ตอนที่ 97 ซูตานหงผู้หน้าใหญ่ใจโต

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 97 ซูตานหงผู้หน้าใหญ่ใจโต

ได้ยินคำพูดของโหวหวาจือแล้ว ซูตานหงก็ไม่รู้จะกล่าวอะไรดี ส่วนคุณแม่จี้ถึงกับย่นคิ้ว

วันต่อมาคุณแม่จี้ก็ไปพูดกับเฝิงฟางฟาง “เธอกับเจี้ยนกั๋วมีลูกชายคนนี้คนเดียว ในอนาคตเงินทั้งหมดก็จะเป็นของเขา ไม่มีใครมาแบ่งกับเขาหรอก ตอนนี้เขากำลังโต เธอมีอะไรบำรุงเขาได้ก็ให้เขากินเถอะ!”

โหวหวาจือดูผ่ายผอมลงภายในเวลาไม่นาน ทำให้คุณแม่จี้รู้สึกปวดใจขึ้นมา

ตอนนี้ชีวิตของบ้านใหญ่ก็ไม่ได้รันทดเหมือนอย่างที่เคยเป็นแล้ว ไม่มีทางเหมือนกับเมื่อก่อนแน่นอน แต่ตอนนี้มีบ้านไหนบ้างที่ไม่เหลืออาหารเก็บไว้เลย? เธอต้องการจะใช้ชีวิตอย่างยากลำบากขนาดนั้นเลยเหรอ? ทำไมถึงได้ปล่อยให้ลูกต้องหิวโซขนาดนั้น?

นางเคยคิดว่าบ้านสี่ก็คงมีชีวิตความเป็นอยู่ไม่ต่างจากบ้านใหญ่ แต่ดูตอนนี้สิ สุดท้ายแล้วก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดทั้งหมด

ได้ยินแม่สามีพูดดังนั้น เฝิงฟางฟางจึงตอบว่า “ฉันมีโหวหวาจือเป็นลูกชายคนเดียว ทำไมฉันจะไม่อยากให้เขาได้อยู่ดีกินดีล่ะคะ? แต่มันก็เป็นไปไม่ได้ ถ้าไม่เก็บเงินไว้ตั้งแต่ตอนนี้ อนาคตจะอยู่กันยังไง? เจี้ยนกั๋วเป็นชาวนา ส่วนฉันก็มีเงินเก็บไม่มากนัก ในอนาคตโหวหวาจือจะต้องเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น มัธยมปลาย และมหาวิทยาลัย เรื่องพวกนี้ไม่ต้องใช้เงินเหรอคะ?”

หล่อนเองก็อยากมีลูกมากกว่านี้ แต่การคลอดโหวหวาจือในตอนนั้นก็ทำให้ร่างกายของหล่อนทรุดโทรม แถมช่วงนั้นเริ่มมีการใช้นโยบายวางแผนครอบครัวพอดี หล่อนจึงมีลูกได้เพียงคนเดียวเท่านั้น หากมีลูกมากกว่านี้จะถูกปรับเป็นเงินมหาศาล

ดังนั้นหล่อนจึงเป็นคนที่ใกล้ชิดลูกชายคนนี้มากกว่าคนอื่น ๆ ในหมู่บ้าน แต่ด้วยฐานะครอบครัวที่จำกัด ทำให้สิ่งที่หล่อนจะให้เขาได้มีอยู่อย่างจำกัดเช่นกัน

ครอบครัวของหล่อนไม่มีงานประจำที่จะทำให้มีรายได้ประจำต่อเดือนเลย!

เมื่อเห็นว่าหล่อนมีความคิดต่อร้านค้าในเมืองที่ไม่ได้ให้หล่อนดูแลแต่กลับให้ซูจิ้นตั๋งดูแลแทนแล้ว คุณแม่จี้ก็ย่นคิ้ว และไม่อยากจะพูดกับหล่อนในเรื่องนี้อีก แต่นางก็ยังพูดว่า “อย่าคิดอะไรมากนักเลย เจี้ยนอวิ๋นจะทำอะไรก็เป็นเรื่องของเจี้ยนอวิ๋น เขาจะให้อะไรกับใครก็ได้ แต่ไม่ได้ให้เปล่า ต้องทำงานตอบแทนเขาด้วย”

“ฉันรู้ค่ะว่าต้องทำงาน ฉันเองก็ไม่ได้ขี้เกียจเหมือนกัน แต่ตานหงทำแบบนี้ไม่ถูก หล่อนไม่ได้ให้ผู้ชายในครอบครัวเราไปช่วยงาน แต่กลับเอาคนนอกมาช่วยงานแทนต่างหากล่ะคะ!” เฝิงฟางฟางพูด ในความเห็นของหล่อนแล้ว ซูจิ้นตั๋งก็เป็นแค่คนนอกไม่ใช่หรือ?

“งั้นก็แล้วแต่เธอ แต่ในอนาคตเธอต้องเลี้ยงโหวหวาจือให้ดี ๆ ถ้าเธอไม่เลี้ยงเขาให้ดีแล้วเขาไม่ตัวสูงขึ้นล่ะก็ โหวหวาจือจะต้องโทษว่าเป็นความผิดเธอไปทั้งชีวิต” เมื่อคุณแม่จี้พูดจบ นางก็กลับไป

ยิ่งเฝิงฟางฟางคิดถึงเรื่องนี้ หล่อนก็ยิ่งเจ็บใจ พอจี้เจี้ยนกั๋วกลับมาถึง หล่อนจึงเล่าเรื่องที่คุณแม่จี้มาหาให้เขาฟัง “เจี้ยนกั๋ว แม่คุณเป็นอะไรไปเหรอคะ ท่านมาบอกว่าฉันเลี้ยงโหวหวาจือไม่ดีได้ยังไง? ถ้าครอบครัวเราฐานะดีกว่านี้ มีเหรอที่เราจะไม่ให้โหวหวาจือได้กินเนื้อ? มันเป็นเพราะเรื่องเงินชัด ๆ ครอบครัวพี่น้องตัวเองไม่ดูแล แต่กลับไปดูแลครอบครัวแม่ยายได้!”

บอกได้ว่าตอนนี้เฝิงฟางฟางกำลังอิจฉาริษยาจนแสดงท่าทางโมโหออกมา

เรื่องที่ผ่านมานั้นพอพูดกันได้ ไม่ให้ก็คือไม่ให้ แต่ทำไมถึงไม่ให้บ้านหล่อนไปช่วยงานในร้านค้านี้?

หล่อนทำงานได้รวดเร็วดีไม่ใช่เหรอ เทียบกับสะใภ้รองฝั่งบ้านแม่ที่ได้ยินมาว่าเพิ่งจะคลอดลูกแล้ว ฝ่ายนั้นไม่เป็นภาระมากกว่าหรอกหรือ? จะเทียบกับหล่อนได้อย่างไร!

ได้ยินดังนี้แล้ว จี้เจี้ยนกั๋วก็รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมาเล็กน้อย และรู้สึกว่าน้องชายสามไม่ได้ให้การใส่ใจเขามากพอ

สะใภ้สามจะต้องคุยเรื่องนี้กับเจี้ยนอวิ๋นแน่ ที่ซูจิ๋นตั๋งได้มาช่วยงานร้านที่อยู่ในเมืองก็เป็นเพราะเจี้ยนอวิ๋นต้องเห็นด้วย น้องชายสามเต็มใจที่จะดูแลคนนอกแต่กลับไม่ดูแลพี่ชายใหญ่ของตัวเองเสียอย่างนั้น

เขาเต็มใจยิ่งกว่าเต็มใจที่จะไปทำงานในร้านนั้นดีกว่ามาตรากตรำทำไร่ทำนาเสียอีก

“คุณอย่าสนใจเรื่องพวกนั้นเลย ตอนนี้โหวหวาจือกำลังโต คุณปล่อยให้เขาหิวไม่ได้หรอก” จี้เจี้ยนกั๋วบอก

“คิดว่าฉันไม่รู้เรื่องที่เขาไปกินข้าวที่บ้านสามเหรอคะ? คุณไม่รู้อะไรหรอก ฉันคิดว่าบรรดาหมาทั้งหลายที่บ้านสามกินดีอยู่ดีกว่าคนเสียอีกค่ะ!” เฝิงฟางฟางอดพูดอย่างอิจฉาไม่ได้

จี้เจี้ยนกั๋วไม่พูดอะไร แต่เขาก็ได้เห็นอาหารของบรรดาสุนัขที่บ้านนั้นแล้ว เขาไม่ต้องพูดอะไรเลยจริง ๆ มิน่าเล่าพวกมันถึงทั้งตัวสูงใหญ่พอ ๆ กับลูกวัวทั้งดุร้ายขนาดนั้น

หลังคุณแม่จี้ไปพูดแบบนั้นแล้ว โหวหวาจือก็ได้รับการปฏิบัติดีขึ้นมาก แต่ในคราวที่แล้วที่เขาบอกว่าหิว อาสะใภ้สามก็ให้เขามาหาที่บ้านก่อนจะไปโรงเรียน จากนั้นก็ให้ไข่ต้มสองฟองกับเขาแล้วบอกให้เขานำไปกินรองท้องที่โรงเรียน

ที่บ้านซูตานหงไม่ขาดแคลนไข่เลย ตอนนี้แม่ไก่บนภูเขาออกไข่กันเร็วมาก เธอจะกินไหวหรือ? ดังนั้นจึงไม่เป็นไรที่จะให้ไข่ต้มสองฟองกับโหวหวาจือ ไม่เพียงแค่ไข่ต้มเท่านั้น ในบางครั้งเธอยังให้แอปเปิลกับสาลี่กับเขาอีกด้วย

ทีแรกคุณแม่จี้ยังไม่รู้เรื่องนี้ แต่ในเช้าวันนี้ที่นางไปเยี่ยมบ้านสาม นางก็ได้รู้เข้า หลังปล่อยโหวหวาจือให้ไปโรงเรียนแล้ว นางก็พูดกับซูตานหง “เธอเพิ่งให้ของกินกับโหวหวาจือเหรอ?”

นางเพิ่งเห็นเมื่อกี้นี้เอง ไข่ต้มสองฟองกับแอปเปิลลูกหนึ่ง ถึงว่าทำไมช่วงนี้เธอถึงบอกว่าแอปเปิลที่บ้านหมดเร็วนัก!

มีโหวหวาจือหนึ่งคน เยียนเอ๋อร์อีกคนที่ตอนนี้กินวันละ 1 ลูกทุกวัน แถมตัวนางเองกับสะใภ้สามก็กินกันคนละลูกตลอด นี่มัน…

“เด็กผู้ชายจะกินจุหน่อยน่ะค่ะ ถ้าเขาอยากกินก็ให้เขากินเถอะ มันไม่ใช่ของหรูหรามีราคาอะไร ถ้าสวนผลไม้ของเราตั้งตัวได้แล้ว เราจะได้กินกันมากขนาดไหนล่ะคะ? เราไม่อาจปล่อยให้หลานชายคนโตของตระกูลจี้เตี้ยกว่าคนอื่น ๆ ได้หรอกค่ะ” ซูตานหงพูดตามความเป็นจริง

แม้เธอจะไม่ใช่คนใจกว้างนัก แต่โหวหวาจือหลานชายคนโตนี้ก็ช่างน่ารัก ยิ่งกว่านี้เขายังสนิทกับครอบครัวบ้านสามมากอีกด้วย เขามากินแล้วมันจะเป็นอะไรล่ะ? ครอบครัวพวกเขาไม่ได้ขัดสนอะไรสักหน่อย

นอกจากคำถามว่าจะเก็บเงินหรือไม่แล้ว ซูตานหงก็บอกว่าเงินที่ได้มาไม่ใช่เพื่อเก็บไว้อย่างเดียว แต่เพื่อใช้จ่ายตามความเหมาะสมให้ชีวิตสะดวกสบายขึ้น ไม่อย่างนั้นแล้วจะหาเงินมาเพื่ออะไรล่ะ?

แน่นอนว่าครอบครัวของเธอต้องมีเงินเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉินอยู่แล้ว ซึ่งซูตานหงเก็บเอาไว้หมดในปริมาณมหาศาล แต่ขณะที่เก็บเงินนั้นก็ต้องใช้จ่ายเพื่อดำรงชีพในแต่ละวันด้วย

เห็นเธอมีนิสัยหน้าใหญ่ใจโตขนาดนั้นแล้ว คุณแม่จี้ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเลยจริง ๆ

นางจะบอกเธอว่าอย่าทำแบบนี้ แต่ก็ติดที่ว่าหลานชายของนางเป็นคนได้ประโยชน์ ถึงอย่างนั้น นี่ก็เกือบจะเหมือนกับการเลี้ยงลูกชายคนหนึ่งเลย…

แล้วคุณแม่จี้ก็ไปเล่าเรื่องนี้ให้คุณพ่อจี้ฟังเป็นการส่วนตัว

คุณพ่อจี้ไม่ได้คิดอะไรมากนัก “ตานหงมีจิตใจและสายตาที่ดี คุณไม่เห็นเหรอว่าโหวหวาจือกำลังหิว ให้ ๆ เขากินไปเถอะ คนนอกจะได้ไม่มากินแทน”

แต่ไม่ต้องบอกเลยว่าเขามีความประทับใจต่อสะใภ้สามมากขึ้นอีกขั้น เธอช่างมีจิตใจและความสามารถแบบผู้มีบุญจริง ๆ

โหวหวาจือคือสมาชิกคนแรกของคนรุ่นที่สาม นี่ไม่ใช่จุดเริ่มต้นที่ดีหรือ? ถ้าหลานชายคนโตเป็นคนตัวเตี้ยแคระแกร็น เขาก็คงไม่อาจจะเชิดหน้าชูตาได้เวลาต้องออกไปไหนมาไหน

ครอบครัวบ้านใหญ่ยังมองอะไรในขอบเขตที่แคบ จึงไม่เห็นในสิ่งเหล่านี้ แต่ไม่ต้องกล่าวถึงบ้านสามเลย จับต้องอะไรก็เจริญรุ่งเรือง

คุณแม่จี้คิดดังนั้นเช่นกัน แต่นางก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “มันไม่ใช่เรื่องที่เราสองคนกินอาหารของบ้านสามหรอก แต่โหวหวาจือมากินด้วยน่ะสิ เห็นตานหงบอกว่าไม่เป็นไรแต่มันจะไม่มากไปเหรอ”

“งั้นเราก็ดูแลสวนให้ดี ๆ ไม่อย่างนั้นแล้วมีเรื่องไหนที่เราจะทำได้อีกล่ะ?” คุณพ่อจี้ตอบพร้อมกับมองนางอย่างเคือง ๆ

คุณแม่จี้เห็นดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน “ฉันจะไปเก็บไข่ล่ะ”

เรื่องนี้ก็ถือว่าจบลง แต่เห็นชัดว่าโหวหวาจือมีสีหน้าท่าทางดูดีขึ้นมากจากการช่วยเหลือของอาสะใภ้สาม เฝิงฟางฟางไม่รู้เรื่องพวกนี้มากนัก เห็นสีหน้าท่าทางของลูกชายดูดีขึ้นหล่อนก็รู้สึกว่าเป็นเพราะช่วงนี้เขาได้กินเนื้อ ต่อให้หล่อนจะรู้สึกเสียดายเงิน แต่ก็ยังรักลูกชายของตนอยู่ ดังนั้นในช่วงนี้หล่อนจึงหาเนื้อมาให้เขากินตลอด

วันเวลาดำเนินไปอย่างสงบสุขและอบอุ่น

พอถึงสิ้นเดือนสี่ จี้เจี้ยนอวิ๋นที่ออกจากบ้านไปนานกว่าสองเดือนก็กลับมาพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องทั้งสองของเขา

……………………………………