บทที่ 87: ฉันควรจะเริ่มต้นด้วยการแสดงตัวอย่างที่ดีไหม ?

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 87: ฉันควรจะเริ่มต้นด้วยการแสดงตัวอย่างที่ดีไหม ?

【6… 5…】

การนับถอยหลังของระบบถูกกลบลงด้วยเสียงคำรามของโรเอล ในขณะที่เขากำลังอาละวาดเป็นครั้งสุดท้าย

แม้โรเอลจะไม่รู้ว่ากรันด้าเป็นใครกันแน่ และก็คงไม่มีใครในโลกนี้ที่รู้อะไรเกี่ยวกับเขาด้วยเช่นกัน ทว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าคาถาที่กรันด้ามอบให้เขามานั้นทรงพลังแค่ไหน มันทำให้เด็กชายสามารถได้เปรียบเฟลเดอร์ผู้แข็งแกร่งได้ แม้ว่าจะเป็นเวลาเพียง 30 วินาทีก็ตาม

ภายใต้การโจมตีอันต่อเนื่องของโรเอล เฟลเดอร์พบว่าตัวเองกำลังเสียเปรียบไปเรื่อย ๆ แม้สภาพภายนอกโรเอลจะธรรมดาทั่วไปตามค่าเฉลี่ย แต่การระเบิดพลังเวทอันมหาศาลของเขา ก็มากเกินพอที่จะชนะเฟลเดอร์ในการต่อสู้ระยะประชิดได้ โชคดีที่เฟลเดอร์มีประสบการณ์การต่อสู้มาอย่างยาวนาน และมีความคล่องตัวที่เหนือกว่าโรเอลมาก ทำให้เขาสามารถยืนหยัดต่อสู้กับโรเอลได้

แม้จะโดนเด็กกดดันจนเสียเปรียบ แต่เฟลเดอร์ก็ไม่ได้กังวลใส่ใจมากนัก เพราะเขารู้ดีว่าพลังเวทที่ระเบิดออกมาของโรเอลน่าจะคงอยู่ได้เพียงแค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

พลังและค่าใช้จ่าย เป็นดั่งเหรียญสองด้านของโลกใบนี้ เฟลเดอร์เคยเห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของโรเอลมาก่อน ซึ่งเป็นเพียงแค่ระดับแก่นแท้ 6 เท่านั้น​ เหตุผลที่โรเอลสามารถควบคุมพลังอันยิ่งใหญ่ และต่อสู้อย่างเท่าเทียมกับเขาที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 ได้ น่าจะเกิดจากพลังฟื้นคืนชีพอวตารของอันเดธ อย่างไรก็ตาม สถานะดังกล่าวสามารถคงอยู่ได้เพียงแค่ในช่วงเวลาสั้น ๆ เท่านั้น

แน่นอนว่าฝั่งโรเอลเองก็ไม่ได้ลืมข้อจำกัดของคาถาเวท คำมั่นสัญญากับกรันด้า เช่นกัน เมื่อมันสิ้นสุดลงเขาจะต้องประสบกับความรู้สึกอ่อนแออย่างท่วมท้น ดังนั้นเด็กชายรู้ดีว่าเขาจะหมดสภาพลงแน่ หากไม่สามารถยุติการต่อสู้ให้จบลงภายใน 30 วินาที

จริง ๆ แล้วตั้งแต่ที่โรเอลไม่สามารถทำให้เฟลเดอร์ล่าถอยไปได้ภายใน 10 วินาทีแรก เขาก็รู้อยู่แล้วว่าตนเองคงจะไม่สามารถเอาชนะการต่อสู้นี้ได้ก่อนที่เวลาจะหมดลง แต่เด็กชายยังคงเลือกที่จะต่อสู้อย่างสุดกำลังต่อไป เพราะเขาเชื่อว่านี่จะทำให้เขาสามารถดึงดูดความสนใจของใครบางคนได้

ซึ่งเขาก็คิดถูก

【3…】

ขณะที่การนับถอยหลังกำลังจะไปถึงศูนย์ ราวกับวีรบุรุษที่มักจะปรากฏตัวในนาทีสุดท้าย เสียงของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นมา

“ทำได้ดี เจ้าหนู คาถาเวทหกแฉก ศูนย์กลางแห่งแรงโน้มถ่วง”

ทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น โรเอลก็รู้ได้ว่าการอดทนของเขาสัมฤทธิ์ผลแล้ว ซึ่งจังหวะนั้นผลจากคำมั่นสัญญาของกรันด้าก็ได้สิ้นสุดลง

ฝั่งเฟลเดอร์เองก็ไม่สามารถโจมตีต่อไปได้เช่นกัน เนื่องจากปฏิกิริยาพลังเวทแปลก ๆ ได้เกิดขึ้นกับชุดเกราะที่เขาสวมอยู่ ทันทีที่อัศวินเงยหน้าขึ้น ลูกธนู​และดาบนับไม่ถ้วนก็พุ่งเข้าใส่เขาจากทั่วทุกทิศ

“ไอ้เวรเอ๊ย! มีแต่ลูกเล่นสกปรกเล็ก ๆ น้อย ๆ รึไงหา พอนเต้?!”

เฟลเดอร์ปล่อยพลังเวทอย่างฉุนเฉียว ส่งผลให้หมอกโลหิตรอบ ๆ ตัวเขาระเบิดออกมา พร้อมจ้องไปที่ชายผมดำผู้กำลังยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าเด็กชายที่เขากำลังต่อสู้อยู่

พอนเต้ แอสคาร์ด หนึ่งในขุมพลังอันยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิเซนต์เมซิท ผู้บัญชาการกองทัพขององค์หญิงวิกตอเรีย

เมื่อผู้ยิ่งใหญ่สองคนของจักรวรรดิเซนต์เมซิทสบตากัน บรรยากาศก็เปลี่ยนไปราวกับเรื่องใหญ่กำลังจะเกิดขึ้น

“พอนเต้ เด็กคนนั้นเป็นลัทธินอกรีตนะ!”

“แล้วมันยังไงล่ะ? เจ้าสนใจเขารึไง มาร์ควิสเฟลเดอร์?”

พอนเต้หัวเราะเบา ๆ กับอัศวินผมทองผู้โกรธเกรี้ยว เขาคว้าโรเอลที่หมดแรงขึ้นมาด้วยมือขวา แล้วโบกมือซ้ายร่ายคาถาเวท จู่ ๆ หน้าหนังสือนับไม่ถ้วนก็ปรากฏออกมาจากอากาศ ลอยไปรอบ ๆ ตัวเขา

“ขอโทษด้วย แต่ข้ามีเวลาไม่มาก อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ มาร์ควิสเฟลเดอร์ ข้าเป็นคนมีงานยุ่ง”

ก่อนที่เฟลเดอร์จะทันได้ตอบโต้ สายตาของโรเอลก็ถูกปกคลุมไปด้วยหน้าหนังสือรอบตัวเขาและพอนเต้ เสียงของสนามรบดังขึ้นอย่างรวดเร็วก่อนที่จะหายไปโดยสิ้นเชิง เมื่อหน้าหนังสือต่าง ๆ กระจัดกระจายออกไป เขาพบว่าตัวเองอยู่ ณ ใจกลางกำลังพลของฝ่ายวิกตอเรียแล้วเป็นที่เรียบร้อย

“ท่านอาจารย์!”

“โรเอล!”

เสียงของผู้หญิงสองคนดังก้องอยู่ในหูของเด็กชายตระกูลแอสคาร์ด วิกตอเรียถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเห็นได้ชัด เมื่อเห็นว่าพอนเต้ประสบความสำเร็จในการล่าถอย ขณะที่นอร่ากระโดดเข้าไปหาโรเอล โอบกอดเขาเอาไว้แน่น

“อุ๊ย! นอร่า เจ็บ!”

หลังจากที่โรเอลใช้คำมั่นสัญญากับกรันด้าสองครั้งแบบแทบไม่ได้พัก ร่างกายของเขาจึงปวดร้าวไปทั่วทั้งตัว ทำให้การกอดอันรัดแน่นของนอร่าเกือบจะส่งเขาไปโลกหน้าแล้ว ซึ่งนอร่าก็รีบปล่อยมือของเธอทันทีที่ได้ยินคำอุทานของเด็กชาย

“ข..ขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจ”

นอร่าอดที่จะกังวลไม่ได้ เด็กสาวเริ่มสำรวจโรเอลตั้งแต่หัวจรดเท้า ตรวจสอบสภาพของเขา เมื่อเห็นสิ่งนี้วิกตอเรียอดไม่ได้ที่จะมองเด็กชายตรงหน้าด้วยความสนใจ

เด็กชายคนนี้น่ารักและดูจะคล้ายคลึงกับอาจารย์ของวิกตอเรียไม่น้อย แต่จากท่าทางของนอร่าแล้วดูเหมือนว่าเธอจะ…

วิกตอเรียหันมองไปทางนอร่าด้วยสายตาครุ่นคิด

อีกด้านหนึ่ง พอนเต้ก็กลับไปทำงานของเขา

“ไม่จำเป็นต้องเก็บเสบียงแล้ว! พลธนู คอยยิงคุ้มกันให้พวกที่กำลังถอยทัพ! ทุกคน ถอยทัพได้!”

แม้เขาจะกลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว แต่พอนเต้ก็ยังไม่ได้วางใจ จอมเวทเริ่มส่งพลังเวทของตนไปยังอัญมณีหลากสี ทำให้อัญมณีนั้นเปล่งประกายเจิดจ้า หมอกรอบ ๆ หนาขึ้นอย่างรวดเร็ว

สายฟ้าสีแดงเข้มที่เวตเรียกออกมายังคงพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อที่จะปัดเป่าพลังของเขาวงกต แต่มันก็ไม่ต่างอะไรไปจากการพยายามกันฝนด้วยการจุดไฟ ทั้งเวตและพอนเต้ต่างก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 3 แต่พอนเต้นั้นมีข้อได้เปรียบอย่างชัดเจนด้วยพลังของอุปกรณ์เวทและภูมิประเทศ ทำให้เวตไม่มีโอกาสที่จะต้านม่านหมอกนี้กลับไปได้เลย

กองกำลังของวิกตอเรียใช้ประโยชน์จากม่านหมอกอันหนาทึบเพื่อให้หลบหนีได้อย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าทหารเหล่านี้ได้รับคำสั่งพิเศษล่วงหน้ามาก่อนแล้ว พวกเขาไม่ลังเลใจที่จะทิ้งอาวุธและหันหน้าหนีอย่างไม่คิดชีวิต มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจที่ได้เห็นทหารเหล่านั้น เต็มใจละทิ้งอุปกรณ์อันล้ำค่าของตัวเอง แต่ในทางกลับกันมันก็มีประสิทธิภาพมาก นี่ทำให้ทหารเกือบทั้งหมดที่ยังเคลื่อนไหวได้ หลบหนีออกมาจากสนามรบได้อย่างรวดเร็ว

ความพยายามอันแน่วแน่เพื่อความอยู่รอด นี่คือคุณสมบัติที่มีค่าที่สุดสำหรับกองทัพของฝั่งวิกตอเรียที่อ่อนแอกว่า

เมื่อพวกเขาสามารถสลัดหนีศัตรูได้สำเร็จ พอนเต้ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก การหายใจของจอมเวทหนักขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เขาได้ทุ่มเทแรงกายและพลังเวทอย่างมากในการบุกเข้าไปในใจกลางสนามรบถึงสองครั้ง อีกทั้งยังต้องเปิดใช้งานอุปกรณ์เวทของคฤหาสน์เขาวงกต

แต่เมื่อเทียบกับสมาชิกของตระกูลแอสคาร์ดอีกคนแล้ว สภาพของเขาดีกว่ามาก

โรเอลก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยการสนับสนุนของนอร่า หลังจากที่เด็กชายเห็นว่ากองทัพของศัตรูไม่อยู่ในระยะสายตาอีกต่อไปแล้ว แรงฮึดทั้งหมดที่มีก็หมดลง เขายอมจำนนต่อความเหนื่อยล้า หมดสติไปซบที่ไหล่ของนอร่า

วันต่อมา ณ คฤหาสน์เขาวงกต

“เด็กคนนั้นยังอยู่ในห้องใช่ไหม?”

พอนเต้ผู้ยืนอยู่ข้าง ๆ หน้าต่างของห้องรับรองเหลือบมองไปที่วิกตอเรียที่กำลังปิดประตูเหล็กหลังจากเดินเข้ามาในห้อง จอมเวทถามถึงความเป็นไปของเด็ก ๆ ทั้งสองคน ซึ่งวิกตอเรียก็พยักหน้าแทนคำตอบ

“ข้าถามเธอแล้วว่าจะมาด้วยกันไหม แต่เธอบอกว่ามันเพิ่งผ่านมาไม่นานหลังจากพลังสายเลือดของเธอตื่นขึ้น…”

“เธอชื่ออะไร? อายุเท่าไหร่?”

“นอร่า อายุ 10 ขวบ”

พอนเต้มองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเงียบ ๆ คิดไตร่ตรองคำพูดของอีกฝ่าย ระหว่างนั้นวิกตอเรียก็ค่อย ๆ เดินเข้าไปหาเขา

“สายเลือดระดับเงิน ตั้งแต่อายุได้ 10 ขวบ? เป็นอะไรที่หาได้ยากมาก แม้จะเป็นในเชื้อสายของเจ้าก็ตาม”

“แน่นอน… อย่างน้อย ๆ พรสวรรค์ของเธอก็เหนือกว่าทั้งข้าและเวต”

วิกตอเรียตอบด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

นี่เป็นครั้งแรกที่เธอไม่สามารถเทียบเคียงคนอื่นได้ในแง่ของความสามารถ

“การที่ญาติของเจ้ามีศักยภาพมากขนาดนี้ จะไม่เป็นไรใช่ไหม?”

“ข้าไม่ได้สนใจอำนาจหรืออิทธิพลอยู่แล้ว การมีผู้มีพรสวรรค์มากขึ้นในตระกูลเซไซต์ ย่อมถือเป็นข่าวดี ท่านอาจารย์ก็น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีไม่ใช่หรือ?”

วิกตอเรียถอนหายใจพลางนึกถึงเวต น้องชายฝาแฝดของเธอ ทั้งสองคนต่างก็เคยคิดแบบเดียวกัน จนกระทั่งมารดาของพวกเขาได้จากไป เพียงแค่ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่ปี ทุกสิ่งทุกอย่างก็เปลี่ยนไปเป็นราวฟ้ากับดิน

“จะว่าไปแล้ว วิกตอเรีย เจ้าไม่คิดเหรอว่า… มีบางอย่างที่แปลกไปเกี่ยวกับเด็กสองคนนี้”

พอนเต้ลังเลเล็กน้อยขณะพูดคำเหล่านั้น ซึ่งวิกตอเรียก็ไม่ได้ตอบคำถามของเขาในทันทีเช่นกัน เธอเองก็กำลังครุ่นคิดอยู่ลึก ๆ ไม่ต่างไปจากเขา

เด็กทั้งสองคนนี้มีบางอย่างที่ผิดปกติไปจากที่ควรจะเป็น โดยเฉพาะเสื้อผ้าของพวกเขา การที่พวกเขาสวมเสื้อผ้าหรูหรา แสดงให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่เพียงแค่ลูกนอกสมรสธรรมดา ๆ มีแนวโน้มว่าพวกเขาจะได้รับการเลี้ยงดูมาจากตระกูลผู้สูงศักดิ์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแล้ว วิกตอเรียก็น่าจะเคยได้ยินเกี่ยวกับพวกเขามาบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้วยรูปลักษณ์อันโดดเด่นของพวกเขา

“ใช่ แค่การที่ลูกหลานของราชวงศ์มาอยู่ที่นี่ข้าก็ว่ามันแปลกมากแล้ว แต่นี่ยังมีลูกหลานจากตระกูลของท่านอาจารย์อยู่ด้วยกันอีก นอกจากนี้พวกเขาทั้งสองยังรู้จักกันเป็นอย่างดีเสียด้วย”

จะบอกว่าลูกนอกสมรสของทั้งสองตระกูลมาอยู่ด้วยกันเพื่อความอบอุ่นงั้นเหรอ?

ความคิดดังกล่าวผุดขึ้นในใจของวิกตอเรีย แต่เธอก็รีบส่ายหัวหักล้างมันอย่างรวดเร็ว อีกด้านหนึ่งพอนเต้นั้นยังคงนิ่งเงียบพยายามไตร่ตรองเรื่องนี้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น

ในมุมมองของเขา มันไม่ใช่เรื่องที่คาดไม่ถึงสำหรับตระกูลแอสคาร์ดที่จะมีลูกหลานนอกสมรส โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อในบรรดา​บรรพบุรุษหลายคนของตระกูลแอสการ์ดในอดีตได้หายตัวไปอย่างกะทันหัน แต่สิ่งที่ทำให้เขาสนใจจริง ๆ คือความสามารถและอุปกรณ์เวทที่เด็กชายคนนี้มีเสียมากกว่า

พอนเต้ลูบดาบสั้นข้าง ๆ เขา ก่อนที่จะตั้งข้อสังเกต

“เด็กชายที่มีชื่อว่า โรเอล เป็นผู้ครอบครองเอสเซนด์วิง แสดงว่าพระสังฆราชไรอัน รู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา น่าเสียดายที่ท่านไม่ได้อยู่ในเมืองหลวงในขณะนี้ มิฉะนั้นพวกเราก็คงจะสามารถถามอะไรเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้บ้าง”

“ข้าไม่รู้จริง ๆ ว่าท่านพ่อคิดอะไรอยู่…”

ความคิดของวิกตอเรียและพอนเต้เริ่มห่างไกลจากความจริงมากขึ้นเรื่อย ๆ ทว่าคนที่น่าสงสารที่สุดนั้นน่าจะเป็นพระสังฆราชไรอัน ผู้ซึ่งแม้จะอยู่ที่จักรวรรดิออสทีนอันห่างไกล แต่ก็ต้องถูกลูกสาวดูหมิ่นเหยียดหยามว่า ‘แอบซ่อนลูกนอกสมรสเอาไว้’

“ต้องบอกเลยว่าข้าประหลาดใจมาก ที่ลูกหลานของตระกูลแอสคาร์ดคนนี้สามารถยับยั้งเฟลเดอร์ได้เป็นเวลานานถึงขนาดนั้น”

“เจ้าเห็นมันงั้นเหรอ?”

“แน่นอนสิ! ทหารทุกคนที่อยู่ในแนวหน้าล้วนเห็นเหตุการณ์ เด็กคนนั้นต่อสู้กับผู้บัญชาการของศัตรูใจกลางสนามรบอย่างห้าวหาญ! ข้ามั่นใจเลยว่าเรื่องนี้คงแพร่กระจายไปในหมู่ทหารแล้วเป็นที่เรียบร้อย”

วิกตอเรียกล่าวชื่นชมความกล้าหาญของโรเอลในสนามรบ กลับกันแล้ว สีหน้าของพอนเต้กลับเคร่งเครียดขึ้นมา แม้ว่าทหารคนอื่น ๆ จะถูกผลักออกไม่ให้เข้าใกล้การต่อสู้จากคลื่นกระแทกที่เกิดจากการปะทะกันระหว่างดาบของโรเอลกับเฟลเดอร์ แต่พอนเต้ก็มองเห็นพลังของโรเอลได้อย่างชัดเจน

“ความสามารถของเขามีต้นกำเนิดมาจากลัทธินอกรีต เจ้ารู้เรื่องนั้นใช่ไหม?”

“แล้วมันยังไงล่ะ? มารดาของข้าก็เป็นคนลัทธินอกรีต นั่นหมายความว่านางชั่วร้ายด้วยงั้นเหรอ? อาจารย์ ท่านกำลังพยายามจะทดสอบข้ารึไง?”

“ไม่ ข้าแค่กังวลว่าเจ้าจะรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้”

“ทำไมข้าจะต้องรู้สึกไม่สบายใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วยล่ะ? นอกจากนี้ นอร่าก็มีความสัมพันธ์บางอย่างกับเด็กคนนั้น…”

รอยยิ้มอันอบอุ่นผุดขึ้นบนริมฝีปากของวิกตอเรียขณะที่เธอพูดถึง ‘น้องสาวคนเล็ก’

การที่นอร่าวิ่งไปหาโรเอลทันทีที่เห็นเขา แม้ว่าอาการของเธอจะยังไม่ได้ทรงตัวเท่าไหร่ แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกบางอย่างที่เป็นตัวขับเคลื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ วิกตอเรียเข้าใจได้อย่างลึกซึ้ง

องค์หญิงหันไปจ้องมองสหายข้างกายเธอ จนทำให้พอนเต้ต้องกะแอมไออย่างไม่สบายใจ

“ดูเหมือนว่าทั้งสองคนจะผ่านวิกฤตมาด้วยกันหลายครั้ง ความรู้สึกของพวกเขาที่มีต่อกันนั้นลึกซึ้ง ท่านอาจารย์ไม่คิดว่าสถานการณ์ของพวกเขาคล้ายคลึงกับของพวกเรางั้นหรือ?”

“ม..ไม่ ข้าไม่คิดเช่นนั้นหรอกน่า จะเป็นไปได้ยังไง? ข… ข้ามีครอบครัวแล้ว”

“ครอบครัวงั้นเหรอ? ท่านกำลังพูดถึงภรรยาในนามของท่านที่ไม่ได้พบกันมาเกือบทศวรรษแล้วน่ะหรือ?”

ถ้อยคำบาดหมางนี้ทำให้พอนเต้พูดไม่ออก ส่วนวิกตอเรียเองก็เบือนหน้าหนีอย่างเย็นชา เธอชำเลืองมองไปยังห้องที่เด็ก ๆ ทั้งสองคนอยู่ข้างใน องค์หญิงมองเห็นเงาของเธอและพอนเต้ในตัวพวกเขา

สงสัยเหลือเกินว่าข้าจะสามารถจับคู่เด็ก ๆ ทั้งสองคนนี้เข้าด้วยกันได้รึเปล่านะ

หลังจากนั้นวิกตอเรียก็เหลือบมองไปยังชายที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เธอ ด้วยความคิดที่เริ่มฟุ้งซ่าน​