บทที่ 36 สายจากฉินยี

The king of War

บทที่ 36 สายจากฉินยี

หลังจากได้รับคำสั่งของหยางเฉิน หม่าชาวก็งอนิ้วแล้วดีดออก หินก้อนหนึ่งพุ่งไปทางแผ่นป้ายสี่อักษรขนาดใหญ่ที่แขวนอยู่หน้าประตู

“ปัง!”

ป้ายสี่ตัวอักษรของ ‘แมนชันอีเห้า’ ร่วงลงพื้นแล้วแตกกระจายเป็นชิ้นๆ

พนักงานที่อยู่ข้างในยังไม่ทันได้ตอบสนอง เมื่อเห็นแผ่นป้ายแตกกระจาย สีหน้าของแต่ละคนก็เปลี่ยนไปอย่างมาก

“พวกแกคิดจะทำอะไรน่ะ”

ชายที่ติดเข็มกลัดผู้จัดการเอาไว้บนอกโมโหเป็นอย่างมาก

“ไสหัวไป!”

หม่าชาวก้าวไปข้างหน้า แล้วใช้เท้าเตะผู้จัดการจนลอยออกไป

“เพล้ง!”

ผู้จัดการคนนั้นกระแทกเข้ากับตู้เก็บเหล้าด้านหลังเคาน์เตอร์บาร์จนเกิดเสียงดังสนั่น สุราล้ำค่าจำนวนมากร่วงแตกกระจายเจิ่งนองเต็มบนพื้น

นี่เป็นช่วงที่ธุรกิจกลางคืนจะทำเงินได้ดีที่สุด เมื่อเห็นว่ามีคนมาก่อความวุ่นวายแบบนี้แล้ว จึงมีหลายคนที่พากันกลับออกไปด้วยความตื่นตระหนก แต่ก็ยังมีคนใจกล้าจำนวนไม่น้อยที่ยืนชมเรื่องสนุกอยู่ไกลๆ

“พวกแกเป็นใครกัน คิดไม่ถึงเลยว่าจะกล้ามาหาเรื่องที่แมนชั่นอี้เห้า ไม่รู้จักตายจริงๆ สินะ”

ชายฉกรรจ์รูปร่างกำยำล่ำสันหลายสิบคนวิ่งลงมาจากข้างบน ชายที่เหมือนเป็นจะเป็นหัวหน้าชี้ไม้กระบองไปทางหยางเฉินแล้วตะโกนออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด

หยางเฉินมองไปยังคนเหล่านั้นอย่างขบขันเล็กน้อย ดูเหมือนว่าสงเหว่ยจะจ้างคนใหม่มาแล้ว เมื่อวานพวกเขาเพิ่งจะเข้ามาก่อเรื่องที่นี่แท้ๆ ทว่าชายฉกรรจ์ร่างใหญ่พวกนี้กลับจำตนเองไม่ได้เลยสักนิด

“แมนชั่นอี้เห้าสุดยอดขนาดนั้นเชียว” หยางเฉินยิ้มเยาะ

“ชั้นต่ำ! พวกแกไปจัดการมันให้ฉัน!”

ชายที่เป็นหัวหน้าคำรามออกมาอย่างโมโห เขาพาคนหลายสิบคนที่ถือไม้กระบองไว้ในมือพุ่งไปทางหม่าชาวกับหยางเฉิน

ไม่ต้องให้หยางเฉินออกคำสั่ง หม่าชาวก็ขยับขึ้นไปข้างหน้าด้วยตัวเองแล้ว

ร่างกายของเขารวดเร็วคล้ายดั่งมีปีศาจพุ่งทะยานออกมา ระเบิดหมัดออกครั้งเดียวก็เกิดเสียงดัง “ปัง” ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่คนหนึ่งลอยไปไกลทันที

การโจมตีครั้งต่อไปยังคงเหมือนเดิม ออกหมัดที่ทั้งสะอาดและเป็นระเบียบไปหนึ่งที ภายในระยะเวลาไม่กี่วินาที ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่หลายสิบคนก็พากันล้มไปกองอยู่บนพื้น

ทุกคนล้วนมองไปทางหม่าชาวด้วยสีหน้าหวั่นเกรง คนคนเดียวสามารถล้มชายฉกรรจ์ร่างใหญ่นับสิบด้วยเวลาเพียงไม่กี่สิบวินาที นี่ยังเป็นมนุษย์อยู่อีกไหม

“ถ้าไม่อยากตายก็ไสหัวออกไปให้หมด วันนี้ฉันแค่มาหาสงเหว่ย”

หยางเฉินเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ จากนั้นก็หมุนตัวเดินไปนั่งตรงที่เคาน์เตอร์บาร์

ที่ชั้นบนสุดของแมนชั่นอีเฮ่า สงเหว่ยกำลังนําคนกลุ่มหนึ่งเฮโลอยู่ในห้องส่วนตัว ทันใดนั้นก็มีวัยรุ่นที่สวมชุดพนักงานคนหนึ่งวิ่งเข้ามา

“เฮียสง ไม่ดีแล้ว พวกมันมาสร้างความวุ่นวายอีกแล้ว” พนักงานคนนั้นกล่าวด้วยสีหน้าหวาดกลัว

“แม่งเอ๊ย!”

สงเหว่ยคว้าลำคอของวัยรุ่นคนนั้นเอาไว้ “พูดให้ชัดเจนสิวะว่าพวกมันเป็นใคร”

“สองคนที่มาเมื่อวาน” คนถูกบีบคอตกใจจนหน้าซีดขาว

“อะไรนะ”

สงเหว่ยปล่อยมือจากอีกฝ่ายทันที ก่อนจะคำรามออกมาอย่างโมโหว่า “พวกมันไม่ได้โดนรถชนไปแล้วหรือไง”

เพื่อที่จะจัดฉากว่าเป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ เขาต้องสิ้นเปลืองพละกำลังไปเป็นจำนวนมาก ทั้งยังเพิ่งจะอวดกับทุกคนไปว่าหยางเฉินต่อให้ไม่ตายก็ต้องพิการแน่ๆ ทำไมถึงได้ถูกตบหน้าจังๆ อย่างรวดเร็วแบบนี้ล่ะ

“แม่มันเถอะ ฉันละอยากจะเห็นจริงๆ ว่าแกมีสามหัวหกแขนหรือเปล่า คิดไม่ถึงเลยว่าจะยังมาหาเรื่องฉันถึงที่”

สงเหว่ยโมโหอย่างมาก จากนั้นก็พาคนทั้งหมดลงไปข้างล่าง

ตอนที่เขาเพิ่งจะพาคนมาถึงห้องโถงใหญ่ ทุกอย่างก็ถูกพังจนราบคาบไปหมดแล้ว เสียงกระแทกยังคงดังก้อง ทว่าสิ่งที่ทำให้เขาโมโหยิ่งกว่าก็คือ เจ้าของสองมือที่กำลังทุบทำลายสิ่งของนั้นล้วนเป็นคนของเขา

“หยุดเดี๋ยวนี้!” สงเหว่ยโมโหจนตับแทบจะระเบิด จึงคำรามออกมาอย่างเกรี้ยวกราด

“พังต่อไป ใครกล้าหยุดฉันจะจัดการมัน”

เมื่อเห็นว่าสงเหว่ยมาแล้ว ชายฉกรรจ์ร่างใหญ่ที่ถูกหม่าชาวซัดจนล้มไปกองอยู่บนพื้นพวกนั้นก็คิดจะหยุดมือ กระทั่งได้ยินน้ำเสียงที่ไม่ต่างอะไรจากปีศาจของหยางเฉินดังขึ้น

สีหน้าของสงเหว่ยย่ำแย่จนถึงขีดสุด คิดไม่ถึงเลยว่าจะไม่มีใครฟังเขาสักคน ในทางกลับกันยังยิ่งเพิ่มพลังในการทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ

“หยางเฉิน!”

สงเหว่ยมองไปยังหยางเฉินด้วยแววตาดุร้าย ก่อนจะคำรามเสียงต่ำ “แกคิดจะทำอะไรกันแน่”

“เจ้านายสง ฉันทำแบบนี้ทำไม แกยังไม่เข้าใจอีกอย่างนั้นเหรอ” หยางเฉินยิ้มเยาะ

“บอกให้พวกมันหยุดมือแล้วพวกเรามาคุยกัน” สงเหว่ยกัดฟันพูดออกมา

“คิดตัวเองคู่ควรที่จะต่อรองกับฉันอย่างนั้นเหรอ”

ความเย็นชาทั่วทั้งร่างของหยางเฉินระเบิดออกมา ถ้าหากวันนี้เขาประมาทไปแม้แต่นิดเดียวแล้วถูกThe Herdsmanคันนั้นชนเข้า ก็ไม่กล้าจะจินตนาการถึงผลเลวร้ายที่ตามมาเลยสักนิด

ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงไม่กี่นาที สุราล้ำค่าจำนวนมากก็ถูกทุบทำลาย โต๊ะเก้าอี้ราคาแพงก็ถูกพังจนกระจายเป็นชิ้นๆ สำหรับสงเหว่ยแล้ว นี่นับได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่

เสียไปแล้วก็เสียไปเถอะ แต่การที่หยางเฉินยังคงข่มขู่คนของเขาให้ทำลายทรัพย์สินในอาณาเขตของตัวเองท่ามกลางสายตาคนมากมายแบบนี้ ไม่ต่างอะไรกับการตบหน้าเขาอย่างแรง

“ตกลงแล้วแกจะเอายังไงกันแน่ ถึงจะยอมให้พวกมันหยุดเสียที” สงเหว่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดออกมาอย่างใจเย็นที่สุดแล้ว

“แกต้องการเอาชีวิตฉันแล้ว ยังมาถามว่าฉันจะเอายังไงอีกเหรอ”

“เพล้ง!”

เหล้าขวดนึงกระแทกลงบนศีรษะของสงเหว่ยอย่างพอดิบพอดี ของเหลวจากเหล้าและเลือดผสมรวมกันเป็นหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ ไหลลงมาเต็มใบหน้า

ทุกคนต่างพากันตกตะลึงอย่างถึงที่สุด สงเหว่ยเป็นเจ้าของแมนชั่นอี้เห้า ทั้งยังเป็นคนของตระกูลระดับแนวหน้าในเจียงโจวอย่างตระกูลสง ตอนนี้ไม่เพียงแต่จะถูกคนทำลายออาณาเขต ยังถูกตีเข้าที่หัวอีกด้วย

“ลากมันมาให้ฉัน” หยางเฉินออกคำสั่ง

หม่าชาวรีบเข้าไปลากสงเหว่ยที่ทอดตัวลงเหมือนสุนัขตายอยู่บนพื้นโยนไปยังแทบเท้าของหยางเฉินทันที

“ฉันจะให้โอกาสแกเป็นครั้งสุดท้าย ถ้าหากจะมีครั้งต่อไปอีก รับประกันเลยว่าแกได้หมดหวังแล้วจริงๆ แน่!”

หยางเฉินเหยียบลงไปบนอกของสงเหว่ยด้วยสีหน้าเย็นชาถึงขีดสุด

“โครม!”

ทันทีที่พูดจบก็ใช้เท้าเตะจนร่างอีกฝ่ายลอยกระเด็นไปไกลหลายสิบเมตร ก่อนจะกระแทกเข้ากับโต๊ะสองสามตัวแล้วหมดสติไปทันที

หยางเฉินกับหม่าชาวกลับหลังหันเดินออกไป ไม่มีใครกล้าขวางไว้เลยสักคน ทำเพียงใช้สายตามองพวกเขาเดินออกไปตาปริบๆ

“แต่พี่เฉินครับ ไอ้สวะตัวนั้นเกือบจะฆ่าพี่สะใภ้แล้ว ทำไมถึงไม่ฆ่ามันล่ะครับ”.

หม่าชาวกล่าวด้วยน้ำเสียงเจือความโมโห

หยางเฉินส่ายหน้าเบาๆ “ที่นี่คือเจียงโจว ไม่ใช่ชายแดนเหนือ ทำอะไรต้องมีขอบเขต”

“ครับพี่เฉิน!”

หลังพวกเขาออกมาจากแมนชั่นอีเห้าไปแล้ว สงเหว่ยที่สลบไปจนเหมือนกำลังจะตายก็ถูกลูกน้องของเขานำตัวไปส่งโรงพยาบาลอย่างรวดเร็ว

ในห้องผู้ป่วย VIP ของโรงพยาบาลเจียงโจว ชายผู้ซึ่งสวมชุดสูทรองเท้าหนังคนหนึ่งกำลังมองไปยังสงเหว่ยที่นอนไม่ได้สติอยู่บนเตียงด้วยสีหน้ามืดครึ้มอย่างถึงที่สุด

“ไปสืบมาว่าแท้จริงแล้วไอ้สวะตัวนั้นมันเป็นใครกันแน่ กระทั่งลูกชายของสงโป๋เหรินอย่างฉันยังกล้าลงมือ ฉันต้องการให้มันตาย!” สงโป๋เหรินคำรามเสียงดังด้วยความโมโห

“ครับ ประธานสง!”

เงาร่างข้างหลังข้างหลังถูกสั่งให้ออกไป

ในเวลานี้เอง หยางเฉินก็กลับมาถึงยอดเมฆาแล้ว

เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ก็ได้รับข้อความจากวีแชทของฉินซี : พรุ่งนี้ฉันจะไปทำงานที่ซานเหอกรุ๊ปในฐานะของพนักงานใหม่ ห้ามคุณยื่นมือเข้ามาแทรกแซงการทำงานของฉันเด็ดขาด

เมื่อได้เห็นข้อความนี้ หยางเฉินก็อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างลำบากใจ ที่ชั้นบนสุดในโรงแรมสตาร์ไลท์วันนั้น หยางเฉินเปิดเผยสถานะของตัวเอง และยังแสดงให้เห็นว่าเขาต้องการที่จะมอบซานเหอกรุ๊ปให้ฉินซี ทว่ากลับถูกเธอปฏิเสธ

ไม่ง่ายเลยกว่าฉินซีจะยอมมาทำงานที่ซานเหอกรุ๊ป แต่ใครจะไปรู้ว่าเธอกลับคิดจะทำงานในตำแหน่งระดับล่าง

หลังจากที่หยางเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็ส่งข้อความตอบกลับไปว่า “ครับ!”

ฉินซียอมกลับมาทำงานที่ซานเหอกรุ๊ป ก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมากแล้ว

เมื่อฉินซีที่อยู่อีกด้านเห็นข้อความตอบกลับของหยางเฉิน ก็อดยกยิ้มมุมปากเบาๆ ไม่ได้ จากนั้นก็กล่าวอย่างมั่นอกมั่นใจในตัวเองว่า “ฉันจะต้องสามารถใช้ความพยายามของตัวเองไต่กลับขึ้นไปบนตำแหน่งสูงๆ ใหม่อีกครั้งได้แน่นอน”

เช้าตรู่วันถัดมา ในที่สุดนายท่านฉินที่ยังคงอยู่ในโรงพยาบาลก็ได้ยินข่าวดีบ้างแล้ว

“ท่านประธานกรรมการ สุดยอดไปเลย ซานเหอกรุ๊ปออกหน้าช่วยพวกเราแก้ไขวิกฤตของตระกูลฉินแล้ว ทั้งยังเป็นฝ่ายร่วมมือกับพวกเราด้วยตัวเอง ตระกูลฉินได้รับการช่วยเหลือแล้ว!” ผู้อาวุโสคนหนึ่งในตระกูลกล่าวออกมาด้วยสีหน้าตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

“แกพูดจริงงั้นเหรอ”

นายท่านฉินดีใจจนลุกขึ้นนั่งบนเตียง

“นี่คือสัญญาที่ซานเหอกรุ๊ปลงนามแล้ว รอประธานกรรมการลงนามต่อ ก็จะสิ้นสุดกระบวนการทางกฎหมาย และสัญญาก็จะมีผลทันที”

คนคนนั้นน้ำตาไหลออกมาด้วยความตื่นเต้นดีใจ จากนั้นก็ส่งสัญญาไปให้นายท่านถึงฉิน “แผ่นปิดหน้าโรงงานถูกดึงออกแล้ว บรรดากิจการที่เดิมทีแบ่งแยกพวกเราออกมา ก็ต่างพากันมาหาถึงหน้าประตู”

“ฮ่าๆ ! ดี! ดีมาก! สวรรค์คุ้มครองตระกูลฉินของฉันแล้ว!”

นายท่านฉินตื่นเต้นดีใจจนร่างกายสั่นสะท้าน

“คุณพ่อคะ ที่ตระกูลฉินสามารถผ่านช่วงเวลาอันยากลำบากนี้ไปได้ล้วนต้องขอบคุณเสี่ยวเฟยนะคะ”

จู่ๆ หญิงวัยกลางคนที่สวมชุดหรูหรางดงามคนหนึ่งก็เปิดปากพูดขึ้นมา

ผู้หญิงคนนี้เป็นแม่ของฉินเฟย นามว่าหลินเสว่เหลียน

เมื่อได้ยินคำพูดของหลินเสว่เหลียน นายท่านฉินที่เพิ่งจะดีอกดีใจก็สีหน้ามืดครึ้มไปในทันที

“แกเองก็อยากจะถูกขับออกจากตระกูลเหมือนกันสินะ” นายท่านฉินกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอ

“คุณพ่อคะ ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น คุณพ่อลองคิดดูสิคะ ถึงแม้ว่าเรื่องของเสียวเฟยจะทำให้ตระกูลฉินอับอาย แต่ก็สามารถถือเป็นการโฆษณาให้ตระกูลฉินได้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นคงไม่เป็นที่จับตามองของกลุ่มธุรกิจพวกนั้นหรอกค่ะ”

หลินเสว่เหลียนกล่าวออกมาอย่างหน้าไม่อาย “คุณพ่อคะ ขอร้องคุณพ่อให้โอกาสเสี่ยวเฟยสักครั้งเถอะนะคะ เขาจะต้องไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวังอีกแน่”

“ใช่แล้วท่านประธานกรรมการ ถึงแม้ว่าเรื่องของเสี่ยวเฟยจะทำให้ตระกูลฉินของพวกเราอับอายขายหน้า แต่เขาเองก็ถูกคนทำร้ายเหมือนกัน ตอนนี้คุณก็มีเสี่ยวเฟยเป็นหลานชายแท้ๆ เพียงคนเดียว ถ้าหากเขาถูกขับออกจากตระกูลไปแล้ว หลังจากนี้ตระกูลฉินจะทำยังไงต่อล่ะ”

ผู้ร่วมบุกเบิกบริษัทที่นำสัญญามาคนนั้นก็ช่วยพูดขอร้องให้ฉินเฟย

หลายวันมานี้นายท่านฉินคิดเรื่องต่างๆ อยู่มากมาย ตอนนั้นเขาตัดสินใจขับไล่ฉินเฟยออกจากตระกูลไปเพราะความโมโห ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นหลานชายแท้ๆ เพียงคนเดียวของเขา เพียงแต่คำพูดที่พูดออกไปแล้วนั้นไม่สามารถเก็บกลับมาได้

“ในเมื่อเรื่องนี้ถือเป็นการประชาสัมพันธ์บริษัทโดยไม่ตั้งใจ ถ้าอย่างนั้นฉันจะให้โอกาสอีกสักครั้งก็ได้”

อย่างไรวันนี้ก็มีหลินเสว่เหลียนกับผู้อาวุโสในบริษัทมาช่วยขอร้องให้แล้ว นับได้ว่าเป็นการสร้างทางลงให้เขา จึงกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “ถ้าหากเด็กคนนั้นยังกล้าทำให้ตระกูลฉินต้องอับอายอีก ต่อให้ต้องไร้ผู้สืบทอด ฉันก็จะไล่มันออกไปอยู่ดี”

เมื่อได้ยินดังนี้ หลินเสว่เหลียนก็ดีใจเป็นอย่างมาก เธอรีบพูดออกมาทันทีว่า “คุณพ่อคะ วางใจเถอะค่ะ หลังจากนี้ฉันจะจับตามองเสี่ยวเฟยอาไว้ให้ดีๆ เขาจะได้ไม่ทำผิดซ้ำอีก”

หลังจากที่ฉินเฟยรู้ว่านายท่านฉินให้อภัยเขาแล้ว ก็ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจเลยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าคุณปู่ฉินที่ให้สำคัญกับการสืบทอดยิ่งกว่าชีวิต ไม่มีทางที่จะปล่อยเขาไว้ข้างถนนได้ลงคอหรอก

“หยางเฉิน รอก่อนเถอะ! สักวันหนึ่งฉันจะทำให้แกได้ชดใช้!” รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเฟยเหี้ยมโหดเป็นอย่างมาก

การที่จู่ๆ วิกฤตของตระกูลฉินก็ได้รับการคลี่คลาย ทำให้ทุกคนตั้งแต่ระดับบนลงไปจนถึงระดับล่างตื่นเต้นดีใจเป็นอย่างมาก

“ประธานกรรมการ ผมทำเรื่องที่คุณมอบหมายให้เสร็จเรียบร้อยแล้ว วิกฤตของตระกูลฉินได้รับการคลี่คลายแล้วครับ”

หยางเฉินได้รับสายจากลั่วปิงอย่างรวดเร็ว

“ดี!”

ถ้าไม่ใช่เพราะฉินซีร้องขอ ตระกูลฉินคงเหลือไว้เพียงประวัติศาสตร์ตั้งแต่เมื่อคืนวานแล้ว

ทันทีที่เขาเพิ่งจะวางสายไป ก็ได้รับอีกสายหนึ่งที่เพิ่งจะโทรเข้ามาทันที

“หยางเฉิน ตอนเที่ยงคุณพอจะมีเวลาไหมคะ”

ทว่าสิ่งที่ทำให้หยางเฉินประหลาดใจก็คือ คนที่โทรมาเป็นฉินยี