ตอนที่ 68-2 “สนามเด็กเล่น” ของพระชายาติ้งอ๋อง

ชายาเคียงหทัย

เยี่ยหลีนำชุดที่ตนใช้เวลาในการทำไปไม่น้อยนั้นมาให้ม่อซิวเหยาเป็นของขวัญในวันเกิด แน่นอนว่าด้วยเรื่องไม่ค่อยดีที่เกิดขึ้นที่ทะเลสาบสาวงามกับเรื่องที่ม่อซิวเหยาอาจมีหญิงสาวในใจแล้วนั้น ทำให้เยี่ยหลีไม่ได้ทำตามคำแนะนำของฮว่าเทียนเซียงที่ให้ชวนม่อซิวเหยาไปล่องทะเลสาบ ถึงแม้นางจะค่อนข้างแปลกใจว่าม่อซิวเหยาที่ตลอดทั้งปีก้าวเท้าออกจากตำหนักน้อยเสียยิ่งกว่านางอีกนั้น จะไปพบสาวในดวงใจจากที่ไหนกัน ในเมื่อมีหญิสาวในใจอยู่แล้วเหตุใดเขาจึงได้แต่งงานกับนาง หรือว่าเขาแต่งงานแล้วค่อยมีหญิงสาวในใจกัน ไม่ว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นไร แต่ก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจทั้งสองแบบ เพราะนางเองก็ไม่รู้ว่าการที่ตนแต่งงานเข้ามาด้วยเพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือหรือหลังจากแต่งงานไปได้หนึ่งเดือน สามีกลับนอกลู่นอกทางนั้น อย่างไหนแย่กว่ากันกันแน่ ดังนั้น บ่าวทั้งตำหนักจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านอ๋องและพระชายาของตนจึงดูเหมือนจะค่อยๆ กลับไปห่างเหินเหมือนตอนที่แต่งงานเข้ามาใหม่ๆ ได้ อันที่จริงคือพระชายาเป็นฝ่ายที่ทำตัวห่างเหินกับท่านอ๋องอยู่ฝ่ายเดียวเสียมากกว่า หรือว่าเกิดทะเลาะกันเข้า แต่ท่าทีที่ทั้งสองปฏิบัติต่อกันอย่างสุภาพเรียบร้อยนั้น ก็ไม่เหมือนกับคนที่ทะเลาะกันเสียเลยนี่นา

 

 

           ม่อซิวเหยาเองก็รู้ดีว่าเยี่ยหลีพยายามทำตัวห่างเหินกับเขา จะว่าห่างเหินก็ไม่เชิง แต่นางพยายามทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองกลับไปเป็นเหมือนช่วงแรก แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จสักเท่าไร เพราะไม่เพียงม่อจิ่งหลีเท่านั้นที่รู้ตัว แม้แต่หมัวมัวข้างกายเยี่ยหลีรวมถึงซุนหมัวมัวที่ปกติจะยุ่งวุ่นวายทั้งวันต่างก็รับรู้ได้ถึงเรื่องนี้ แต่ม่อซิวเหยายังคิดไม่เข้าใจเท่านั้นว่าเป็นเพราะเรื่องอันใดกัน ดูเหมือนว่า…จะเริ่มตั้งแต่วันที่หยางเชียนหรูให้เขาตั้งแต่บ่ายวันนั้น เมื่อตอนที่อยู่คนเดียวในห้องหนังสือ ม่อซิวเหยาคิดใคร่ครวญอยู่เงียบๆ คนเดียว เข้าไม่คิดว่าเยี่ยหลีจะโกรธเขาเพราะหยางเชียนหรู เพราะไม่เพียงพวกเขาที่รู้ว่าหยางเชียนหรูไม่สามารถสร้างปัญหาให้พวกเขาได้ อีกอย่างด้วยนิสัยของเยี่ยหลี ก็คงไม่นึกน้อยใจด้วยเพราะเรื่องของผู้หญิงคนนั้น เช่นนั้น…จะด้วยเรื่องที่พวกเขาคุยกันหรือ ม่อซิวเหยาถือหนังสือแต่ไม่ได้อ่านเลยแม้แต่นิดเดียว แต่กำลังค่อยๆ นึกย้อนไปถึงบทสนทนาทุกประโยคที่พวกเขาพูดกัน…

 

 

           ขณะที่ม่อซิวเหยากำลังนั่งเหม่ออยู่ในห้องหนังสือนั้น เยี่ยหลีก็ได้พาชิงซวงและชิงหลวนที่แต่งตัวเป็นชายออกจากตำหนักไปเสียแล้ว ด้วยฐานะชายาติ้งอ๋องทำให้ไม่ว่านางจะไปที่ใดมักเป็นจุดสนใจเสมอ ดังนั้นเยี่ยหลีจึงเรียนการปลอมตัวตามที่เคยทำๆ กันมาบ้าง และชัดเจนว่า ฝีมือการปลอมตัวของนางนั้นใช้ได้ทีเดียว แน่นอนว่าการปลอมตัวของนางไม่ใช่การทำหน้ากากหนังคนหรืออะไรเช่นนั้น เป็นเพียงการเปลี่ยนสีผิว หรือรูปคิ้วนิดหน่อยเท่านั้น กับเก็บรายละเอียดอย่างรูต่างหูด้วยอีกนิดหน่อย แล้วชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาที่มีสีผิวคล้ำเล็กน้อยก็ได้เวลาออกโรงแล้ว ยิ่งรวมกับท่าทางแข็งแรงที่ไม่เหมือนกับหญิงสาวในยุคนี้ของเยี่ยหลีด้วยแล้ว หากไม่ใช่คนที่คุ้นเคยกันจริงๆ และไม่ได้สังเกตดีๆ คงยากที่จะดูออกได้ ท่ามกลางที่หน้าที่ตกใจของชิงหลวนและชิงสยา เยี่ยหลีจึงรู้สึกพอใจอย่างยิ่ง พร้อมทิ้งให้ทั้งสองคนนั่งคิดบัญชีอยู่ที่ฉังเจินเก๋อ ก่อนตนเองจะเดินโบกพัดพับในมือออกไป

 

 

           องครักษ์ลับที่คอยตามคุ้มกันเยี่ยหลีอยู่เงียบๆ ต่างพากันปาดเหงื่อแทนท่านอ๋องของพวกตน นี่ท่านอ๋องแต่งงานกับพระชายาอะไรเช่นนี้กัน หากพวกเขาไม่ได้เฝ้าอยู่หน้าห้องที่พระชายาเข้าไปอย่างไม่ขยับไปไหนแล้ว และเมื่อเห็นชายหนุ่มรูปงามเดินออกมาจากในห้อง พวกเขาจึงเข้าไปดูด้วยตาตัวเองเพื่อความไม่ประมาทแล้ว พวกเขาคงได้คลาดกับพระชายาไปแล้ว พวกเขาเป็นถึงองครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องที่มีประสบการณ์มากที่สุดเชียวนะ หากทำให้พระชายาคลาดสายตาพวกเขาจะมีหน้าอยู่ที่หน่วยองครักษ์ลับต่อได้อย่างไร กลับค่ายทหารไปฝึกให้หนักเสียยังดีกว่า เพียงแต่…เมื่อมองคุณชายเจ้าสำราญที่เดินทอดน่องอย่างสบายอารมณ์แล้ว อาสาม เขาเหมือนผู้หญิงหรือ

 

 

           ดูไม่ออกเลย น้องสี่

 

 

           ตั้งแต่ได้ฝึกวิชาต่อสู้อย่างเปิดเผยเป็นต้นมา เยี่ยหลียิ่งรู้สึกว่าตนเองไม่ชอบชีวิตตัวในอย่างสมัยก่อนเข้าไปใหญ่ เรื่องที่นางแสดงนั้นอย่างไรก็ยังต้องแสดงต่อไป เพราะเนื้อแท้ของนางจริงๆ แล้วไม่มีความเป็นคุณหนูลูกผู้ดีอยู่เลย และแน่นอนว่านางไม่ได้มีนิสัยร่าเริงอยู่ไม่สุกด้วยเช่นกัน แต่ความสนุกตื่นเต้นเพื่อเติมเต็มชีวิตนั้นอย่างไรก็ยังต้องมีอยู่ ส่วนเรื่องม่อซิวเหยานั้น หลังจากคิดไม่ตกอยู่สองสามวัน ก็ถูกนางผลักมันออกไปจากหัวแล้ว หากม่อซิวเหยามีหญิงสาวในดวงใจอยู่จริง และตัดสินใจว่าต้องการแยกทางกับนางอย่างสันติ ก็ใช่ว่านางจะรับไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรนางก็ยังมีเงิน และเชื่อว่าม่อซิวเหยาคงไม่ขี้เหนียวกับเรื่องค่าเลี้ยงดูเป็นแน่ แต่หากเป็นเช่นนั้น เรื่องการสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกัน เพื่อที่ในอนาคตจะได้มีลูกกันได้นั้น จึงต้องวางไว้ก่อน และนางยังไม่รู้ใจของอีกฝ่ายด้วยว่าเขาคิดจะมีลูกกับนางหรือไม่ ดังนั้น เยี่ยหลีที่คิดเอาเองว่าไม่จะเป็นต้องสร้างความรู้สึกดีๆ ต่อกันแล้ว เมื่อมีเวลาว่างจึงมักตัดสินใจออกไปเดินเล่นข้างนอกเสมอ หญิงที่แต่งงานแล้วไม่จำเป็นต้องอยู่แต่กับบ้านทั้งวันนี่

 

 

           “อาสาม พระชายาจะไปที่ใดกัน” ในที่ลับ องค์รักษ์ลับสี่ที่ติดตามอยู่เงียบๆ เอ่ยถามขึ้นเสียงเบา

 

 

           “ข้าจะไปรู้ได้อย่างไร ดูเหมือนพระชายาจะออกนอกเมือง” องครักษ์ลับสามเอ่ยตอบ

 

 

           “ท่านอ๋องกับพระชายาดูจะมีเรื่องผิดใจกันเสียแล้ว พระชายาคงจะไม่คิดที่จะหนีออกจากตำหนักหรอกกระมัง” จู่ๆ องครักษ์ลับสี่ก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานช่วงที่เปลี่ยนกะ เขาเหมือนได้ยินองครักษ์หนึ่งกับสองพูดกันว่าหลายวันนี้ท่านอ๋องกับพระชายาดูแปลกๆ

 

 

           “เรื่องนี้…คงไม่หรอกกระมัง” องครักษ์ลับสามมีท่าทีลังเล “เช่นนี้ข้าตามพระชายาไป ส่วนเจ้ากลับไปรายงานท่านอ๋องดูดีหรือไม่”

 

 

           “หากพระชายาหนีออกจากบ้านไปจริง เจ้าจะขวางนางได้หรือ หากคลาดไปจะทำเช่นไร” ถึงแม้พวกเขายังไม่เคยเจอกับตัวว่าวิชาต่อสู้ของพระชายาสูงส่งเพียงใด แต่ย่อมดีกว่าพวกท่าดีทีเหลวเป็นแน่

 

 

           “เรื่องนี้…คลาดกันเสียแล้ว!” องครักษ์ลับทั้งสองออกมาจากที่ลับ ก่อนไปสำรวจดูจุดที่พระชายาหายตัวไป ถึงแม้เมื่อครู่พวกเขาจะไม่ได้ตามใกล้มาก แต่ก็ห่างไปไม่ไกลนัก ชั่วเวลาเพียงแวบเดียว พระชายาไม่มีทางไปไหนได้ไกลเป็นแน่

 

 

            เยี่ยหลีนั่งมององครักษ์ลับสองคนที่ทำท่าเลิ่กลั่กอยู่บนกิ่งไม้ ฝีมือการลอบสะกดรอยตามไม่เลว แต่ติดจะประมาทสักหน่อย “ข้าว่า…พวกเจ้าไม่เคยมองขึ้นบ้างบนกันบ้างเลยหรือ” องครักษ์ลับสองคนที่เดินผ่านมามองชายหนุ่มรูปงามที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้อย่างอายๆ นั่นเพราะในตำหนักติ้งอ๋องไม่เคยมีพระชายาที่ปีนต้นไม้ได้มาก่อนน่ะสิ อีกอย่างพวกเราหันไปหันมามองหาอยู่ใต้ต้นไม้ตั้งเป็นนานยังไม่ได้ยินแม้เต่เสียหายใจเลยด้วยซ้ำ “พระ…พระชายา…” องครักษ์ลับทั้งสองได้แต่น้ำตาไหลในใจ นึกตัดสินใจว่าวันนี้จะกลับไปรายงานตัวต่อหัวหน้าหน่วย ว่าพวกเขาไม่เหมาะที่จะเป็นองครักษ์ลับ พวกเขาต้องการที่จะฝึกฝนตนเองใหม่

 

 

           เยี่ยหลีกระโดดออกจากบนต้นไม้ ลงมาตรงหน้าทั้งสองคน “ลำบากพวกเจ้าแล้ว”

 

 

           “ข้าน้อยมิกล้า”

 

 

           “ข้าไม่ได้คิดจะหนีออกจากตำหนัก” เยี่ยหลีอมยิ้มมององครักษ์ทั้งสองที่ดูตื่นเต้น องครักษ์ลับสามลอบถอนหายใจเบาๆ ก่อนถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น…พระชายาจะออกไปทำอะไรที่นอกเมืองหรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

           “ข้าแค่อยากรู้ว่าเจ้าจะตามข้าได้นานเพียงใด” เยี่ยหลียิ้มน้อยๆ ก่อนพยักหน้าพร้อมเอ่ยชม “โดยรวมแล้วถึอว่าไม่เลวทีเดียว เพียงแต่หากสามารถควบคุมสายตาของพวกเจ้าได้คงจะยิ่งดีกว่านี้ ออกจากฉังเจินเก๋อมาได้ไม่ถึงหนึ่งลี้ สายตาของพวกเจ้าที่มองมาทำให้ข้าจะทำเป็นไม่เห็นยังไม่ได้เลย”

 

 

           “ขอบคุณพระชายาที่สั่งสอน” ไม่ทันถึงหนึ่งลี้ก็ถูกจับได้แล้วหรือ นี่ถือเป็นคำชมหรือนี่

 

 

           เยี่ยหลีมองสีหน้าเศร้าสร้อยขององครักษ์ตรงหน้าด้วยความยินดี “พวกเจ้าจะตามข้าก็ได้ แต่ว่า…เรื่องที่วันวันหนึ่งข้าไปทำอะไรมาบ้างนั้นพวกเจ้าคงไม่เอาไปบอกคนอื่นกระมัง” องครักษ์ลับทั้งสองสีหน้ายินดียิ่ง “ขอบคุณพระชายามากพ่ะย่ะค่ะ ตั้งแต่วันมงคลใหญ่ระหว่างท่านอ๋องกับพระชายาเป็นต้นมา ข้าน้อยสองคนกับองครักษ์อีกสองคนก็มีหน้าที่ติดตามพระชายาโดยเฉพาะ นอกจากพระชายาจะมีอันตรายถึงชีวิต มิเช่นนั้นแล้วพวกเราไม่สามารถเปิดเผยเรื่องราวใดๆ ก็ตามของพระชายาให้คนอื่นทราบพ่ะย่ะค่ะ รวมถึงท่านอ๋องด้วยพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์ลับสี่เอ่ยอธิบาย เยี่ยหลีพยักหน้า ม่อซิวเหยาเคยพูดกับนางเรื่ององครักษ์ลับของตำหนักติ้งอ๋องแล้ว หลายวันนี้นางทำให้นางมั่นใจว่าคนพวกนี้ไม่ได้เอาเรื่องของนางไปรายงานแต่ม่อซิวเหยา เพียงแต่ต่อให้พูดก็ไม่เป็นไร เพราะเรื่องที่นางให้พวกเขาเห็นย่อมไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอยู่แล้ว

 

 

           “พอดีเลย ข้าต้องการแรงงานอยู่พอดี พวกเจ้าตามข้ามา”

 

 

           องครักษ์ลับสามและสี่หันมองหน้ากัน พวกเขาเคยพูดว่าพวกเขาเป็นองครักษ์นะ