ก็ยังไม่มีโอกาสดี ๆ และยังไม่มีหลักฐานแน่นหนาพอ ทุกอย่างเป็นแค่สิ่งที่เขาคาดเดา

“แม่กังวลมากแล้วนะ เร็ว ๆ นี้ผมหงอกก็ขึ้นเยอะแล้วด้วย! ลูกไม่รีบ! สาวที่แม่หาให้ลูกก็ไม่แต่ง! แล้วจะให้แม่วางใจได้ยังไง?” ซูรั่วหยาชี้ไปที่หัวของตนเอง จิ่งเป่ยเฉินมองดูแล้วก็เห็นผมสีขาวเส้นหนึ่งที่มองผ่าน ๆ แทบไม่เห็นเลยด้วยซ้ำไป

“วันนี้ผมกลับมาบอกแค่นี้แหละ เรื่องพวกนี้ผมเองก็กังวลเหมือนกัน อย่าได้จัดนัดบอดอะไรพวกนั้นอีก เดี๋ยวผู้หญิงที่ผมชอบ เธอจะหึงเอาได้” จิ่งเป่ยเฉินพูดจบก็ลุกขึ้นจากโซฟาและพูดว่า “ผมจะไปกินข้าวแล้ว”

เขากล้าพนันได้เลย ถ้าหากว่าตอนนี้เขาต้องไปนัดบอด อันโหรวไม่เพียงแต่จะไม่หึง เผลอ ๆ อาจจะปรบมือยินดีให้ด้วยซ้ำไป

เมื่อก่อนผู้หญิงคนนั้นมีแต่โอวหยางลี่อยู่ในใจ ตอนนี้ไม่รู้มีสามีคนไหนกันแน่ น่าขยะแขยงจริง ๆ

วันนี้ในออฟฟิศเขาพยายามหลบหลีกเธอเหมือนงู แม้จะมองด้วยสายตา ทั้งยังแอบสาบานในใจว่าหากจับเธอได้จริง ๆ ละก็ จะไม่ให้เธอลุกจากเตียงแน่ ๆ กล้ามาทำงานที่บริษัทจิ่งของเขาแบบนี้!

ยัยผู้หญิงหยิ่งยโสคนนั้น!

พวกเขารู้จักกันมานาน ถ้าหากหาไม่พบละก็ เขาคงไม่ใช่จิ่งเป่ยเฉินแล้ว!

คนรับใช้ที่เพิ่งตั้งชามและตะเกียบเงยหน้ามองเห็นดวงตาสีเข้มของจิ่งเป่ยเฉินเผยไอเย็นออกมา เธอตกใจมากจึงรีบก้มหน้าลงทันที และเตรียมรอรับคำสั่ง

จิ่งเป่ยเฉินไม่ค่อยได้กลับมาบ้าน ซูรั่วหยาจะปล่อยโอกาสแบบนี้ไปได้ยังไง จิ่งเป่ยเฉินหยิบตะเกียบขึ้นมา เธอก็นั่งลงตรงข้ามและเท้าคางมอง ก่อนจะพูดกับตัวเองว่า “ลูกชายของฉันนี่หล่อจริง ๆ ทั้งดูดุดัน มีเงินทอง มีเสน่ห์ มีอำนาจ แต่ทำไมถึงต้องไล่ตามผู้หญิงด้วย! เฮ้อ….สมกับเป็นตระกูลจิ่งของพวกเราจริง ๆ น่าเสียดาย!”

ยีนดีจริง ๆ นั่นแหละ เมื่อเห็นว่าหน่วนหน่วนนั้นสวยงามมากแค่ไหนยามที่ได้พบ แต่น่าเสียดายที่เขายังไม่เคยเห็นหยางหยาง อันอีหานคนนั้นตั้งใจไม่ยอมให้พบเขาอย่างเห็นได้ชัด

เมื่อคิดถึงจุดนี้เขาก็จับตะเกียบในมือแน่น แต่พอลองคิด ๆ ดูการเล่นเกมแมวจับหนูแบบนี้จะสนุกขนาดไหนกันนะ

เขาแทบตั้งตารอคอยไม่ไหวแล้ว!

……………………..

ตอนที่ 150 โรคที่ซุกซ่อนคืออะไร

เมื่อเห็นว่าจิ่งเป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร ซูรั่วหยาก็พูดต่ออย่างเป็นเอาตาย “เมื่อคืนคุณยายลูกเข้าฝันแม่ด้วยนะ! บอกให้ลูกรีบแต่งงานมีลูกเร็ว ๆ!”

“ให้ยายมาเข้าฝันผมคืนนี้ด้วยละกัน พอดีผมคิดถึงนิดหน่อย” จิ่งเป่ยเฉินตอบโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า ก่อนจะกินต่ออย่างสง่างาม

“ลูก………” เธอแค่ล้อเล่นอย่างเห็นได้ชัด แต่นี่เขาจริงจังขนาดนั้นเลยเหรอ

“เฉินเอ๋อร์ ผู้หญิงที่ลูกชอบชื่อว่าอะไร? คนที่ไหน? ปีนี้อายุเท่าไร? หรือ….”

“ไม่คิดจะเก็บไว้เป็นความประหลาดใจหน่อยเลยหรือไง?” ในที่สุดจิ่งเป่ยเฉินก็เงยหน้าขึ้นมองเธอ ก่อนจะกินข้าวต่อ

“ได้! ฉันจะรอละกัน จะเก็บความคาดหวังไว้ แต่ลูกจะให้แม่รออีกนานแค่ไหน หรือรอจนกว่าลูกจะพากลับมาบ้านได้กัน?” ถ้าแบบนั้นเธอคงรอไม่ไหวหรอก

ใครจะรู้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นความจริงหรือเปล่า ถ้าเกิดผลัดปีนี้ไปเป็นปีหน้า พอปีหน้าก็ผลัดเป็นปีมะรืน ไม่ช้ามีหวังเขาได้อยู่เป็นเฒ่าโสดอย่างแน่นอน

ใบหน้าของซูรั่วหยาเต็มไปด้วยความกังวล เธอรู้สึกว่าการที่ตัวเองเป็นแม่ของจิ่งเป่ยเฉินนั้นทำให้รู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้เธอเป็นแม่ที่ล้มเหลวเสียจริง ๆ ความสุขของลูกชายเธอก็ยังไม่อาจจัดการได้

จิ่งเป่ยเฉินวางตะเกียบลง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า “รู้สึกว่าผมมีเรื่องที่ต้องทำ ขอตัวก่อนนะ”

“เฮ้อ…เอ๊ะ ลูกกินให้เยอะ ๆ หน่อยสิ!” ซูรั่วหย่าหันหน้าไปมองลูกชายที่ก้าวเดินไปอย่างรวดเร็ว กระทั่งเดินหายไป

เพราะงั้นเมื่อไหร่เธอจะได้ลูกสะใภ้กับหลานสักที!?

เด็กคนนี้ไม่แข็งหรือยังไงกัน?

ตัวของจิ่งเป่ยเฉินหายไปจากประตูนานแล้ว ซูรั่วหยาจึงค่อย ๆ ลุกขึ้นและเดินไปที่โทรศัพท์ก่อนจะโทรหาฉีเซิงเทียน

“เซิงเทียน นี่คุณป้าจิ่งนะ!” ซูรั่วหยาดึงสายโทรศัพท์ไปมา ก่อนจะยิ้มและพูดประโยคลึกลับกับฉีเซิงเทียน “พวกหนูชอบออกไปเที่ยวด้วยกันบ่อย ๆ เคยเห็นจิ่งเป่ยเฉินเล่นกับผู้หญิงบ้างไหม?”

ฉีเซิงเทียนที่กำลังนั่งอยู่โต๊ะทำงานถึงกับตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็เผยรอยยิ้มกว้างออกมา ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ออกไปให้ไกลเล็กน้อย เพื่อป้องกันไม่ให้เสียงหัวเราะที่ดังขึ้นเข้าไปในหูของซูรั่วหยา

“เซิงเทียน! เขาคงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม? เธอบอกป้ามาทีสิ ป้าจะได้พาเขาไปตรวจที่โรงพยาบาล”

“เซิงเทียนได้ยินหรือเปล่า?”

ในฐานะที่ถือว่าเป็นผู้อาวุโส ซูรั่วหย่ารู้ดีว่าการที่เธอถามแบบนี้เริ่มไม่ถูกต้อง แต่เธอถูกจิ่งเป่ยเฉินบีบบังคับเสียจนแทบบ้า

ตั้งแต่ห้าปีที่แล้วตอนแรกที่จะแนะนำผู้หญิงให้เขารู้จัก แต่จนถึงตอนนี้ยังไม่เคยได้พบ ถ้าหากเขาจะคิดแต่งงานจริง ๆ คงพามาเจอนานแล้ว

“ป้าจิ่งครับ ผมคิดว่าพี่เฉินน่าจะมีปัญหาจริง ๆ นั่นแหละ” เขายิ้มอยู่ตั้งนานกว่าจะหยิบโทรศัพท์ดึงกลับมา และตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ มันน่ายินดีจริง ๆ

ถ้าสิ่งที่เขาพูดไม่ผิดไปละก็ ความหล่อเหลาของจิ่งเป่ยเฉินนั่นแหละที่เป็นปัญหา

ในหัวของซูรั่วหยารู้สึกราวกับได้ยินเสียงดัง ‘ตูม’ เหมือนกับมีอะไรบางอย่างระเบิดออกมา

เธอรีบวางสายอย่างลนลาน ก่อนจะหันหน้ามองไปยังประตูใหญ่ เป็นไปได้ไหมว่าหลังจากนี้เขาจะพาผู้ชายกลับมาจริง ๆ?

เมื่อคิดถึงจุดนี้ อะไรก็เป็นไปได้ทั้งนั้น เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเป็นกังวล เธอต้องรีบคิดหาวิธีพาจิ่งเป่ยเฉินไปโรงพยาบาลเพื่อตรวจสอบแล้วจริง ๆ

ไม่ว่าเธอจะพูดอะไรไป ตระกูลจิ่งก็ไม่อาจจะมาขวางเธอได้แน่ ๆ!

……

จิ่งเป่ยเฉินช่วงเวลาที่เขาจะออกมาจากบ้าน เขาได้เปลี่ยนเป็นรถของพ่อตัวเอง เขาจอดรถอยู่ตรงหน้าข้ามโรงเรียนอนุบาลสายรุ้งแต่เนิ่น ๆ สายตามองไปราวกับเหยี่ยวที่กำลังจับจ้องเหยื่อซึ่งก็คือโรงเรียนอนุบาลที่อยู่ฝั่งตรงข้าม

จากบริษัทไปยังบ้านสกุลจิ่ง จากบ้านสกุลจิ่งมายังที่นี่ นี่ก็เป็นเวลากว่าบ่ายสามโมงห้าสิบแล้ว ที่โรงเรียนอนุบาลตอนนี้ก็เริ่มมีผู้ปกครองมารับลูกแล้ว

พวกเขาทั้งหมดยืนกันอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียนอนุบาล ในขณะที่กำลังพูดคุยและรออย่างใจจดจ่อ เด็กน้อยเองก็กำลังจะถูกปล่อยให้กลับบ้าน

แล้วนี่เขาทำอะไรอยู่…..

เขาใช้สองมือจับพวงมาลัยไว้แน่น ก่อนจะจ้องมองไปที่ฝูงชนที่อยู่ตรงหน้าอย่างตั้งใจ ทันใดนั้นเขาก็เห็นร่างที่คุ้นเคยโผล่เข้ามาในดวงตาของเขา

อันอีหานกำลังเดินไปที่ประตูด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า และกำลังยืนรออยู่ที่ข้างหลังของใครหลายคนอย่างอดทนและไม่มีอารมณ์ขุ่นเคืองใด ๆ มีแต่รอยยิ้มที่มีความสุข ดูเงียบสงบไม่น้อย

เพียงแค่มองเธอแบบนี้ เขาก็รู้สึกราวกับว่าจิตใจสงบผ่านไปหลายเดือนหลายปี ราวกับว่าเขาและเธอกำลังรอให้เด็กน้อยออกจากโรงเรียน

ทันทีที่ความคิดนี้ออกมา เขาก็ตระหนักและไม่คิดจะปฏิเสธแม้แต่น้อย ถ้าหากอันอีหานคืออันโหรว เช่นนั้นหยางหยางกับหน่วนหน่วนก็คงรู้สึกประหลาดใจมากอย่างแน่นอน

ประตูโรงเรียนอนุบาลถูกเปิดออก เพื่อรอให้ผู้ปกครองที่อยู่นอกประตูเข้ามา อันอีหานก็เดินเข้าไปเช่นกัน

ใช้เวลาเพียงสิบกว่านาที เธอก็เดินออกมาพร้อมกับเด็กทั้งสองด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม หน่วนหน่วนที่ตอนนี้กำลังยิ้มไปมากะพริบตาไม่หยุด เมื่อเห็นเช่นนั้นหัวใจของเขาก็รู้สึกอบอุ่นตาม

เมื่อนึกถึงจุดประสงค์การมาในวันนี้ของตัวเอง เขาจึงรีบหันหน้าไปมองอีกด้านของเธอทันที หยางหยางกำลังมองเธอพร้อมกับถือกระดาษแผ่นหนึ่งอยู่ในมือ ดูเหมือนคล้ายกับเป็นรางวัลเล็ก ๆ