ตอนที่ 189 ผมจะรอคุณ รอคุณตลอดไป / ตอนที่ 190 ผมมาเพราะคุณ

ขมเป็นยาหวานเป็นคุณ

ตอนที่ 189 ผมจะรอคุณ รอคุณตลอดไป

 

 

 อวี๋กานกานไม่ให้สมุดโน้ตและปากกา ฟังจือหันจึงใช้มือถือพิมพ์อักษรลงไปหลายตัว ‘ผมจะรอคุณ รอคุณตลอดไป’ จากนั้นยื่นไปตรงหน้าอวี๋กานกาน

 

 

ผู้ชายคนนี้เผด็จการเสียจริง อวี๋กานกานที่กำลังจะแสยะยิ้มให้ฟังจือหัน ทันใดนั้นเองเธอได้ยินชื่อของตัวเองถูกเรียก “คุณหมออวี๋กานกาน คุณว่าใช่ไหมคะ”

 

 

อวี๋กานกานค่อนข้างงุนงง เธอเงยศีรษะขึ้นมองซูจิ่วซานที่อยู่ตรงหน้า อะไรใช่ไม่ใช่ ซูจิ่วซานบรรยายอยู่ดีๆ ทำไมจู่ๆ ถึงเรียกชื่อเธอขึ้นมากะทันหัน ต้องการให้เธอตอบอะไร เมื่อครู่ฟังจือหันเอาแต่รบกวนเธอ เธอจึงไม่ได้ฟังว่าซูจิ่วซานพูดอะไรไปบ้าง

 

 

เมื่อเห็นว่าอวี๋กานกานมีสีหน้าที่สับสนมึนงง รอยยิ้มในใจของซูจิ่วซานยิ่งฉีกกว้างขึ้น กล่าวเพิ่มอีกประโยค “คุณหมออวี๋กานกานสามารถเสนอความคิดเห็นได้นะคะ”

 

 

ทั้งห้องประชุมเงียบลงในทันตา

 

 

สายตาดูถูกเหยียดหยามของฝ่ายตรงข้าม มองแค่แวบเดียวก็รู้ว่าซูจิ่วซานต้องการทำให้เธออับอาย อวี๋กานกานคลี่ยิ้มบางๆ เอ่ยเสียงเรียบ “ฉันรู้สึกว่าน่าเบื่อมากค่ะ”

 

 

ทั้งห้องประชุมเกิดเสียงฮือฮาขึ้นมาทันที ทุกคนต่างมองอวี๋กานกานด้วยความตกตะลึง บางคนรู้สึกว่าเธออวดดี บางคนรู้สึกว่าเธอก้าวร้าวไม่ให้เกียรติผู้อื่น แต่บางคนก็รู้สึกว่าอวี๋กานกานได้พูดความในใจของพวกเขาออกมา แต่ทุกคนต่างล้วนตกตะลึงในความกล้าพูดอย่างตรงไปตรงมาของเธอ

 

 

ภายในชั่วพริบตาเดียว เกิดเสียงซุบซิบถกเถียงไปทั่วทั้งห้องประชุม เสียงซุบซิบดังราวกับมีผึ้งจำนวนนับไม่ถ้วนกำลังบินอยู่

 

 

ซูจิ่วซานกำหมัดแน่นอย่างไม่รู้ตัว ทว่ายังคงรักษารอยยิ้มไว้ “นี่คุณหมออวี๋กานกานหมายความว่ายังไงคะ”

 

 

อวี๋กานกานกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง “แพทย์แผนจีนต้องส่งต่อความรู้ ดังนั้นผู้อาวุโสหวงถึงพูดเรื่องการสืบทอด บรรยายถึงตำราซังหันลุ่น ผู้อาวุโสเฉินบรรยายเกี่ยวกับการฝังเข็มและการราวน์วอร์ด ความจริงทุกคนในที่นี้ต่างก็มีงานรัดตัว อุตส่าห์สรรหาเวลามาเข้าร่วมงานสัมมนานี้ก็เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ถ้าหากจะบรรยายเรื่องการฝังเข็มกับหลักปรัชญา ไม่สู้บรรยายเรื่องการฝังเข็มกับอภิปรัชญา[1] แพทย์แผนจีนถือกำเนิดขึ้นจากศาสตร์การแพทย์ในอภิปรัชญา นี่เป็นสาเหตุที่การฝึกอบรมแพทย์แผนจีนรุ่นใหม่เป็นไปได้ยาก แต่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับหลักปรัชญา ต่อให้อ่านจนบรรลุก็ไม่สามารถช่วยชีวิตคนได้”

 

 

คำพูดเรียบง่ายไม่กี่ประโยค แต่กลับคมคายเป็นอย่างยิ่ง จี้ใจดำเข้าไปเต็มๆ

 

 

มีทั้งคนที่ตกตะลึง คนที่สติหลุดลอยและยังคนที่หลุดยิ้มออกมา…

 

 

ท่ามกลางห้องประชุมอันเงียบสงัดจู่ๆ ก็มีเสียงปรบมือเสียงหนึ่งดังขึ้น เป็นเสียงปรบมือของผู้อาวุโสหวง “ไม่เลว พูดได้ดี นี่เป็นจุดสำคัญที่ทำให้แผนแพทย์จีนฝึกอบรมได้ยากกว่าแพทย์แผนตะวันตก”

 

 

ทุกคนต่างพากันปรบมือ ประธานกรมอนามัยและประธานสมาคมที่นั่งอยู่ข้างๆ เอี้ยวตัวไปพูดกับผู้อาวุโสหวง สายตาชำเลืองมามองอวี๋กานกานอยู่เป็นเนืองๆ

 

 

อวี๋กานกานยิ้มบางๆ คำพูดของเธอจี้ใจดำ ทั้งยังไม่ไว้หน้าซูจิ่วซาน แต่นั่นก็เป็นเพราะซูจิ่วซานต้องการจะหาเรื่องเธอ อวี๋กานกานไม่ชอบสร้างเรื่อง เป็นคนที่กลัวความวุ่นวาย แต่หากถูกผู้อื่นยั่วยุ จงใจหาเรื่องให้ เธอก็ไม่ยอมถูกรังแกอยู่ฝ่ายเดียวแน่

 

 

ต้องโทษซูจิ่วซานที่มาแหย่ผิดคนแล้ว!

 

 

หลังงานสัมมนาวันนี้จบลง อวี๋กานกานจากเดิมที่ถูกมองเป็นเพียงคนไร้ตัวตน จู่ๆ ก็มีคนมากมายเข้ามาทักทายเธอ อีกทั้งผู้อาวุโสหวงและผู้อาวุโสเฉินยังเชิญเธอไปนั่งเล่นที่โรงพยาบาลของพวกเขาด้วย อวี๋กานกานยิ้มพร้อมกับรับปากว่าจะไป

 

 

ผู้อำนวยการเดินเข้ามาเรียกเธอ “คุณหมออวี๋ มากับผม”

 

 

“มีเรื่องอะไรเหรอคะ”

 

 

“ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วไม่ใช่เหรอ หลังจบงานให้คุณไปตรวจอาการให้คุณชายหันสักหน่อย”

 

 

อวี๋กานกานหยุดฝีเท้าลงทันที หน้านิ่วคิ้วขมวด กล่าว “คุณชายหันเขาไม่เหมือนคนป่วยสักกะนิด ดูเขาแข็งแรงจะตายไป ไม่จำเป็นต้องตรวจหรอกค่ะ”

 

 

“แพทย์แผนจีนไม่ใช่ว่าต้องมอง ฟัง ถาม จับชีพจรหรอกเหรอ คุณยังไม่ได้ตรวจชีพจรให้เขาเลยแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่ได้มีโรคภัยไข้เจ็บ”

 

 

ผู้อำนวยการคิดในใจ ฉันรู้น่าว่าคุณชายหันไม่ได้ป่วย แต่เขาหมายตาเธอแล้วต่างหาก

 

 

อวี๋กานกานยืนนิ่งไม่ขยับ

 

 

ผู้อำนวยการคะยั้นคะยอ “รีบไปเถอะ”

 

 

 

 

——

 

 

[1] อภิปรัชญา หรือ เซวียนเสวี๋ย ประกอบไปด้วยศาสตร์สำคัญห้าศาสตร์ได้แก่ ศาสตร์แห่งการดูแลสุขภาพ ศาสตร์การแพทย์แผนจีน โหราศาสตร์ พยากรณ์ศาสตร์และนรลักษณ์ศาสตร์

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 190 ผมมาเพราะคุณ

 

 

อวี๋กานกานอยากตอบกลับว่า ‘ไม่ไป!’ อย่างแข็งกร้าว แต่เธอมีเรื่องที่อยากจะคุยกับฟังจือหันอยู่พอดีและถือเป็นการไว้หน้าผู้อำนวยการด้วย จึงยอมพยักหน้าตอบตกลงพร้อมกับคลี่ยิ้มบางๆ

 

 

ผู้อำนวยการยิ้มตาหยี รีบพาอวี๋กานกานเดินผ่านระเบียงทางเดินไปยังห้องประชุมเล็กๆ ที่สงบเงียบ ฟังจือหันยืนหันหลังให้กับพวกเขาอยู่ตรงหน้าหน้าต่างที่ยาวจากพื้นจรดถึงเพดาน

 

 

“ผมยังมีงานต้องทำต่อ ขอตัวไปจัดการก่อนนะครับ…” ผู้อำนวยการใส่ใจเป็นอย่างยิ่ง หาข้ออ้างเพื่อปลีกตัวออกไป

 

 

หลังจากที่ประตูห้องปิดสนิทแล้ว แผ่นหลังสูงใหญ่ค่อยๆ หมุนหันมา ฟังจือหันจ้องมองไปยังอวี๋กานกาน เอ่ยเสียงเรียบ “มาแล้วเหรอ”

 

 

เมื่อครู่แววตายังไร้คลื่นอารมณ์ใดๆ ราวกับว่าเราต่างเป็นคนแปลกหน้าของกันและกัน แล้วหนนี้มาใช้น้ำเสียงสนิทสนมขนาดนี้ทำไมกัน

 

 

อวี๋กานกานเลียนแบบสีหน้าไร้อารมณ์ของเขา สายตาเย็นชา กล่าว “แซ่ฟัง นายต้องการทำอะไรกันแน่” เดี๋ยวบอกว่าเป็นสามีเธอ เดี๋ยวบอกว่าอยากตามหาเบาะแสของอาจารย์เธอ อีกเดี๋ยวก็มากลายเป็นตัวแทนบริษัทยาไป๋ฟัง ต่อจากนี้ไปจะมีบทบาทใหม่ๆ มาอีกหรือเปล่า คนคนนี้ลึกลับซับซ้อนแค่ไหนกันนะ

 

 

ฟังจือหันคลี่ยิ้มอย่างผ่อนคลาย เอนพิงโต๊ะห้องประชุม อยู่ในท่ากอดอก “ต้องให้ผมแนะนำซ้ำอีกเหรอ ฟังจือหัน…”

 

 

อวี๋กานกานเดาออกว่า ประโยคต่อมาเขาต้องพูดคำสามพยางค์นั้นออกมาแน่ กำลังจะอ้าปากขัด แต่ดันถูกฟังจือหันชิงพูดตัดหน้าไปก่อน “…สามีคุณ”

 

 

อวี๋กานกานยิ้มแหยๆ ถาม “นายไม่มีข้ออ้างอื่นแล้วหรือไง”

 

 

คำหกพยางค์นี้เธอฟังจนแทบจะเอียนแล้ว

 

 

ฟังจือหันเน้นย้ำ “นี่ไม่ใช่ข้ออ้าง นี่เป็นข้อเท็จจริง!”

 

 

เกิดเส้นขีดสีดำพาดไปทั่วบริเวณเหนือศีรษะของอวี๋กานกาน “ดูท่าฉันคงต้องตรวจชีพจรอย่างละเอียดให้นายสักหน่อยแล้ว ดูสิว่านายป่วยเป็นโรคหลงผิดหรือเปล่า”

 

 

“โรคจิตน้อย…” ฟังจือหันเอื้อมมือมาหมายจะลูบศีรษะของเธอ

 

 

“นายนั่นแหละโรคจิต โรคจิตกันทั้งบ้าน” อวี๋กานกานโมโหสะสมจากหลายๆ เรื่อง สะบัดมือของฟังจือหันออก ถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ฉันล่ะแปลกใจจริงๆ ฉันไปทำอะไรให้นายกันแน่ ทำไมนายต้องสืบประวัติฉันกับอาจารย์ด้วย”

 

 

นัยน์ตาของฟังจือหันดำขลับราวกับท้องฟ้ายามเที่ยงคืน น้ำเสียงทุ้มต่ำไม่สามารถจับอารมณ์ใดๆ ได้ กล่าวอย่างไม่ช้าและไม่เร็วจนเกินไป “ตรวจว่าพวกคุณมีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวหรือเปล่า”

 

 

แม้ว่าเรื่องในวันนั้นอวี๋กานกานจะไม่ได้กดดันคาดคั้นถามเขาต่อว่าทำไมถึงต้องสืบเรื่องของเธอกับอาจารย์ ทั้งยังทำตัวเหมือนปกติ ปล่อยเลยตามเลย แต่ฟังจือหันรู้ดีว่าอวี๋กานกานยังโกรธอยู่

 

 

ชู้สาว? เมื่ออวี๋กานกานได้ฟังเหตุผลข้อนี้ รู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าเต็มที เธอทั้งอายทั้งโกรธ “ในหัวของนายคิดอะไรอยู่เนี่ย อาจารย์ฉันก็คืออาจารย์ฉัน ในใจฉันเขาเหมือนเป็นพ่อแท้ๆ ของฉัน นายไม่รู้หรือไง”

 

 

ใบหน้าจิ้มลิ้มเธอของโกรธจนขึ้นสี เมื่ออยู่ภายใต้แสงไฟช่างงดงามน่าดึงดูด ชวนให้รู้สึกหวั่นไหว ฟังจือหันมองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง กล่าว “เพราะไม่รู้ถึงได้ตามสืบ”

 

 

“นายโกหก!”

 

 

“ทั้งหมดก็เพื่อคุณ!”

 

 

น้ำเสียงของเธอว่าหนักแน่นแล้ว แต่น้ำเสียงของเขาหนักแน่นยิ่งกว่า

 

 

ดวงตาคู่นั้นของอวี๋กานกานมองฟังจือหันด้วยความโกรธเกรี้ยว “ทักษะการแสดงของนายนี่มันเยี่ยมยอดจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ดันมาเจอกับฉัน ฉันเป็นหมอ ทั้งยังเป็นหมอที่ผ่านการเรียนจิตวิทยามาก่อน คนเราเมื่อโกหกจะมีอาการรีเฟล็กซ์เรียน[1] ฉะนั้นมองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่านายกำลังโกหกฉัน”

 

 

ฟังจือหันแค่นหัวเราะเบาๆ มือจัดปอยผมที่ยุ่งเหยิงตรงหน้าผากของอวี๋กานกาน “ตรงไหนที่ผมมีอาการรีเฟล็กซ์เรียน”

 

 

อวี๋กานกานก้าวถอยหลังอย่างไม่มั่นใจ เธอลากเรื่องนั้นเรื่องนี้มาผสมโรงเพื่อให้ข้อโต้แย้งของตนเองมีน้ำหนักเท่านั้น อวี๋กานกานเพิ่มระดับเสียงขึ้นอย่างลนลาน “ทำไมฉันต้องบอกนายด้วย”

 

 

นัยน์ตาของฟังจือหันฉายประกายความเร่าร้อนดุดัน “ถ้าผมกดคุณไว้กับกำแพงตั้งแต่ตอนนี้แล้วปิดปากคุณซะ หรือลากคุณขึ้นเตียงแล้วปลดเสื้อผ้าออก คุณก็จะเชื่อผมใช่ไหม”

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] รีเฟล็กซ์เรียน หรือ รีเฟล็กซ์การวางเงื่อนไข คือ การตอบสนองอย่างมีเงื่อนไขตามประสบการณ์ที่พบเจอในอดีต