ตอนที่ 109 ยอมก้มหน้าเพื่อจูบคุณแค่คนเดียว / ตอนที่ 110 ป่วยครั้งนี้คงจะไม่หายแล้ว

ช้าก่อนคุณป๋อ! ครั้งนี้ขอเป็นรักสุดท้าย

ตอนที่ 109 ยอมก้มหน้าเพื่อจูบคุณแค่คนเดียว

 

 

“แค่คุณยอมนั่งอยู่ในนี้แบบไม่ดื้อไม่ซนก็พอแล้ว”

 

 

เธอขมวดคิ้วมองเขาที่ได้ผละตัวออกไป ก่อนจะหันไปหยิบแก้วน้ำที่วางอยู่บนถาดและยาที่วางอยู่ในฝาขึ้นมาแล้วเดินมาทางนี้

 

 

“คุณทานยาก่อนเถอะ”

 

 

เธอเองก็ไม่ได้ปฏิเสธ รับยานั่นมาทานมันลงไปต่อหน้าเขา

 

 

“เด็กดี”

 

 

ดูเหมือนวันนี้ป๋อจิ่งชวนจะชอบเล่นผมเธอเสียเหลือเกิน เขาขยี้ผมบนศีรษะเธอไปมาก่อนจะผละตัวออกไป

 

 

เธอมองเขานั่งลงไปบนเก้าอี้อีกครั้งแล้วยกโจ๊กขาวที่วางอยู่ในถาดขึ้นมาด้วยท่วงท่าสง่าและน่ามอง

 

 

จะมองมุมไหนก็ดูสูงค่าไปหมด แม้แต่ทานอาหารยัง…ดูดีเลยเหรอ

 

 

เธอรวบขาเข้าด้วยกันแล้วเอนตัวพิงกับโซฟา สองมือวางไว้บนหัวเข่าแล้วมองเขาทานอาหารไปอย่างเงียบๆ

 

 

เขาทานโจ๊กหมดไปอย่างรวดเร็วจากนั้นก็ยกผ้าขึ้นมาเช็ดมุมปาก

 

 

“นี่คุณไม่ก้มหน้าเลยเหรอ”

 

 

เธอถามคำถามนี้ออกไปอย่างอดใจไม่ไหว

 

 

จะเคร่งมารยาทไปถึงไหนแม้แต่ดื่มซุปก็ยังไม่ก้มหน้า

 

 

ป๋อจิ่งชวนนำผ้าเช็ดปากวางไว้อีกทางแล้วหยิบแก้วน้ำขึ้นมาดื่มไปหนึ่งคำ

 

 

หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่สักพักเขาก็หันไปยิ้มจางๆ พร้อมกับเอ่ยขึ้นว่า

 

 

“ผมก้มหัวต่อหน้าคุณเท่านั้น”

 

 

“ว่าไงนะ”

 

 

ดวงตาคู่นั้นที่พกพาความงัวเงียมาด้วยเมื่อครู่

 

 

กลับถูกแทนที่ด้วยความฉงน เธอมองไปยังชายหนุ่มที่กำลังเดินเข้ามาหาเธอ

 

 

เขาโน้มตัวลง สองมือยันไว้ข้างลำตัวเพื่อขังเธอไว้ให้อยู่ระหว่างโซฟาและแผ่นอกของเขา

 

 

เธอแหงนหน้าขึ้นมอง ร่างกายเผลอถดหนีไปด้านหลัง ท้ายทอยพาดลงพนักพิงหลัง

 

 

“จู่ๆ คุณจะมา…จูบฉันอีกทำไมเนี่ย”

 

 

“ตอบคำถามคุณไง”

 

 

เฉินฝานซิงสงสัยว่าสมองของเธอจะโดนไข้เผาไหม้ไปแล้วหรือเปล่า

 

 

ทำไมเธอถึงได้รู้สึกว่าตัวเองไม่ฉลาดเหมือนเมื่อก่อนเลย

 

 

เธอเพิ่งถามเขาไปเรื่อง…ไม่เคยก้มหน้าเลยไม่ใช่เหรอ

 

 

ทำไมถึงมอบจูบให้เธอเป็นคำตอบล่ะ

 

 

หลังจากที่ขมวดคิ้วครุ่นคิดไปได้ไม่นานความประหลาดใจก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเธอ

 

 

ตามมาด้วยอาการหัวใจเต้นแรงและความเขินอาย

 

 

“เข้าใจแล้ว?” เขาถามเสียงกดต่ำ

 

 

เธอส่ายหน้าปฏิเสธ “…เปล่า”

 

 

“โกหกต้องถูกลงโทษ” นิ้วเรียวของเขาลูบไล้ริมฝีปากของเธอพร้อมนัยน์ตาที่แฝงไปด้วยรอยยิ้ม

 

 

เมื่อนึกถึงภาพที่เขาจับโกหกเธอได้แล้วจู่ๆ ก็จูบเธอเมื่อวาน เธอจึงเสหน้าไปอีกทาง

 

 

“ยอมก้มหน้าก็ต่อเมื่อจะจูบ”

 

 

“ผิดแล้ว” เขากดเสียงต่ำ “ยอมก้มหน้าเพื่อจูบคุณแค่คนเดียว”

 

 

นั่นทำให้เขายืดตัวขึ้นอย่างพอใจก่อนจะกลับไปนั่งที่เก้าอี้อีกแล้วนำงานขึ้นมาทำใหม่อีกครั้ง

 

 

ป๋อจิ่งชวนแกล้งแหย่กันเล่นเช่นนี้ทำเอาเฉินฝานซิงจิตใจไม่สงบไปค่อนวัน

 

 

ผู้ชายคนนี้ ชักจะน่ากลัวเกินไปแล้ว

 

 

แค่ร่างกายนั้น ใบหน้านั้นก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้สาวๆ ใจเต้น นึกไม่ถึงเลยว่าจะมีฝีมือในการมอมเมาหัวใจของคนอื่นได้ขนาดนี้

 

 

เธอยกยิ้มขึ้นอย่างลืมตัว จ้องมองเขาทำงานต่อไปอย่างไม่ไหวติง

 

 

ดวงตาที่เปิดอยู่นั้นปิดลงไป แล้วก็เปิดขึ้นอีกครั้ง เป็นเช่นนั้นซ้ำๆ หลายครั้งก่อนที่เธอจะรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ

 

 

เป็นเช่นนั้นจนกระทั่งยี่สิบนาทีให้หลัง เฉินฝานซิงแหงนหน้าขึ้นมองชายหนุ่มและเขาก็ยังคงแก้ไขเอกสารอยู่เช่นเดิม

 

 

เธอเปลี่ยนอิริยาบถโดยการลุกออกจากโซฟา

 

 

ป๋อจิ่งชวนที่รับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหว จึงเงยหน้ามองก่อนจะพบว่าเธอกำลังถือแก้วน้ำหนึ่งใบ ขาเรียวตรงคู่นั้นวนเวียนไปมาอยู่ข้างหน้าและใกล้เข้ามาเรื่อยๆ

 

 

จากนั้นจึงมาหยุดอยู่ตรงหน้าเขาก่อนที่แก้วน้ำจะถูกยื่นมาให้

 

 

“คุณได้เวลากินยาแล้ว”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 110 ป่วยครั้งนี้คงจะไม่หายแล้ว

 

 

“คุณได้เวลากินยาแล้ว”

 

 

น้ำเสียงมีความแหบแห้งและขึ้นจมูก ดวงตาคู่นั้นดูสะลึมสะลือเล็กน้อย

 

 

อันที่จริงเมื่อกี้เขาก็เงยหน้ามองเธออยู่หลายครั้ง ทุกครั้งเขามักจะคิดว่าเธอกำลังจะหลับ แต่ไม่นานก็ฝืนลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก่อนจะใช้สายตางัวเงียนั้นหันไปมองนาฬิกาที่หัวเตียงของเขาแล้วก็หันกลับมามองเขาอีกครั้ง

 

 

เขาไม่เข้าใจเลยว่าเธอจะฝืนทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร แต่ว่าตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะกระจ่างแล้ว

 

 

ผู้หญิงคนนี้…

 

 

เขาวางเอกสารลงแล้วรับน้ำมาทานยาลงไปต่อหน้าเธอ

 

 

เธอยกมือขึ้นขยี้ผมป้อยๆ “คุณแน่ใจเหรอว่าจะไม่นอนสักหน่อย เอาจริงๆ ฝืนทำงานไปตอนนี้ ก็ไม่สู้เก็บแรงรักษาตัวให้หายดีหรอก ลงทุนน้อยแต่ได้ผลคุ้มค่านะ”

 

 

สิ่งที่เธอพูดฟังดูมีเหตุผล แต่เธอเองก็ไม่มีสิทธิ์พูดอะไร

 

 

หลายปีมานี้ การทำงานทั้งที่ยังป่วยแบบนี้กลายเป็นความเคยชินของเธอไปแล้ว

 

 

“ไม่เป็นไร เหลืออีกแค่นิดเดียว ทำงานไม่เสร็จแล้วผมไม่ค่อยสบายใจ”

 

 

ลัทธิย้ำคิดย้ำทำอันโหดร้ายอย่างสมบูรณ์แบบ!

 

 

เธอทอดถอนหายใจออกมาหนึ่งครั้งแล้วตอบรับเบาๆ “อืม” จากนั้นก็กลับไปนั่งบนโซฟาตามเดิม

 

 

ป๋อจิ่งชวนเลิกคิ้วขึ้น เชื่อฟังซะงั้น

 

 

จนกระทั่งป๋อจิ่งชวนอ่านเอกสารฉบับสุดท้ายเสร็จเรียบร้อย

 

 

เขาก็เงยหน้าขึ้นมามองใครบางคนที่ซุกตัวอยู่บนโซฟาและตอนนี้ได้หลับไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

เธอคว่ำหน้าเอียงศีรษะหนุนบนแขนทั้งสองข้างของตัวเองแล้วหันหน้ามาทางเขา

 

 

ขดตัวลงเล็กน้อย เรียวขาที่เรียกร้องความสนใจมาทั้งวันจนพอใจแล้วถูกรวบงอเข้าหากัน ด้วยท่านอนของเธอจึงทำให้ชุดนอนถลกขึ้นมาเล็กน้อยจนเห็นเนินขาขาวเนียนได้รูปของเธอ

 

 

นัยน์ตาสีดำขลับของเขามืดลง ก่อนจะยกมือขึ้นกดตรงหว่างคิ้ว

 

 

ผู้หญิงปล่อยเนื้อปล่อยตัว

 

 

เขาตรงเข้าไปโน้มตัวลงมองเธอ เส้นผมสยายลงปรกหน้าเธอไปเกือบครึ่ง ห้องนอนที่มีแสงสว่างเพียงพอ เสริมให้ผิวขาวสะอาดดูผุดผ่องเป็นพิเศษ

 

 

ซูเหิงทอดทิ้งผู้หญิงแบบนี้ด้วยเหตุผลอะไรกันแน่

 

 

แค่ความสวยเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นก็กินขาดแล้ว

 

 

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้หญิงที่น่ารักขนาดนี้

 

 

คิ้วหนาเลิกขึ้นสูง ปล่อยไปซะได้ก็ดี

 

 

ไม่อย่างนั้นเขาก็คงต้องเสียเวลาไปแย่งมาอีก

 

 

เขายื่นมือสอดเข้าไปที่หลังคอของหญิงสาว มืออีกข้างหนึ่งสอดเข้าไปใต้ศีรษะแล้วอุ้มเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง

 

 

ผมยาวสลวยแผ่สยายอยู่กลางอากาศราวกับสายน้ำตก

 

 

เพราะพิษไข้ทำให้เธอหายใจแรงเล็กน้อย เขาโน้มตัวลงเพื่อวางร่างของเธอลงกับเตียง ขณะนั้นริมฝีปากของเธอได้ลากผ่านแก้มของเขาเบาๆ

 

 

เขาหยุดมองเธอที่กำลังหลับสบาย

 

 

อาจเป็นเพราะไข้อยู่จึงทำให้เธอปล่อยเนื้อปล่อยตัวเช่นนี้

 

 

การป่วยนี่ หากไม่ดีขึ้นสักพักก็ดูจะไม่ใช่เรื่องเลวร้าย

 

 

 

 

เฉินฝานซิงลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็หลังจากสองชั่วโมงไปแล้ว

 

 

เมื่อเห็นว่าตัวเองกำลังนอนหลับอยู่บนเตียง ใจของเธอก็รู้สึกตื่นตัวขึ้นมา

 

 

เธอจำได้ว่าก่อนจะหลับไปเหมือนว่าเธอจะนอนอยู่บนโซฟา

 

 

หันไปมองแผ่นหลังของป๋อจิ่งชวนที่กำลังปิดตาเอนตัวนอนอยู่บนโซฟา ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังหลับอยู่

 

 

หัวใจเธอสั่นไหวเล็กน้อย

 

 

ในบางครั้งเธอก็ไม่เข้าใจผู้ชายคนนี้เลยจริงๆ

 

 

ทั้งๆ ที่บางครั้งโอกาสที่จะให้คนอื่นต่อสู้ขัดขืนสักนิดก็ไม่มี เหมือนดั่งเช่น…

 

 

ถูเฝ่ยผู้สง่างาม

 

 

บางครั้งกลับเป็นสุภาพบุรุษผู้สุภาพ ให้ระยะห่างที่ปลอดภัยที่สุดแก่คนอื่นๆ

 

 

แต่เป็นเพราะเขาที่ไม่อาจเข้าใจได้อย่างลึกซึ้งเช่นนี้จึงทำให้ยึดกุมหัวใจคนอื่นได้ง่ายๆ อย่างที่ไม่ทันได้ตั้งตัว

 

 

“ตื่นแล้ว?”

 

 

เสียงของเขาดังขึ้นก่อนที่ดวงตาจะค่อยๆ เปิดออก ราวกับมีแสงเหนือฉาบอยู่บนนัยน์ตาสีนิลคู่นั้น