บทที่ 87 ย้อนกลับมาแว้งกัดคำหนึ่ง

ตื๊อรักแพทย์หญิง ฉบับท่านอ๋อง

จ้าวซื่อเห็นท่าทีของหลินชิงเวยที่แปลกไปก็ราวกับนางได้เห็นยมทูตอย่างไรอย่างนั้น ใบหน้านางปรากฏความหวาดผวาขึ้นเป็นริ้วๆ ที่ติดอยู่ในใจของนาง นางร้องเสียงอู้อี้สองคำคิดจะซ่อนตัวจากหลินชิงเวย

จะต้องเป็นฝีมือของหลินชิงเวยแน่แล้ว ตนเองพูดไม่ได้ก็เป็นฝีมือนางเช่นกัน

จ้าวซื่อหันไปมองหลินเสวี่ยหรง หลินเสวี่ยหรงไหนเลยจะปล่อยให้โอกาสดีงามเช่นนี้หลุดลอยไปได้ นางโอบกอดจ้าวซื่อร่ำไห้ปิ่มว่าใจจะขาดอีกทั้งยังผลักร่างของหลินชิงเวยออกไปพร้อมกับพูดกับทุกคนว่า “ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาเสแสร้งแกล้งทำที่นี่ เป็นเจ้า เป็นเจ้าที่ผลักท่านแม่ของข้าจนตกลงไปในน้ำ เจ้าคิดจะทำร้ายนางจนตาย คิดจะให้นางจมน้ำตาย หากไม่ใช่เพราะทุกคนมาทันเวลา ท่านแม่ของข้าต้องถูกเจ้าทำร้ายจนตายแล้ว! ฮือๆๆ…” หลินเสวี่ยหรงร่ำไห้อย่างน่าเวทนา “เจ้าเป็นฆาตกรสังหารผู้อื่น พวกเรามีความแค้นอันใดกับเจ้ากันแน่!”

หลินชิงเวยสะบัดปลายผมที่เปียกชุ่มไปด้วยน้ำและกล่าวว่า “ถูกต้อง ระหว่างข้าและพวกเจ้ามีความแค้นอันใดกันแน่ ข้าช่วยชีวิตจ้าวฮูหยินแต่กลับถูกเจ้าย้อนกลับมาแว้งกัด?”

หลินชิงเวยไม่กังวลแม้แต่น้อย ในเมื่อทุกคนต่างเห็นกับตาว่านางเป็นคนช่วยชีวิตจ้าวฮูหยิน ต่อให้มหาเสนาบดีหลินมีใจเอนเอียงกว่านี้ เขาย่อมมิอาจกล่าวโทษหลินชิงเวยโดยไม่แยกแยะถูกผิด

หลังจากเกิดเรื่องกับเซ่อเจิ้งอ๋อง ตาเฒ่าเจ้าเล่ห์เช่นมหาเสนาบดีหลินมีหรือจะไม่ให้คนไปสืบสาวราวเรื่องของหลินชิงเวยในวังหลวง ดียิ่งนักที่เขาให้คนไปสืบ คิดไม่ถึงอย่างยิ่งว่าหลินชิงเวยจะมีความสามารถจริงๆ ไม่เพียงแต่ออกมาจากตำหนักเย็นสำเร็จ ซ้ำยังรับใช้ข้างกายฮ่องเต้ มักจะอยู่ร่วมกับฮ่องเต้และเซ่อเจิ้งอ๋องเสมอ มิน่าเล่าเช้าวันนี้นางจึงร่วมนั่งรถม้าคันเดียวกับเซ่อเจิ้งอ๋อง

มหาเสนาบดีหลินเห็นบุคลิกท่าทีหนักแน่นมั่นคงและใจกว้างที่แผ่กระจายออกมาจากร่างของหลินชิงเวยอย่างชัดเจน สาวใช้ข้างๆ นำเสื้อคลุมมาคลุมบนร่างของนาง นางเผชิญหน้ากับข้อกล่าวหาของหลินเสวี่ยหรงราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น นางไม่เหมือนเมื่อก่อนจริงๆ เขาไม่รู้ว่านางเรียนรู้วิชาแพทย์ตั้งแต่เมื่อใดซ้ำยังถึงกับมีความแตกฉานในความรู้ทางการแพทย์เก่งกาจกว่าหมอหลวงของสำนักหมอหลวง

หลินเสวี่ยหรงคิดจะโยนความผิดทั้งหมดให้กับหลินชิงเวย นางไม่รู้เดียงสายังคงกล่าวหาอย่างเอาเป็นเอาตาย “ทั้งๆ ที่เป็นเจ้าที่ผลักท่านแม่ของข้าลงไป ท่านพ่อ” นางหันกลับมาคุกเข่าน้ำตานองหน้าอย่างน่าสงสารต่อหน้ามหาเสนาบดีหลิน กระทำการเรียกร้องอย่างไม่ไว้หน้ามหาเสนาบดีหลิน นางเรียกมหาเสนาบดีว่า “ท่านพ่อ” อย่างคุ้นชินต่อหน้าผู้คนทั้งหมด “ท่านพ่อ ท่านจะต้องคืนความเป็นธรรมให้เสวี่ยหรงและท่านแม่นะเจ้าคะ!”

ใบหน้าของมหาเสบาดีหลินเดือดดาลทันที ยามเช้าเขาเพิ่งจะตั้งคำสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าเซ่อเจิ้งอ๋อง ยามนี้จะให้ขุนนางในราชสำนักมองเขาอย่างไร ใบหน้าของเขาจึงเต็มไปด้วยโทสะ หลินเสวี่ยหรงยังวิงวอนให้เขาคืนความเป็นธรรมให้แก่นางไม่หยุดหย่อน เขาเงื้อมือขึ้นตวัดฝ่ามือลงบนใบหน้าของหลินเสวี่ยหรงหนักๆ ฉาดหนึ่ง

“พ่าง” เสียงดังขึ้น บริเวณโดยรอบมีเพียงความเงียบงัน ส่งผลให้หลินเสวี่ยหรงถูกตีจนงงงวย นางกุมใบหน้าซีกนั้นของตนเองสีหน้านั้นไม่อยากเชื่อว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น

นางเชื่อฟังรู้ความมาโดยตลอด เมื่อก่อนเพื่อประจบสอพลอมหาเสนาบดีหลิน มหาเสนาบดีหลินชื่นชอบนางมากกว่าหลินชิงเวย แต่ไรมาหลินชิงเวยไม่ออดอ้อนฉอเลาะแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ นางจึงจะเหมือนบุตรสาวของมหาเสนาบดีหลิน

แต่ด้วยเหตุใด มหาเสนาบดีหลินจึงตบตีนาง? เพื่อหลินชิงเวยถึงกับตบหน้านาง?

หลินเสวี่ยหรงไม่อยากจะเชื่อ นางถูกจ้าวซื่อโอบเข้ามาปกป้องในอ้อมอกด้วยสีหน้าย่ำแย่เช่นเดียวกัน

มหาเสนาบดีหลินพูดด้วยโทสะ “ข้าไม่ใช่บิดาของเจ้า บิดาของเจ้าคือพี่ชายของข้า ครั้งนั้นด้วยสงสารพวกเจ้าบุตรกำพร้าและหญิงม่ายข้าจึงรับพวกเจ้าเอาไว้ ชิงเวยจึงจะเป็นบุตรสาวสายตรงสกุลหลินของข้า มารดาของเจ้าตกลงไปในน้ำ ยังดีที่ชิงเวยไม่คำนึงถึงชีวิตตนเองกระโดดลงไปในน้ำช่วยชีวิตมารดาเจ้า เจ้าดียิ่งนักกลับใส่ร้ายป้ายสีนาง! ข้าสงสารพวกเจ้าสองคนแม่ลูกด้วยพี่ชายของข้าจากโลกนี้ไปแล้ว ทว่าข้าไม่อาจยอมรับการกระทำไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเช่นนี้ของพวกเจ้าเช่นกัน! เด็กๆ ส่งจ้าวฮูหยินและคุณหนูกลับไปพักผ่อนที่ห้อง!”

ถัดมาหลินชิงเวยถูกสาวใช้ประคองให้ลุกขึ้นเช่นกัน มหาเสนาบดีหลินแสดงความเป็นห่วงอย่างที่ผู้ซึ่งเป็นบิดาควรจะมี “ชิงเวย เจ้าไม่เป็นไรกระมัง?”

หลินชิงเวยกระจ่างแจ้งดียิ่ง ทว่าสีหน้าของนางยังคงเออออตามน้ำไป “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ บิดาไม่ต้องกังวล”

มหาเสนาบดีฉินเรียกให้สาวใช้รีบพาหลินชิงเวยกลับไปผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่ห้องเช่นกัน

บรรดาฮูหยินที่ยังยืนอยู่ข้างจ้าวฮูหยินในยามเช้าวันนี้ ยามนี้ล้วนไม่ส่งเสียงใดๆ

สาวใช้เดินนำหลินชิงเวยไปยังเรือนเล็กหลังหนึ่ง เมื่อเปรียบเทียบกับเรือนแยกต่างหากหลังอื่นในจวนมหาเสนาบดีแล้วชัดเจนยิ่งนักว่าเรือนเล็กหลังนี้อย่างห่างไกลออกมาอีกทั้งยังดูเรียบง่ายมากกว่าเรือนหลังอื่นๆ

ทันทีที่ก้าวย่างเข้าไปต้นไม้ใบหญ้าภายในลานเรือนรกรื้อ ราวกับเจตนาที่จะสร้างความลำบากใจให้กับอาจารย์ผู้ตกแต่งสวน กระทั่งอาจารย์ผู้ตกแต่งส่วนก็มิอาจจะตกแต่งสวนนี้ให้มีความแปลกใหม่ ในรั้วไม้ไผ่เต็มไปด้วยต้นไม้ ดอกไม้ และหญ้าวัชพืชขึ้นปะปนกัน ยากที่จะแยกออกว่าส่วนใดคือดอกไม้หรือต้นหญ้า กิ่งก้านบนต้นไม้แตกยอดเขียวชะอุ่มทว่ากลับแผ่กิ่งก้านสาขาออกไปอย่างไม่เป็นระเบียบ บางกิ่งยื่นออกไปขวางทางเดินด้านข้าง บนพื้นปูด้วยแผ่นหินสีเขียว ระหว่างแผ่นหินมีตะใคร่น้ำสีเขียวขึ้นอยู่เต็มพื้นที่

หลินชิงเวยคาดเดาได้โดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม สถานที่แห่งนี้ต้องเป็นเรือนที่อยู่อาศัยของเจ้าของร่างก่อนออกเรือนแน่แล้ว

ตาเฒ่าหลินผู้นั้นช่างเป็นคนจิตใจลำเอียงอย่างแท้จริง แม้กระทั่งบุตรสาวที่ตนให้กำเนิดก็ยังสู้บุตรสาวที่ผู้อื่นให้กำเนิดไม่ได้ ในสมองของเขามีถุงน้ำหรือไร?

หลินชิงเวยก้าวเดินช้าๆ สาวใช้ก้าวขึ้นหน้าเพื่อเปิดประตูห้อง นางก้าวเท้าเดินตามเข้าไปข้างในทันที ภายในห้องดูเหมือนจะไม่มีคนมาเก็บกวาดทำความสะอาดนานแล้ว บนโต๊ะแต่งหน้ามีฝุ่นละอองจับตัวเป็นชั้นบางๆ ยังดีที่ภายใต้ตู้เสื้อผ้ายังสะอาดสะอ้าน หลินชิงเวยเปิดตู้เสื้อผ้าหยิบกระโปรงสีรากบัวออกมาชุดหนึ่ง

นางยืนอยู่หน้ากระจกสำริด เงาของสตรีในกระจกสำริดนั้นดูพร่ามัว มีความรู้สึกว่างเปล่าเหมือนอยู่ท่ามกลางหมอก นางมองรูปร่างบนกระจกที่คล้ายมีคล้ายไม่มีพร้อมกับยกปลายนิ้วของตนแกะกระดุมบนอาภรณ์ออกทีละเม็ดอย่างช้าๆ

กระโปรงเปียกชุ่มแนบเนื้อตัวชุดนั้นถูกปลดออกจากร่าง ผิวพรรณของหลินชิงเวยเปลือยเปล่าในอากาศ ผิวนั้นขาวนวลผ่องราวกับผิวของสาลี่ที่เพียงบีบก็คั้นน้ำออกมาได้

ผลัดเปลี่ยนสวมกระโปรงสีรากบัวแล้วยิ่งขับให้ผิวพรรณของนางดูละเอียดอ่อน นางยังไม่ทันได้ผูกผ้ารัดเอวให้เรียบร้อย กลับได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาเบาๆ สองครั้งเข้ามาในโสตประสาท หลินชิงเวยรีบหยิบเสื้อผ้ามาคลุมเพื่อปิดบังเนื้อตัวของตนพร้อมกับหันไปมอง

เซียวอี้คนต่ำช้าไปมาไร้ซุ่มเสียง นางถึงกับไม่รู้ว่าเจ้าคนเลวทรามผู้นี้เข้ามาตั้งแต่เมื่อใด นางเห็นประตูของหน้าต่างเปิดออกครึ่งหนึ่ง คิดแล้วเขาน่าจะลอบเข้ามาทางหน้าต่าง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาในยามนี้ทำให้คนเห็นแล้วรู้สึกอึดอับคับข้องใจยิ่งนัก

หลินชิงเวยเลิกคิ้วพูดขึ้นเนิบๆ ว่า “ดีชั่วอย่างไรก็เป็นท่านอ๋องคนหนึ่ง ไฉนจึงติดตามผู้อื่นราวกับเป็นแมลงวันเล่า?”

เซียวอี้กล่าว “แมลงวัน? แมลงวันล้วนไปติดตามดอมดมสิ่งของไม่สดใหม่ แสดงให้เห็นว่าเจ้าและข้าชอบในกลิ่นเหม็นชนิดเดียวกัน” พูดแล้วก็ใช้สายตามองประเมินหลินชิงเวยขึ้นๆ ลงๆ แล้วเบ้ปากส่ายหน้าอย่างเกียจคร้าน “กระโปรงชุดนี้ไม่งดงาม”

หลินชิงเวยหัวเราะ เสียงหัวเราะของนางราวกับสีสันของวสันตฤดู “ข้ารู้ ข้าไม่สวมจึงจะงดงามที่สุด”

รอยยิ้มบนใบหน้าของเซียวอี้กดลึกขึ้นยิ่งขึ้น เขาเดินเข้ามาหานางทีละก้าว บีบให้นางยืนติดกับกับโต๊ะแต่งหน้า เขายื่นมือมาลูบไล้เส้นผมที่ยังเปียกชื้นข้างแก้มของหลินชิงเวย “เช่นนั้นจะถอดหรือไม่ ให้ข้าได้ชื่นชมให้ละเอียดถี่ถ้วน”

นอกหน้าต่างคือทัศนียภาพของวสันตฤดูที่มาเยือน สายลมแห่งวสันตฤดูพัดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง นำพากลิ่นหอมอ่อนๆ ม่านพฤกษาหลายกิ่งที่พลิ้วไหวแผ่วเบา

ร่างของหลินชิงเวยเอนไปด้านหลัง ลำคอระหงจึงโดดเด่นอยู่เบื้องหน้างดงามอย่างที่สุด ด้วยนางกำลังเงยหน้าส่งผลให้กระดูกไหปลาร้าทั้งคู่นั้นประณีตและเว้าลึกอย่างชัดเจน นางจับจ้องเซียวอี้ด้วยสายตายั่วยวน ขณะที่เซียวอี้เคลื่อนกายแนบชิดเข้ามานางยังมีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้าแต่ปลายนิ้วของนางกลับจิ้มเข้าไปในดวงตาทั้งคู่ของเซียวอี้อย่างฉับพลัน