บทที่ 94 สัตว์ประหลาดที่ร้ายกาจจำนวนมาก
-ไม่ ข้าจะปล่อยให้มันเข้าไปในอาณานิคมไม่ได้-
-หากว่ามันเข้าไปล่ะก็ ด้วยระดับการบ่มเพาะของมัน ต่อให้ข้าจะแกร่งขนาดไหนก็สามารถโค่นล้มมันได้ตรงๆ และนี่จะทำให้อาณานิคมของข้าตกอยู่ในสภาพนรกบนดิน-
-แต่ถึงแม้ว่าท่าเท้าของข้าจะเหนือล้ำ แต่ไอ้ระยำตัวนี้มันอยู่ใกล้อาณานิคมเกินไป เพียงชั่วพริบตามันก็จะเข้าสู่อาณานิคมได้แล้ว-
เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงได้เก็บดาบดั้นเมฆในมือก่อนที่จะบังเกิดประกายแสงสีดำขึ้นในมือของเขา และนี่ให้ธนูสีดำทมิฬคันหนึ่งได้ปรากฏอยู่ในมือ
ด้วยพลังจิตของเฉินเฉียงในขณะนี้ การที่เขาจะล็อกเป้าลีจี๋นั้นง่ายมาก และเป็นตอนนี้ที่เขาได้ปล่อยธนูพลังงานสายเลือดพุ่งตรงไปยังหลังของลีจี๋ ที่กำลังโจนทะยานอย่างรวดเร็วประดุจประกายแสง
ลีจี๋ผู้ซึ่งกำลังวิ่งอย่างบ้าครั้ง เขานั้นโจนทะยานขึ้นไปบนประตูทางเข้าในอาณานิคม เขาหันไปมองยังทิศทางที่เฉินเฉียงอยู่ เขาก็เห็นว่าเฉินเฉียงยังอยู่แต่ไกล นี่ทำให้เขานั้นคิดจะหันหน้าไปเยาะเย้ยเขา แต่ตอนนั้นเขาเห็นว่ามีธนูสีดำปรากฏอยู่ในมือเฉินเฉียงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้
ลีจี๋ผู้ซึ่งพึ่งจะก้าวเข้าสู่ระดับการบ่มเพาะนายพลวิญญาณขั้นกลางได้นั้นย่อมไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใด แต่เมื่อได้เห็นคันธนูสีดำที่อยู่ในมือของเฉินเฉียงแล้วเขากลับรู้สึกได้ถึงภัยอันตรายที่กำลังจะมา
แต่เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจไม่น้อยเมื่อเห็นว่าธนูของเฉินเฉียงนั้นไม่มีลูก
“ฮ่าฮ่าฮ่า เฉินเฉียง ข้าล่ะไม่คิดเลยจริงๆว่าแกคิดจะใช้ลูกไม้เด็กๆแบบนี้ แกเร็วนักไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมถึงไม่ตามข้ามาล่ะ”
“มีแต่ธนูในมือ เหอะเหอะเหอะ ไหนลูกล่ะโว้ย”
“ในเมื่อแกไม่มีลูกแล้วแกจะถือธนูไว้ทำหอกอะไรวะ เหอะ”
ลีจี๋ผู้ซึ่งพึ่งจะยืนตระหง่านบนประตูอาณานิคมในตอนนี้ก็เป็นที่สะดุดตาของเหล่าชาวอาณานิคมผู้อ่อนแอและนักรับสายเลือดบางคนที่เฝ้าอยู่ที่หน้าประตูอาณานิคมก็ทำให้พวกเขานั้นต้องตื่นตกใจ
อย่างไรก็ตาม เพียงเขาพูดยั่วยุเฉินเฉียงจบลงและทำท่าที่จะเข้าไปในอาณานิคมหมายจะฆ่าล้าง เขาคิดไม่ถึงว่าเกราะพลังงานที่เขาใช้เคลือบร่างกายเอาไว้จะแตกออก พร้อมๆกับอกที่กลายเป็นรูโหว่
ลีจี๋ในตอนนี้ยังคงจ้องมองที่รูโหว่กลางหน้าอกขนาดใหญ่อย่างไม่เชื่อสายตา จนกระทั่งต้องจบชีวิตลงก็ยังไม่รู้ว่าเขาตายเพราะเหตุใด
แน่นอนว่าหากว่าเขานั้นใส่ใจที่จะเพิ่มความหนาของเกราะพลังงานของตนอีกสักเล็กน้อยก็คงจะไม่ลงเอยแบบนี้
แต่การที่ไม่คิดว่าโลกนี้จะโหดร้ายถึงเพียงนี้ คนแบบนี้จึงไม่คิดจะใส่ใจ
เมื่อเห็นว่าลีจี๋ผู้ซึ่งอกทะลุด้วยลูกธนูพลังงานของเฉินเฉียงร่วงหล่นออกมาที่หน้าประตูทางเข้าอาณานิคม นี่ทำให้เฉินเฉียงในที่สุดก็ถอดถอนลมหายใจออกมาได้อย่างโล่งใจ
หากเขาไม่ได้ธนูสีดำคันนี้ล่ะก็ เห็นทีเรื่องในวันนี้คงจบลงด้วยภาพที่เขาไม่อยากจะคาดถึง
เมื่อสถานการณ์อันตรายได้ผ่านพ้น เฉินเฉียงจึงได้ทำการดูดซับพลังงานจากศพทั้งสองในทันที
ชื่อ เฉินเฉียง
ระดับ: นักรบสายเลือดระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น
การหลอมรวมทักษะ: 1
ค่าพลังงาน:825,300
ค่าการใช้ประโยชน์:1
ค่าความอดทน:217
ค่าความแข็งแกร่ง:199
ค่าความเร็ว:209
ค่าพลังจิต:135
เคล็ดวิชาการบ่มเพาะ: หลอมเลือดทำลายล้างระดับต้น
…..
ทักษะ: ไร้ตัวตน
…..
สายเลือด: โกลาหลแรกกำเนิด
เมื่อเห็นผลที่ได้หลังจากการดูดซับก็อดไม่ได้ที่จะงุ้มปากลง
นั่นก็เพราะนอกจากระดับขั้นของเขาที่เปลี่ยนไปจากเดิมเป็นระดับนายพลวิญญาณขั้นต้น กับค่าสถานะที่ไม่ค่อยจะเปลี่ยนสักเท่าไหร่แล้ว ถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือไอ้สองคนที่มีระดับนายพลวิญญาณขั้นกลางนี้ไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับเขาเลยสักนิด
และในตอนที่ลีจี๋ตกล่วงลงมานี้เองก็ทำให้หลิงเว่ยและคนอื่นๆพึ่งจะรู้ตัวว่ามีเรื่องเกิดขึ้น
เฉินเฉียงได้เก็บร่างทั้งสองของพี่น้องลีไว้ในแหวนเก็บของก่อนที่จะไปกล่าวลากับหลิงเว่ยอย่างไม่อยาก “นายพลหลิง ข้าคงไม่อาจจะอยู่ที่นี่ได้อีกต่อไป”
“ด้วยสมบัติที่ข้ามีทำให้ต้องมีไอ้คนแบบนี้จากสำนักเต่าดำตามมาอีกเป็นโขยงเป็นแน่”
“ตราบใดที่ข้าไม่อยู่ที่นี่ ข้าเชื่อได้ว่าพวกมันนั้นยากที่จะลงมือ”
ถึงแม้หลิงเว่ยจะไม่อยากให้เฉินเฉียงต้องจากไปเร็วนัก แต่ในฐานะที่เขาเป็นผู้นำอาณานิคม เขาเองก็ต้องเลือกทางที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับอาณานิคมของตน นี่ทำให้เขาเองไม่มีทางเลือกและทำได้เพียงพยักหน้ารับเห็นด้วยอย่างช่วยไม่ได้
หลังจากออกจากอาณานิคมเขาหมางแล้ว เฉินเฉียงยังไม่ได้มุ่งกลับไปยังสำนัก
ในเมื่อเป้าหมายของผอ.นั้นเพียงให้เขากลับไปที่นั่นก่อนการประลองเท่านั้น แล้วเขาจะรีบกลับไปทำไมกัน
ยิ่งไปกว่านั้นคือ เขาตอนนี้ไม่มีแต้มคะแนนเหลือแล้ว ต่อให้เขากลับไปที่นั่นก็ไม่อาจจะทำการบ่มเพาะได้ด้วยเวลาอันสั้น การผจญภัยในโลกภายนอกนี่ต่างหากที่จะช่วยให้เขาพัฒนาตนเองได้ในตอนนี้
เมื่อคิดได้ดังนี้ เขาจึงได้เปิดกำไลสื่อสารที่ผอ.ให้มาก่อนที่จะเปิดแผนที่ข้างในดู
แผนที่แห่งนี้ได้ลงตำแหน่งสำคัญของพื้นที่ในการดูแลของตึกจอมพลทั้งสามเอาไว้ จะบอกได้ว่าทั่วทั้งเขตภาคกลางนี้ล้วนแล้วอยู่ภายใต้การปกครองของตึกจอมพลทั้งสามเลยก็ว่าได้ ส่วนทิศทางที่เฉินเฉียงกำลังจะไปในครั้งนี้นั้นก็คือตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทรา
ในเมื่อเขานั้นต้องการธงจอมพลเทียนเว่ยอยู่แล้ว ทำไมเขาจะไม่ไปทำความคุ้นเคยกับที่นั่นไว้ก่อนล่ะ อย่างน้อยๆเขาก็อยากจะรู้ว่าความแข็งแกร่งของกองกำลังเทียนเว่ยนั้น ในตอนนี้มีขนาดไหน
หลังจากจดจำเส้นทางได้อย่างขึ้นใจแล้ว เฉินเฉียงได้ทำการปิดกำไลสื่อสารเพื่อป้องกันผอ.เฉียนไม่ให้พบเป้าหมายของเขา หลังจากนั้นเขาก็วิ่งตรงไปยังตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราในทันที
ตลอดทาง เฉินเฉียงพยายามหลีกเลี่ยงไม่ผ่านไปยังสถานที่สีแดงที่ปรากฏในแผนที่ที่เขาจำได้ เพราะที่นั่นหากไม่เป็นรังของสัตว์ประหลาดก็เป็นที่อยู่ของพวกมนุษย์กลายพันธุ์
และด้วยการที่พื้นที่ภาคกลางนี้มีทั้งเผ่าพันธุ์มนุษย์ สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์กระจายอยู่กันไปทั่วราวกับปลิวไปตามลม พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปกครองโดยตึกจอมพลแห่งเขตกันหนัน สัตว์ประหลาด และมนุษย์กลายพันธุ์ตามลำดับ ถึงกระนั้น ในพื้นที่แห่งนี้ มนุษย์ ถือได้ว่าเป็นกองกำลังที่ทรงอิทธิพลที่สุด
ในทำนองเดียวกัน หากพื้นที่ใดที่ถูกควบคุมโดยสัตว์ประหลาดและมนุษย์กลายพันธุ์ เผ่าพันธุ์มนุษย์ถึงแม้จะแข็งแกร่งแต่ก็ยังต้องหลบซ่อน นักรบเหล่านี้เปรียบได้ดั่งกองกำลังที่แฝงตัวเข้าไป และจะเป็นกำลังสำคัญของมนุษย์ ยามที่ต้องมีการเผชิญหน้ากัน
การเดินทางในครั้งนี้ของเขารวมๆแล้วกว่าสี่พันไมล์ ด้วยการที่เขานั้นต้องระวังตัวอย่างมากเพื่อไม่ศัตรูที่แข็งแกร่งรู้ตัว นี่จึงทำให้เขานั้นเดินทางไปได้ไม่เร็วนัก
อย่างไรก็ตาม เฉินเฉียงนั้นก็ไม่อาจหลบรอดจากกลุ่มสัตว์ร้ายไปได้
หากดูจากแผนที่แล้ว ในตอนนี้เขาควรจะอยู่ห่างจากตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราอีกไม่เกินพันไมล์
แต่เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าจะต้องมาเผชิญหน้ากับฝูงสัตว์ประหลาดระดับสูงแบบนี้
“สัตว์ประหลาดมากมายขนาดนี้ไม่เห็นมีแจ้งในแผนที่เลยฟะ”
เมื่อคิดได้ดังนั้น เฉินเฉียงได้เปิดแผนที่ขึ้นมาดูอีกครั้งเพื่อยืนยันว่าเขาไม่ได้จำผิดไป
เขาไม่คิดเลยจริงๆว่าการที่เขาจะผ่านไปยังตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรา กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ตรงหน้า
หากเขาไม่เลือกที่จะอ้อมก็ต้องฝ่าเขาไปตรงๆ
เฉินเฉียงในตอนนี้ได้เอนกายลงกับพื้นพร้อมทั้งใช้ไร้ตัวตนและทำการตรวจสอบพื้นที่โดยรอบด้วยทักษะสัมผัสด้วยเสียง และได้พบว่าสัตว์ประหลาดเหล่านี้ล้วนแล้วแต่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต่ำ หากเขาจะวิ่งฝ่าไปก็ไม่ใช่เรื่องยาก
หลังจากเขาตัดสินใจแล้ว เฉินเฉียงก็ได้เตรียมที่จะลุกขึ้นและได้พบกับสัตว์ประหลาดหมูป่าเขี้ยวดาบที่อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นต่ำสองตัวเดินมาทางเขา
สิ่งที่ทำให้เขาสนใจนั้นไม่ใช่ความแข็งแกร่งของพวกมันแต่เป็นสิ่งที่พวกมันกำลังคุยกันอยู่
ด้วยการที่หมูป่าเขี้ยวดาบสองตัวนี้ไม่ได้สังเกตเห็นเฉินเฉียงผู้ซึ่งกำลังทำตัวกลมกลืนไปกับผืนฝุ่นและหินผา และพวกมันยังไม่คิดว่าเฉินเฉียงนั้นจะมีความสามารถที่จะรับฟังพวกมันออก
“พี่ใหญ่ ทำไมพวกเราต้องมาลาดตระเวนอยู่แบบนี้อีกเนี่ย นี่ก็ผ่านมาตั้งนานแล้วนะยังไม่เห็นใครเลยสักคน”
“ไอ้โง่ แกแค่ทำตามที่นายพลแจ็คกัลสั่งก็พอแล้ว อย่าได้บ่นอะไรไร้สาระอีก”
“เออใช่ พี่ใหญ่ ไม่ใช่ว่านายพลแจ็คกัลเรียกพี่ไปพบมาไม่ใช่รึ”
“บอกหน่อยสิว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่อย่างนั้นข้าคงไม่อาจวางใจได้เป็นแน่”
“เออ ก็ได้ก็ได้ แต่แกอย่าได้ไปปากมากพ่นไปเรื่อยล่ะ”
“การที่พวกเรามาออกันอยู่ที่นี่นั้นแกไม่สังเกตมั่งรึไงว่าตอนนี้พวกเราบางส่วนเองก็ได้มุ่งไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้น่ะ ความจริงแล้วก็คือตอนนี้มีนายพลของเผ่าพันธุ์มนุษย์อยู่ที่นั่นจำนวนแปดคน เมื่อถึงเวลา พวกเราก็จะล้อมพวกมันได้อย่างสมบูรณ์”
“จริงเหรอพี่ใหญ่ พี่รู้ได้ยังไงว่าที่นี่ว่ามีไอ้พวกมนุษย์แปดคนนั่นอยู่ที่นั่นได้กัน”
เมื่อเฉินเฉียงได้ยินคำกระซิบกระซาบนี้ก็อดที่จะเงี่ยหูฟังไม่ได้ในทันที เขาต้องรู้ให้ได้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นที่นี่