บทที่ 147 เกือบโดนไล่ออก + บทที่ 148 ไร้ค่า Ink Stone_Romance
บทที่ 147 เกือบโดนไล่ออก
หนิงเมิ่งเหยาแย้มยิ้มมองหยางชุ่ย “เจ้านี่ช่างโง่เขลาเสียจริง ถ้าข้าจงใจแล้วเจ้าจะทำไมรึ” นางไม่กังวลเรื่องหยางชุ่ยสักนิดเดียว เพราะไม่มีใครเชื่อสิ่งที่หยางชุ่ยพูดหรอก ไม่ว่านางจะพูดย้ำสักเท่าไรก็ไม่มีประโยชน์
หยางชุ่ยถลึงตามองหนิงเมิ่งเหยา “ข้าจะไปบอกให้ทุกคนรู้ว่าเจ้ามันพวกหลอกลวงแล้วให้พวกเขาไล่เจ้าออกจากหมู่บ้าน”
หนิงเมิ่งเหยาไหวไหล่ แล้วก็เปรยเบาๆ “ก็ลองดูเสียสิว่าคนจะเชื่อเจ้าหรือข้า”
ไม่นานหลังจากนั้น ท่านป้าหลี่ก็กลับมาพร้อมหยางจู้และคนอื่นในหมู่บ้านอีกประมาณหนึ่ง ซึ่งรวมถึงนางเฉินด้วย
ตลอดทางย้อนกลับมา ท่านป้าหลี่เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้ทุกคนฟังแล้ว พวกเขาไม่อยากเชื่อว่าหยางชุ่ยพยายามทำร้ายคนอื่นด้วยกรรไกร
แต่เมื่อพวกเขามาถึง แล้วได้เห็นใบหน้าซีดเซียวของหนิงเมิ่งเหยา กับกรรไกรตกอยู่บนพื้น ทุกคนก็เข้าใจในทันที
หยางชุ่ยกำลังหาเรื่องนาง
“หนิงเมิ่งเหยา เจ้าพยายามใส่ร้ายลูกข้าอีกแล้ว! ข้าไม่ยอมให้เจ้าทำสำเร็จหรอก!” นางเฉินตวาดก่อนคนอื่นจะมีโอกาสได้เปิดปาก
หนิงเมิ่งเหยาเม้มปากแล้วมองนางเฉิน สักพักนางก็หัวเราะน้ำเสียงเยาะเย้ยเล็กน้อย “ท่านป้า ข้าไม่รู้เลยจริงๆ ว่าข้าไปทำอะไรให้ตระกูลของท่าน ท่านมาวุ่นวายกับข้าตอนข้าเพิ่งประกาศหมั้น แล้วในขณะที่ข้านั่งเย็บผ้าอยู่กับบ้าน ลูกสาวของท่านก็อยากจะทำร้ายข้า ทั้งยังพยายามทำให้ข้าเสียโฉมด้วยกรรไกรของข้าเอง ข้าไปทำอะไรให้พวกท่านไม่พอใจนักหนาหรือ”
ชาวบ้านรอบด้านเองก็คิดว่านางเฉินมารยาททรามนัก หนิงเมิ่งเหยาทำคุณมากมายให้หมู่บ้าน ชาวบ้านคนอื่นไม่อิจฉานางกันด้วยซ้ำ กระทั่งเครือญาติจากหมู่บ้านอื่นยังถามไถ่กันว่าขอย้ายมาทำงานที่นี่ได้หรือไม่
แต่เพราะสองโรงงานไม่ได้ใหญ่มากนัก พวกเขาจึงไม่ได้ต้องการคนมากมายอะไร คนนอกเหล่านั้นจึงได้แต่ชื่นชม และอิจฉาในที พร้อมกับรำพันว่าไฉนเรื่องดีปานนี้ไม่เกิดกับหมู่บ้านของพวกตน
แล้วในตอนนี้มีคนพยายามขัดขวางกิจการนี้อย่างนั้นหรือ หนิงเมิ่งเหยาแทบไม่เข้าไปในหมู่บ้าน นางมักจะอยู่แต่กับบ้าน โดยเฉพาะหลังพ้นงานหมั้นมา ตั้งแต่เฉียวเทียนช่างไม่อยู่ นางก็เอาแต่เย็บปักผ้าอยู่บ้านตัวเอง ทำเสื้อผ้ากับไปแวะเยี่ยมเยียนโรงงาน นางไม่ได้รบกวนอะไรใครเลยแม้แต่น้อย แล้วเหตุใดจึงเกิดเหตุเช่นนี้กับนางได้
หนิงเมิ่งเหยาไม่ได้ไปลบหลู่นางเฉินหรือบรรพบุรุษของสามีนาง แล้วทำไมพวกเขาจึงมาสร้างปัญหาให้นางตลอดเวลา
นางเฉินชักสีหน้า ไม่คิดว่าหนิงเมิ่งเหยาจะแสดงละครเก่งปานนี้ “หนิงเมิ่งเหยา อย่าบังอาจใส่หน้ากากหลอกคนอื่น เลิกพยายามทำให้ลูกสาวข้าเสียชื่อได้แล้ว”
“หนิงเมิ่งเหยา เจ้าไม่รู้สึกผิดบ้างหรือที่มาทำลายชื่อเสียงข้า” หยางชุ่ยน้ำตารื้นมองหญิงสาว ดั่งว่านางเสียเองที่เป็นเหยื่อในครั้งนี้
บางคนเริ่มสับสน ทว่าท่านป้าหลี่ก็แผดเสียงออกมาด้วยความเดือดดาล “พวกเจ้าแม่ลูกนี่มันไร้ยางอายเหมือนกันไม่มีผิด เจ้ากล้าดีอย่างไรมารังแกเด็กกำพร้าคนหนึ่ง หยางชุ่ย เจ้ามากล่าวหาเมิ่งเหยาได้อย่างไร เจ้าไม่กลัวโดนสวรรค์ลงทัณฑ์หรือ เจ้ากับพฤติกรรมร้ายกาจของเจ้ามีแต่จะทำให้เจ้าหาสามีลำบากขึ้น ไม่ต้องสงสัยเลยทำไมเทียนช่างถึงไม่อยากได้เจ้า ใครหลงเจ้าได้ลงสิประหลาด”
ท่านป้าหลี่อาจพูดจาไม่สุภาพไปบ้าง แต่พอเห็นนางเฉินทำท่าอยากโต้กลับ นางก็กล่าวต่อ “เมิ่งเหยาเย็บเสื้อมันไปลบหลู่อะไรตระกูลเจ้ากัน หยางชุ่ย เจ้าต้องมาสร้างเรื่องถึงที่นี่เลยหรือ เจ้ามาที่นี่เพื่อหาเรื่อง แล้วยังจะมาโทษเมิ่งเหยาอีก ตระกูลของเจ้าต่างหากที่มีปัญหา”
ทุกคนที่อยู่ตรงนั้นเห็นด้วยกับท่านป้าหลี่
เมื่อเห็นนางเฉินกับหยางชุ่ยมีแววตาไม่พอใจ ทุกคนก็คิดอย่างเดียวกันว่า เมิ่งเหยาไม่ได้ไปทำอะไรพวกนางเลย แล้วอะไรทำให้พวกนางต้องมาสร้างปัญหาให้นางเช่นนี้กัน
หยางจู้มองใบหน้าซีดเซียวของหยางชุ่ย เขาเดินไปหานางแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ “หยางชุ่ย ข้าไม่อยากพูดเช่นนี้เลย แต่ถ้าเจ้าจะทำตัวแบบนี้ต่อไป เจ้าก็ควรออกไปจากไป๋ซานเสีย ที่นี่ไม่ต้องการหญิงสาวแบบเจ้า”
“ท่านหมายความว่าอย่างไรกัน หัวหน้าหมู่บ้าน” นางเฉินถามเสียงดัง
หยางจู้หันไปทางนางเฉินแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าหมายความว่าอย่างไรน่ะรึ นางเฉิน เจ้าน่ะเป็นฝ่ายทำตัวไร้ความรับผิดชอบ ถ้าเจ้าดูแลลูกสาวของเจ้าให้ดีไม่ได้ เช่นนั้นข้าขอแนะนำให้ตระกูลเจ้าย้ายออกไปจากหมู่บ้านเสียเถอะ และไม่ต้องมาหาว่าข้าใจร้ายเชียวนะ ก่อนหน้านี้เจ้าก็น่าจะรู้หมดแล้วว่าพฤติกรรมลูกสาวเจ้าเป็นอย่างไร”
“ท่าน…”
บทที่ 148 ไร้ค่า
ก่อนหนิงเมิ่งเหยาจะมาที่นี่ ตระกูลของนางเฉินรวยที่สุดในหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็อิจฉานาง พวกเขารู้ว่านางมีบุตรชายแสนดีสองคน ซึ่งคนหนึ่งมีงานทำเงินอุ้มชูตระกูล อีกคนเป็นซิ่วไฉ กระทั่งบุตรสาวของนางก็เป็นที่รักและชื่นชมของใครหลายคน
ทว่า พอหนิงเมิ่งเหยามาอยู่ที่นี่ ทุกอย่างพลันเปลี่ยนไป สถานะตระกูลของพวกนางค่อยๆ ลดลงไปจากในหมู่บ้าน แล้วชื่อเสียงของบุตรสาวนางก็พังย่อยยับ แล้วตอนนี้นางยังถูกปฏิบัติเช่นนี้ใส่ อีกทั้งชาวบ้านยังเจียนจะขับไล่ไสส่งนางออกไปจากหมู่บ้านด้วย
หยางจู้มองสีหน้าไม่อยากเชื่อของนางเฉิน แล้วเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ว่าเจ้าคิดอะไรอยู่ เจ้าคิดว่าเราเห็นแก่ตัว แต่ไม่ใช่ว่าเจ้าก็เห็นแก่ตัวหรือ เมิ่งเหยาให้โอกาสดีๆ แก่ชาวบ้าน ให้พวกเขาได้ทำเงินโดยไม่ต้องจากบ้านไปไกล ช่วยให้แต่ละครอบครัวมีชีวิตที่ดีในแต่ละวัน เจ้าไม่คิดบ้างหรือว่าสิ่งที่เจ้าทำจะทำให้เมิ่งเหยาผิดหวังต่อหมู่บ้านของเรา”
“จริงยิ่งนัก ทุกคนต่างก็อิจฉาหมู่บ้านของเรา ถ้าเจ้ากับตระกูลของเจ้ายังมาวุ่นวายกับนางอีก ข้าก็หวังว่าตระกูลเจ้าจะไสหัวออกไปจากที่นี่เสีย เพราะอย่างไรตระกูลเจ้าก็มีเงิน เจ้าไปซื้อที่สักหมู่จากที่ว่าการได้ไม่ยากหรอก”
นางเฉินเดือดดาลที่ผู้คนต่างมากล่าวโทษตระกูลนาง
“นางเฉิน หมู่บ้านไป๋ซานไม่ต้องมีตระกูลเจ้าก็อยู่ได้ ไม่มีเจ้า เราก็ยังใช้ชีวิตกันตามปกติได้” หยางจู้ถอนหายใจ “อย่าได้หาว่าข้าอคติบังตาหาเรื่องเจ้าเพราะเมิ่งเหยาเชียว ถ้าไม่ใช่เพราะตระกูลเจ้าคอยหาเรื่องนางซ้ำๆ ผลคงไม่ออกมาเป็นเช่นนี้หรอก”
นางเฉินโกรธเกรี้ยวแทบกัดลิ้นตัวเองขาด หยางจู้ว่าต่อไปอย่างช่วยไม่ได้ “ปัญหาครั้งนี้เราจะไม่ว่าต่อแล้ว แต่ถ้าเจ้ายังทำตัวเหมือนเดิม หมู่บ้านเราจะไม่ทนเจ้ากับตระกูลของเจ้าอีกต่อไป”
ชาวบ้านต่างฮึกเหิมกันยิ่งนัก ทุกบ้านต้องทำงานหนักเพื่อมีชีวิตที่ดีขึ้น ดังนั้นพวกเขาไม่ยอมให้คนพรรค์นี้มาทำลายความเป็นอยู่เด็ดขาด
หมู่บ้านนี้อาจจะกลายเป็นหมู่บ้านที่มั่งคั่งที่สุดท่ามกลางหมู่บ้านละแวกใกล้เคียงในวันข้างหน้า ฉะนั้น พวกเขาไม่ยอมให้นางเฉินมาทำลายโอกาสนี้แน่นอน
ตอนนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็เอ่ยขึ้นมาอย่างได้จังหวะ “ทุกท่าน ข้าไม่เป็นอะไร หยางชุ่ยก็โดนข้ารับใช้ของข้าเตะ เลิกสนใจเรื่องนี้แล้วลืมไปเสียดีกว่า แต่ว่า จากนี้ไปข้าไม่อยากให้พวกนางมาวุ่นวายกับข้าอีก”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ทุกคนก็รู้สึกว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นคนใจกว้างเหลือเกิน นางอุตส่าห์ไม่เอาความหยางชุ่ย
ทุกคนต่างพากันคิดว่าหนิงเมิ่งเหยานั้นมีน้ำใจและจิตใจดีงาม หากเพียงพวกเขาจะรู้สักนิดว่าลูกเตะของชิงเซวียนนั้นแรงพอจะทำให้หยางชุ่ยต้องนอนติดเตียงไปอีกเป็นเดือนกว่าจะลุกไหว
ไม่อย่างนั้น หนิงเมิ่งเหยาไม่ปล่อยนางไปง่ายๆ หรอก
ในท้ายที่สุด นางเฉินก็ไม่มีทางเลือก ความโกรธคุกกรุ่นรุนแรงข้างในตัวนาง แต่นางจำต้องขอบคุณหนิงเมิ่งเหยาที่ไม่ถือสาบุตรสาว ความรู้สึกที่นางเผชิญขณะนั้นหนักหนายิ่งกว่าให้กลืนแมลงวันลงคอ
หลังจากสองแม่ลูกจากไป หยางจู้บอกให้กลุ่มชาวบ้านแยกย้าย จากนั้นก็เดินมายืนข้างหนิงเมิ่งเหยา แล้วมองนางอย่างกังวล “เมิ่งเหยา เจ้าเป็นอะไรหรือไม่”
“ท่านลุงหยาง ไม่ต้องห่วงหรอก ข้าไม่เป็นอะไรเลย”
“แม่หนู เจ้า…โอ้ จริงด้วยสิ เมิ่งเหยา ข้ามีเรื่องอยากจะขอร้องเจ้า” หยางจู้เอ่ยอย่างนึกอายเล็กน้อย
“บอกข้ามาเลย ท่านลุงหยาง”
หยางจู้ส่ายศีรษะอย่างอับจนวาจา “เรื่องของเล่อเล่อน่ะสิ แม่ของนางและข้าจะไม่ห้ามนางทำสิ่งที่นางต้องการหรอก แต่เราหวังว่านางจะกลับมาบ้านเร็วกว่านี้ อย่างไรนางก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้ว”
หนิงเมิ่งเหยาเข้าใจได้ในทันที นางมองหยางจู้แล้วขบขัน “อย่ากังวลเลย ท่านลุงหยาง ข้ารู้ว่าท่านหมายถึงอะไร เล่อเล่อเป็นเด็กดี ดังนั้นข้าไม่เอาเรื่องความสุขของนางมาล้อเล่นหรอก”
นางปรารถนาให้หยางเล่อเล่อมีความสุข ดังนั้นตัวนางเองจึงมีความคิดไว้บ้างแล้ว
หยางจู้มองหนิงเมิ่งเหยา หน้าเขาแดงเขินเล็กน้อย “เมิ่งเหยา ข้า…”
“อย่าห่วงๆ ข้าเข้าใจ ปีหน้า พอเล่อเล่อร่ำเรียนเสร็จในปีหน้า ข้าจะขอให้นางกลับมาแล้วจัดการเรื่องของนางกับที่ว่าการอำเภอ” ถ้าทำเช่นนี้ เล่อเล่อก็จะกลับมาบ้านบ่อยขึ้น และบิดามารดาก็จะไปเยี่ยมนางได้ยามที่พวกเขาคิดถึงนาง
เมื่อได้ยินดังนั้น หยางจู้ก็ซาบซึ้งใจ “เมิ่งเหยา ขอบคุณเจ้ายิ่งนัก”
“ท่านไม่ต้องคิดมากไป”
หยางจู้พูดคุยกับหนิงเมิ่งเหยาอีกสักพักก่อนจะไป
หลังจากหยางจู้ไปแล้ว หนิงเมิ่งเหยายิ้มบางๆ ชีวิตที่มีเรื่องเป็นครั้งคราวก็ไม่เลวนัก
หนิงเมิ่งเหยาคิดเช่นนั้นแล้วส่ายศีรษะพลางยิ้มอีกครั้ง นางหยิบเข็มกับด้ายขึ้นมาจากตะกร้าเย็บปักถักร้อย แล้วเริ่มเย็บเสื้อผ้าต่อ ถ้ามีใครผ่านมาเห็นนางในตอนนี้ ก็จะได้เห็นรอยยิ้มสดใสบนดวงหน้าของหญิงสาว