ตอนที่ 677-678

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 677 เธอไม่รู้จักเขาแล้ว

กู้ซีจิ่วเงียบงัน

ท่านเทพศักดิ์สิทธิ์จากถ้อยคำของหลงซือเย่กับท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ที่เธอรู้จักใช่คนเดียวหรือไม่?

เธอมองประทีปของหลงซือเย่ที่ลอยไปไกล จะว่าไปก็แปลก เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าประทีปของเขาลอยทีหลังเธอ หลังจากปล่อยไปแล้วมีระยะห่างกับประทีปของเธอช่วงใหญ่ นึกไม่ถึงว่าผ่านไปครู่เดียว ประทีปของเขาจะไล่ตามประทีปของเธอทัน

ประทีปสองดวงอยู่เคียงกัน ลอยไปพร้อมกัน น่ามองกว่าประทีปคู่รักเหล่านั้นเสียอีก

กู้ซีจิ่วมองอยู่ครู่หนึ่งก็ถอนสายตากลับมา เธอรู้ว่าหลงซือเย่แอบเล่นเล่ห์ อันที่จริงคืนนี้เขาใช้สารพัดวิธีเพื่อสื่อความในใจอยู่ตลอด

สายลมริมแม่น้ำหนาวยะเยือก ถึงแม้จะเป็นเพียงต้นฤดูใบไม้ร่วง แต่ไม่รู้ว่าเพราะสาเหตุใดน้ำในแม่น้ำสายนี้ถึงเย็นเยียบอยู่ตลอดปี ดังนั้นริมแม่น้ำจึงหนาวเย็นมากเช่นกัน

“หนาวไหม?” หลงซือเย่ถอดเสื้อคลุมตัวนออกแล้วคลุมลงบนไหล่เธอ

กู้ซีจิ่วตัวแข็งทื่อ เสื้อคลุมตัวนอกของเขาแฝงความอบอุ่นบางๆ จากร่างเขาไว้ แถมยังเจือกลิ่นหอมยาจางๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของเขาไว้ด้วย…

กลิ่นยานี้แตกต่างจากจากตอนที่เขาเป็นหลงซี ถึงจะเป็นกลิ่นยาเหมือนกัน ทว่ากลิ่นบนร่างหลงซือเย่หอมกว่า แต่กลับไม่ใช่กลิ่นที่เธอคุ้นเคย…

เธอดึงเสื้อคลุมตัวนอกผืนนั้นออกจากไหล่ ส่งคืนเขา กล่าวยิ้มๆ “ตอนนี้ฉันไม่ใช่เด็กสาวธรรมดาแล้วนะ ความเย็นนิดๆ หน่อยๆ แค่นี้ฉันไม่หนาวหรอก”

หลงซือเย่ก็ไม่บังคับเธอ เพียงแย้มยิ้มแล้วเอ่ยตอบ “ในใจฉัน เธอคือกู้ซีจิ่วตลอดกาล ไม่ว่าจะพิเศษหรือธรรมดา…”

ดูท่าคืนนี้คนผู้นี้คงถูกคุณยายฉยงเหยาสิงร่างจริงๆ!

ถ้อยคำหวานซึ้งประโยคแล้วประโยคเล่าถูกกล่าวออกมา แถมยังใช้อย่างเป็นเหตุเป็นผลถึงเพียงนี้

เธอไม่รู้จักเขาแล้ว

เพียงแต่…

เอสูดหายใจเข้าลึกๆ มองหลงซือเย่แล้วถามออกมาตรงๆ “เจ้าสำนักหลง คุณตามจีบฉันเหรอ?”

เมื่อหลงซือเย่ถูกเธอเรียกว่าเจ้าสำนักหลงก็ตัวแข็งทื่อ ถอนหายใจออกมา “ฉันรู้สึกว่านี่ไม่น่าใช่ประโยคคำถามนะ แต่เป็นประโยคยืนยัน”

กู้ซีจิ่วเม้มปาก “แต่ฉันยังไม่แน่ว่าจะตอบรับความรู้สึกคุณได้ แม้กระทั่งทุกอย่างที่คุณเล่าในคืนนี้ฉันก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด…”

เมื่อเห็นหลงซือเย่เหมือนอยากจะเอ่ยอะไร เธอเลยพูดต่อไป “ฉันรู้ว่าฉันควรเชื่อ แต่ฉันรู้ว่าในใจของฉันยังทำไม่ได้ ดังนั้นเลยไม่อยากปิดบังคุณ ฉันเกลียดคนที่หลอกลวงเรื่องสำคัญกับฉันที่สุด ไม่ว่าเขาจะมีวัตถุประสงค์อะไร แต่หลอกลวงก็คือหลอกลวง ดังนั้นอย่าให้ฉันพบว่าทุกอย่างที่คุณเล่ามาเป็นเรื่องโกหก ต่อให้คุณโกหกแค่ประโยคเดียว ฉันก็จะละทิ้งทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคุณอีกแม้แต่น้อย คุณกล้ารับประกันไหม?”

หลงซือเย่กำลังจะพยักหน้า กู้ซีจิ่วก็เอ่ยขัดเขาอีกครั้ง “อย่าเพิ่งรีบพยักหน้ายอมรับ ฉันยังมีเรื่องจะพูดอีก ฉันจะให้โอกาศคุณอีกครั้ง ตอนนี้คุณยังสามารถบอกความจริงได้ ขอเพียงคุณมา ฉันรับรองว่าจะไม่ซักไซ้อะไรแน่นอน ยังจะพิจารณาความสัมพันธ์ของคุณกับฉันเหมือนเดิม แต่ถ้าคุณพลาดช่วงเวลาในคืนนี้ไปแล้ว ฉันจะไม่ให้โอกาสคุณอีก ตอนนี้ คุณจะรับประกันอยู่ไหม?”

ดวงตาทั้งคู่ของเธอสุกสกาวดั่งแสงดารา แฝงแววเฉียบคมรางๆ รอคำตอบจากเขา

หลงซือเย่ก็ตอบอย่างไม่ลังเล “ซีจิ่ว ฉันรับประกัน! ทุกอย่างที่เล่าให้เธอฟังในคืนนี้เป็นความจริง!”

กู้ซีจิ่วหลับตาลงเล็กน้อย จากนั้นก็ลืมตามองเขา “ขอเวลาฉันทบทวนสองสามวัน ตัวฉันในตอนนี้ยังตัดสินใจให้ตัวเองไม่ได้”

“ซีจิ่ว ฉันรอไหว และสามารถรอเธอได้ตลอด” น้ำเสียงหลงซือเย่อ่อนโยน

เขายืนอยู่ตรงนั้น สายลมพัดเสื้อคลุมเขาเลิกขึ้นนิดๆ ขับเน้นให้ตัวคนสง่างามดั่งต้นอวี้ แววตาสุกใสดุจดวงเดือน

ทำให้คนนึกถึงภาษิตขึ้นมาอย่างง่ายดาย ‘คนแปลกหน้าที่งดงามปานหยก’

บางทีอาจเป็นเพราะคืนนี้คือเทศกาลความรัก ทำให้คนอ่อนไหวง่าย ดังนั้นหัวใจของกู้ซีจิ่วจึงอุ่นวาบขึ้นมา

“อ๋า สารภาพรักแล้ว! คู่นี้สารภาพรักกันจริงๆ ด้วย!”

————————————————————————————-

บทที่ 678 อยู่ตรงหน้าดั่งไม่พบพาน มีรักมิสู้ไร้ใจ

“ข้าเติบใหญ่มาจนป่านนี้ในที่สุดก็ได้เห็นคู่ต้วนซิ่วตัวเป็นๆ แล้ว!”

“ทั้งสองคนรูปงามนัก น่าเสียดาย เป็นต้วนซิ่วไปเสียได้!”

เสียงกระซิบกระซาบพูดคุยขัดจังหวะความอบอุ่นในหัวใจของกู้ซีจิ่ว เธอเหลียวมองแวบหนึ่ง ถึงพบว่าตอนนี้รอบข้างมีผู้คนรายล้อมอยู่…

เธอกระแอมไอคราหนึ่ง ลากหลงซือเย่จากไป

“เขินเหรอ?” หลงซือเย่ข่มใจไว้ไม่อยู่อยากจะยิ้มออกมา ทว่านัยน์ตากลับมองมือเธออยู่ นับแต่พบกันอีกหน นี่เป็นครั้งแรกที่เธอจูงมือเขาก่อน เมื่อก่อนเวลาที่เธอจับมือเขา เขาไม่รู้สึกอะไรสักเท่าไหร่ แต่ตอนนี้พอถูกเธอจับมืออีกครั้งกลับรู้สึกเปี่ยมสุขนัก

“เขินบ้าเขินบออะไร!” กู้ซีจิ่วก็ยิ้มออกมาอย่างกลั้นไว้ไม่อยู่ “ผู้เฒ่าแค่ไม่อยากถูกคนที่มุงดูคิดว่าเป็นฝ่ายรับ! เคราะห์ดีที่ผู้เฒ่ามิใช่บุรุษ ไม่เช่นนั้นคงต้องแบกรับชื่อเสียงต้วนซิ่วนี้ไว้!” ทันใดนั้นเธอก็คิดเพ้อเจ้อขึ้นมา “ใช่แล้ว การกลับชาติมาเกิดแบบนี้ยากจะรับประกันได้ว่าจะกลายเป็นชายหรือหญิง ถ้าหากฉันกลับชาติมาเกิดเป็นผู้ชายล่ะ…”

“ถ้างั้นฉันก็จะเป็นต้วนซิ่ว!” หลงซือเย่กุมมือเธอแน่น

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออก…

เธอกระแอมไอ “ฉันคิดว่าต่อให้ฉันกลับชาติมาเกิดเป็นผู้ชายรสนิยมทางเพศก็คงจะปกติมาก ในตอนนั้นฉันคงจะชอบผู้หญิง ไม่คดงอ”

“อันที่จริงก็ไม่ยากนะ” น้ำเสียงหลงซือเย่เนิบนาบ “อย่าลืมว่าฉันเป็นหมอ สามารถผ่าตัดแปลงเพศได้”

“ฉันไม่คิดจะแปลงเพศหรอกนะ!” กู้ซีจิ่วเอ่ยขัดเขา เธอยังชอบเพศสภาพตามธรรมชาติอยู่ ควรเป็นอย่างไรก็เป็นเช่นนั้น

“งั้นฉันแปลงเพศเอง!” หลงซือเย่โพล่งออกมา

กู้ซีจิ่วตกตะลึง คนๆ นี้บ้าไปแล้ว! เขาอยู่ในฐานะผู้ชายมาร้อยแปดสิบปีแล้วคิดจะเปลี่ยนเป็นผู้หญิงจริงๆ เหรอ…

ถ้าบอกว่าไม่ซาบซึ้งเลยก็คงจะโกหก คราวนี้กู้ซีจิ่วไม่ได้ชักมือตนกลับ ยอมให้เขาจูงมือเดินเลียบริมแม่น้ำ

ทันใดนั้นก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ไปชั่วชีวิตก็ไม่เลว ทั้งสองคนผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายมาแล้ว เรื่องราวอื่นๆ จึงดูเบาบางไปเลย

ชั่วชีวิตช่างยาวนานเหลือเกิน หาผู้ที่รักกันด้วยใจจริงได้ยากนัก ในเมื่อชอบพอคนผู้หนึ่งแล้ว เช่นนั้นก็ควรแต่งงานซะ!

อีกอย่างใครจะรับรองได้ว่าชั่วชีวิตจะไม่เกิดความผิดพลาดขึ้น? ขอเพียงไม่ใช่เรื่องที่ผิดต่อหลักการก็พอแล้ว

บนโลกนี้ คนที่ไม่มีความรักต่อกันยังสามารถจูงมือประคับประคองกับไปชั่วชีวิตได้เลย เช่นนั้นเธอกับเขาที่ผ่านประสบการณ์ข้อพิพาทบุญคุณความแค้นมาแล้ว ถ้าก้าวไปด้วยกันอีกครั้ง ผู้ใดบอกไว้เล่าว่าพวกเขาจะยั่งยืนตราบชั่วฟ้าดินสลายไม่ได้?

“หลงซือเย่ วันมะรืนจะเป็นวันเข้าพิธีปักปิ่นในวัยสิบห้าปีของร่างนี้ คุณจะมาหาฉันไหม?” กู้ซีจิ่วเอ่ยขึ้นมา

ดวงตาหลงซือเย่ทอประกายทันที “แน่นอน!” เขาทราบดี ว่าเธอจะให้คำตอบเขาในวันนั้น

ซีจิ่วของเขา เป็นคนเด็ดขาดตรงไปตรงมาเช่นนี้เสมอ

….

ดวงดาวส่องสกาวเต็มฟากฟ้า กระจัดกระจายอยู่บนท้องนภา แต่ละดวงมีวงโคจรของตน แต่ละดวงต่างมีชะตากรรมของตน

ถ้าคุณไม่เข้าใจโหราศาสตร์ เวลาที่คุณเงยหน้ามองดวงดาว จะดูเหมือนว่าไม่เคยมีความเปลี่ยนแปลงเลย แต่กลับไม่ทราบว่าดวงดาวเหล่านี้ก็มีขึ้นมีลง มีกำเนิดใหม่และมีแตกดับ…

บนแท่นชมดาวที่แสนใหญ่โต เทพศักดิ์สิทธิ์หวงถูเอนกายอยู่บนตั่งหยกขาวตัวหนึ่ง ด้านข้างคือโต๊ะหยกขาว บนโต๊ะมีสุรามีน้ำชาและมีภาพวาด…

สุราเป็นสุราที่นางเคยเมามาย ชาคือชาที่นางเคยชื่นชม ส่วนภาพวาด ก็คือภาพเหมือนของนาง

ในภาพคือเด็กสาวชุดดำคนหนึ่ง เรือนผมดำขลับ บุคลิกเย็นชา ใบหน้าน้อยๆ แฝงแววหยิ่งทะนงไม่ยอมศิโรราบ ราวกับกำลังมองเขาอยู่

เขาเพ่งพิศภาพนั้นอยู่พักหนึ่ง แล้วยืดกายขึ้นเขียนกลอนลงบนภาพนั้นสองวรรค ‘อยู่ตรงหน้าดั่งไม่พบพาน มีรักมิสู้ไร้ใจ’

เมื่อเขียนเสร็จ ก็เงยหน้าขึ้นมองดวงดาวบนฟ้าอยู่ครู่ใหญ่ พบว่าดาวน้อยที่ขึ้นมาใหม่ดวงนั้นเหมือนจะเจิดจ้าขึ้นกว่าเดิม

เดิมทีมันอยู่โดดเดี่ยวดวงเดียว แต่ตอนนี้รอบกายมันเริ่มปรากฏดาวหลายดวงรายล้อม มีอยู่สองสามดวงที่ถึงขั้นเจิดจ้ากว่ามันเสียอีก…