ตอนที่ 91 สองสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ปฏิญญาค่าแค้น

กว่าหลินหลันและหลี่หมิงอวินจะไปถึงจุดที่ปิดประกาศผลสอบ ที่นั่นก็เต็มไปด้วยผู้คนล้นหลามเสียแล้ว ที่ปรากฏชื่ออยู่ในประกาศ ต่างก็ดียิ้มแย้มเบิกบาน บ้างก็มองดูชื่อของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า บ้างก็พูดคุยส่งเสียงดัง ส่วนผู้ที่ไม่มีชื่อปรากฏในประกาศ บ้างก็จ้องมองใบประกาศรายชื่ออย่างไม่พึงพอใจ ไล่จากบนลงล่าง จากล่างขึ้นบนเพื่อมองหาชื่อของตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แทบจะใช้สายตาสลักชื่อตนเองลงไปบนใบประกาศผลสอบนั่น บ้างก็ร้องห่มร้องไห้อยู่ด้านข้าง…ช่างเป็นสองสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง 

 

 

หลินหลันประหลาดใจยิ่งนัก อีกประเดี๋ยวหากหลี่หมิงอวินมองดูใบประกาศรายชื่อผลการสอบแล้ว จะมีอากับกิริยาอย่างไร 

 

 

“เอ้อร์เส้าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยีย…” ตงจึมาดูประกาศผลสอบตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว โดยกำลังรอการมาของคุณชายรองของตน เมื่อเห็นคุณชายรองและสะใภ้รองมาถึง จึงรีบโบกกวักมือพลางวิ่งเข้ามาหา 

 

 

“ตงจึ เจ้าอย่าเพิ่งพูด พวกเราขอไปดูด้วยตนเองก่อน” หลินหลันเอ่ยขัดเขาก่อนที่ตงจึจะเอ่ยปากขึ้นมาเสียก่อน อย่างไรก็ตามเห็นตงจึยิ้มปากบานมาขนาดนี้ ผลเป็นเช่นไร ถึงไม่พูดก็รู้ได้ 

 

 

ด้วยพละกำลังแข็งแกร่งของเหวินซาน จึงช่วยเบิกทางให้ทั้งสองคนได้ หลี่หมิงอวินกางท่อนแขนของเขา ค่อยปกป้องหลินหลัน สูญเสียพลังกายไปไม่น้อย ทั้งสี่คนถึงได้เบียดเสียดเข้าไปได้ 

 

 

เพียงชั่วพริบตาหลินหลันก็มองเห็นชื่อของหลี่หมิงอวิน ซึ่งอยู่อันดับที่สองในใบรายชื่อประกาศผล หลินหลันกรีดร้องในใจ หลี่หมิงอวินช่างเก่งกาจจริงๆ เมื่อหันไปมองสีหน้าของหลี่หมิงอวิน ยังคงสงบนิ่งราวกับก้อนเมฆที่ลอยไปตามสายลมเบาๆ ไร้ซึ่งอาการตื่นตาตื่นใจ มีเพียงแค่นัยน์ตาสีดำสนิทที่กำลังสว่างไสวเป็นพิเศษ หลินหลันอมยิ้ม พ่อหนุ่มคนนี้ช่างเสแสร้งเก่งเสียเหลือเกิน ในใจคงมีความสุขจนบอกไม่ถูกล่ะสิ!  

 

 

“หมิงอวิน ที่แท้ก็ยังมีคนเก่งกาจกว่าเจ้า…” หลินหลันแสร้งกล่าวอย่างใส่อารมณ์ 

 

 

หลี่หมิงอวินเผยรอยยิ้มน้อยๆ “จะเป็นไรไป เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมีคน” 

 

 

ก็ใช่อยู่หรอก ในเมื่อนี่คือการคัดเลือกผู้ที่มีพรสวรรค์จากทั่วทั้งจักรวรรดิ ผู้มีพรสวรรค์อันดับหนึ่งแห่งเมืองหลวงสามารถสอบได้อันดับสองก็ไม่น้อยหน้าแล้ว 

 

 

ตงจึรู้สึกไม่พึงพอใจอย่างยิ่งต่อสีหน้าอาการอันเรียบเฉยของทั้งสองคน จึงบ่นพึมพำ “ผู้อื่นที่มีรายชื่อปรากฏบนประกาศผลการสอบต่างก็มีความสุขกันยกใหญ่…” 

 

 

เหวินซานกล่าวอย่างไม่เห็นด้วย “ความมุ่งหมายของเส้าเหยียของตระกูลเรามิใช่เพียงมีชื่อบนใบประกาศผลการสอบเสียหน่อย” 

 

 

ผู้ที่ไม่ปรากฏรายชื่อบนใบประกาศผลสอบซึ่งอยู่ด้านข้างเมื่อได้ยินบทสนทนาของพวกเขา สายตาแห่งความหงุดหงิดก็สาดเข้ามาชั่วขณะ หลินหลันจ้องเขม็งกลับไป พวกเจ้าอิจฉาริษยาไปก็เท่านั้น ใครให้พวกเจ้าความรู้ความสามารถเทียบคนอื่นเขามิได้ล่ะ 

 

 

หลี่หมิงอวินไม่ใช่ผู้ที่เป็นประเภทชอบโอ้อวด จึงรีบดึงรั้งหลินหลัน แล้วเอ่ยกระซิบ “เราออกไปคุยกันที่อื่นเถิด” 

 

 

หลินหลันกล่าว “ข้ายังต้องหาชื่อของต้าเกอดูหน่อย” 

 

 

“ไม่ต้องหาแล้ว ข้ามองดูแล้ว ไม่มี” หลี่หมิงอวินกล่าว 

 

 

หลินหลันตกตะลึง พ่อหนุ่มนี่ จะสายตาว่องไวอะไรปานนั้นอ่ะ 

 

 

ทั้งสี่คนออกมาจากกลุ่มฝูงชน ตงจึก็เริ่มเอ่ยปากขึ้นอย่างถึงพริกถึงขิง “ต้าเส้าเหยียไม่มาดูประกาศผลสอบเลยด้วยซ้ำ เหล่าเหยียสั่งการให้ผู้ดูแลจ้าวมาดู และผู้ดูแลจ้าก็กลับไปรายงานข่าวดี…อืม…รายงานข่าวร้ายต่างหากขอรับ…แฮะๆ!” 

 

 

หลี่หมิงอวินยกมือขึ้นเขกลงไปที่ศีรษะของตงจึ “อีกประเดี๋ยวกลับไปยังจวนแล้วก็อย่าได้ดีใจจนออกหน้าออกตาล่ะ” 

 

 

ตงจึรู้สึกอึดอัดใจอย่างยิ่ง “ได้อย่างไรขอรับ นี่เป็นเรื่องน่ายินดีครั้งยิ่งใหญ่ทั้งที เพราะต้าเส้าเหยียสอบตก แม้แต่จะยิ้มพวกเราก็ไม่อาจยิ้มได้หรือขอรับ” 

 

 

หลินหลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ กลับถึงเรือนหลั้วเซี๋ยจายแล้ว เจ้าอยากตีลังกาก็ยังได้” 

 

 

ตงจึถึงได้เผยรอยยิ้มขึ้นมา ทันใดนั้นก็นึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ใช่แล้วขอรับ เอ้อร์เส้าเหยีย เมื่อคืนท่านไม่ได้กลับบ้าน มีคนมามอบของขวัญไว้ให้ท่านด้วย ท่านไม่อยู่ เหล่าเหยียเลยรับเอาไว้แทนท่านก่อนน่ะขอรับ” 

 

 

หลินหลันและหลี่หมิงอวินเกิดความตระหนกขึ้นภายในใจ หันมองหน้ากันโดยมิได้นัดหมาย ใครกันหรือ ถึงได้รวดเร็วปานจรวด ผลสอบยังไม่ทันประกาศ ของขวัญก็มาถึงเสียแล้ว 

 

 

“รู้หรือไม่ว่าเป็นผู้ใด” หลี่หมิงอวินเอ่ยถามภายใต้คิ้วเข้มที่กำลังขมวด 

 

 

ตงจึส่ายหน้า “เป็นเหล่าเหยียรับไว้ขอรับ ข้าน้อยเลยไม่แน่ใจ เหล่าเหยียสั่งการไว้ว่า ให้ท่านรีบกลับบ้านน่ะขอรับ” 

 

 

เวลานี้ หลี่จิ้งเสียนที่กำลังนั่งอยู่ในห้องหนังสือก็กำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเช่นกัน เขาหน้านิ่วคิ้วขมวดมิใช่เพราะหมิงเจ๋อสอบตก ด้วยการที่หมิงเจ๋อสอบตกนั่นเป็นเรื่องที่คาดการณ์ไว้แล้ว ที่เขากำลังหน้านิ่วคิ้วขมวดเป็นเพราะของขวัญที่ส่งมาเมื่อค่ำคืนวานนี้ต่างหาก องค์ชายสี่ส่งของขวัญแสดงความยินดีมาให้ก่อนหน้าที่ผลจะประกาศ ซึ่งจุดประสงค์นั้นถึงไม่บอกก็รับรู้ได้ หลี่จิ้งเสียนลำบากใจอย่างมาก จากการที่เขาได้สังเกตการณ์แนวโน้มสถานการณ์ในราชสำนัก ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีแนวคิดจ้งเหวินชิงหวู่ [1] องค์รัชทายาทได้รับการสนับสนุนโดยขุนนางฝ่ายบุ๋น มีความเป็นไปได้อย่างมากว่าในอนาคตองค์รัชทายาทจะได้สืบทอดบัลลังค์อย่างราบรื่น ทว่าพระมารดาขององค์ชายสี่เป็นเต๋อเฟย [2] ที่ได้รับความรักและความโปรดปรานมากที่สุดในปัจจุบันนี้ ลูกพึ่งบารมีมารดา และฮ่องเต้ก็ถูกพระทัยองค์ชายสี่มากเช่นกัน ผู้บัญชาการทหารในราชสำนักทั้งหมดต่างก็ให้การสนับสนุนองค์ชายสี่ จึงพูดไม่ได้เช่นกันว่าองค์ชายสี่หมดโอกาส แต่ใจของหลี่จิ้งเสียนยังคงเอนเอียงไปทางองค์รัชทายาท ขอแค่องค์รัชทายาทสามารถขึ้นครองราชย์ไปได้อย่างราบรื่น มีแต่จะส่งผลดีต่อตระกูลหลี่ทั้งนั้น หากเป็นองค์ชายสี่สืบทอดบัลลังค์ นั่นก็พูดยากแล้ว ทว่าตอนนี้องค์ชายสี่มีพระประสงค์เชื่อมไมตรีกับหมิงอวิน…เห็นได้ว่าองค์ชายสี่ไม่ได้รับการสนันสนุนจากบรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋น จึงต้องการปลูกฝังคนสนิทของตนไว้แต่เนิ่นๆ 

 

 

“เหล่าเหยีย เอ้อร์เส้าเหยียมาแล้วขอรับ…” ข้ารับใช้เข้ามาให้การรายงาน 

 

 

หลี่จิ้งเสียนหันไปมอง แล้วเอ่ยขึ้นทันใด “รีบให้เข้ามา” 

 

 

ทันทีที่หลี่หมิงอวินกลับถึงจวนก็ตรงไปยังห้องหนังสือเป็นอันดับแรก 

 

 

“สวัสดีขอรับท่านพ่อ ลูกน้อมคาราวะท่านพ่อ” หลี่หมิงอวินยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้าแสดงท่าทางคาราวะ 

 

 

ยิ่งหลี่จิ้งเสียนมองบุตรชายผู้นี้ก็ยิ่งเอ็นดู กล่าวด้วยรอยยิ้มเบิกบาน “หมิงอวินอ่า! การสอบครั้งนี้ทำได้ไม่เลวเลย” 

 

 

หลี่หมิงอวินก้มศีรษะอย่างถ่อมตน “ล้วนเป็นท่านพ่อที่สอนลูกไว้อย่างดีขอรับ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนยิ่งดีอกดีใจเข้าไปใหญ่ แต่ยังคงแสร้งท่าทีกล่าวอย่างสั่งสอน “แต่ว่าเจ้าก็อย่าได้ทะนงตนไป ผู้มากความสามารถมีออกมาเรื่อยๆ คนทางราชสำนักพิธีการล่ำลือกันว่า การสอบระดับฮุ่ยซื่อ [3] ครั้งนี้ ปรากฏผู้มากพรสวรรค์ออกมาหลายท่าน จะชะล่าใจไปมิได้ เตรียมพร้อมการสอบเตี้ยนซื่อ [4] ให้ดีๆ ” 

 

 

“ขอรับ ลูกจะพยายามสุดความสามารถขอรับ” หลี่หมิงอวินแสดงทีท่าอ่อนน้อมถ่อมตนต่อหน้าหลี่จิ้งเสียน 

 

 

หลี่จิ้งเสียนลูบเคราหนวดยาวๆ ด้วยความพึงพอใจ ก่อนจะส่งมอบของขวัญให้แก่หมิงอวิน “เจ้าลองดูนี่สิ นี่คือของที่องค์ชายสี่มีพระบัญชาให้คนส่งมาให้เมื่อคืน” 

 

 

หลี่หมิงอวินประหลาดใจเล็กน้อย รับมันมาแล้วเปิดออกดู เขาสูดลมหายใจเขาเฮือกใหญ่อย่างไม่รู้ตัว ของขวัญนี่…ช่างล้ำค่าเสียจริง!  

 

 

“เห็นทีว่าองค์ชายสี่จะชื่นชมเจ้ามากเชียวล่ะ!” หลี่จิ้งเสียนจิบชาอย่างละเมียดละไม มองดูอากับกิริยาของหมิงอวิน เท้าข้างหนึ่งของหมิงอวินได้เหยียบย่ำลงบนเส้นทางการงานในอนาคต และต้องเผชิญเรื่องเหล่านี้ไม่ช้าก็เร็ว 

 

 

หลี่หมิงอวินกล่าวพลางยกสองมือขึ้นประสานกันระดับหน้า “มีคำกล่าวที่ว่าอย่ารับของใดๆ ที่ไม่คู่ควรได้รับ องค์ชายสี่ถูกพระทัยในตัวลูกเช่นนี้ ลูกรู้สึกหวาดกลัวยิ่งนักขอรับ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนพยักหน้า ตามด้วยการกล่าวเตือน “ต่อจากนี้ ผู้คนที่ต้องการส่งของขวัญมาให้จะมากยิ่งขึ้น บางส่วนเป็นการแสดงความยินดีด้วยใจจริง แต่บางส่วน…อาจจะมีจุดมุ่งหมายอะไรอื่นแอบแฝง” 

 

 

“ลูกเข้าใจขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว 

 

 

หลี่จิ้งเสียนเลิกคิ้ว เข้าใจ เจ้าเข้าใจอะไรหรือ ประโยคเช่นนี้พูดแล้วก็ไม่ต่างจากไม่ได้พูดอะไร 

 

 

“ตอนนี้ฮ่องเต้ทรงมีแนวคิดเน้นบุ๋น ไม่เน้นบู๊ หากเจ้าสามารถโดดเด่นขึ้นมาได้ในการสอบเตี้ยนซื่อ เส้นทางการงานในอนาคตก็เหนือคำบรรยาย…” หลี่จิ้งเสียนเปิดทางชี้แนะให้บุตรชายของตน 

 

 

หลี่หมิงอวินฟังอย่างนิ่งเงียบ ขณะเดียวกันก็รำพึงรำพันในใจ นับแต่ไท่จู่บุกเบิกจักรวรรดิมา ฮ่องเต้ในประวัติศาสตร์ล้วนมีแนวคิดจ้งเหวินชิงหวู่ ด้วยมิใช่เกรงว่าเหล่าผู้บัญชาการทหารจะใช้กองกำลังอยู่เหนือพระองค์หรอกหรือ ตอนแรกไท่จูก็เสียท่าไปหนึ่งครา ถูกโค่นล้มจากกองกำลังทหารมาก่อน ด้วยการเรียนรู้จากอดีต หลังจากนั้น จึงเน้นบุ๋นไม่เน้นบู๊ ทำให้เหล่าทหารอ่อนแอลง เฉกเช่นแกะตัวใหญ่ตัวหนึ่ง ที่มีเพียงร่างกายอ้วนท้วม แต่ไร้ความสามารถในการป้องกันตนเอง อย่าเห็นว่าตอนนี้บ้านเมืองสงบสุขและรุ่งเรืองดีแล้ว เพราะความสงบสุขเหล่านั้นล้วนแลกมาด้วยเงินตราและพึ่งพาญาติสนิทมิตรสหาย หากยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ไม่ต้องพูดก็คงรับรู้ได้ เมื่อใดที่เครื่องราชบรรณนาการไม่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้คนได้ เมื่อนั้นความหายนะแห่งสงครามก็คงได้มาเยือน 

 

 

“…องค์รัชทายาททรงโอบอ้อมอารีและมีอัธยาศัยดี จึงได้รับการค้ำจุนโดยขุนนางชั้นสูงอย่างมาก องค์ชายสี่เย่อหยิ่งและอวดดี ซึ่งมีคนชื่นชมมากมายอยู่เช่นกัน พ่อคิดว่า เจ้ายังต้องทำความเข้าใจให้ถึงถ่องแท้…” หลี่จิ้งเสียนพยายามโน้มน้าวใจ 

 

 

หลี่หมิงอวินกระตุกยิ้มมุมปาก ความหมายของท่านพ่อเด็นชัดมาก คือเลือกข้างองค์รัชทายาทจะค่อนข้างเหมาะสมกว่า 

 

 

“ถูกอย่างที่ท่านพ่อว่าขอรับ” หลี่หมิงอวินปิดท้ายอย่างนอบน้อม ซ่อนความนึกคิดของตน 

 

 

หลี่จิ้งเสียนตกอยู่ในภวังค์แห่งความเงียบงันอยู่พักใหญ่ เขาพูดไปตั้งมากมาย สรุปแล้วหมิงอวินรับฟังเข้าไปบ้างหรือไม่ ช่างเถอะ เรื่องนี้ยังมิใช่เรื่องร่วงด่วนในตอนนี้ ไว้ค่อยๆ อบรมสั่งสอนไปแล้วกัน 

 

 

“ท่านพ่อ ลูกมีเรื่องต้องการบอกกล่าวขอรับ” หลี่หมิงอวินกล่าว 

 

 

“เจ้าว่ามาสิ” 

 

 

“การสอบเตี้ยนซื่อกำลังจะมาถึงในอีกไม่ช้า ลูกอยากหาสถานที่สงบเงียบสักแห่งสำหรับการเตรียมตัวให้พร้อม อยู่ในจวนเกรงว่าจะไม่ได้รับความสงบ ลูกมีเพื่อนผู้หนึ่ง ซึ่งมีที่พักสำหรับการพักผ่อนแห่งหนึ่งตั้งอยู่ที่นอกเมือง ได้ตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วว่าจะให้ลูกยืมเข้าพักสักพักหนึ่งขอรับ” 

 

 

หลี่จิ้งเสียนครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ “ก็ดีเหมือนกัน!” 

 

 

หลินหลันที่กำลังอยู่ในห้อง รับฟังจิ่นซิ่วพูดคุยสัพเพเหระกับนาง “ได้ยินมาว่าเมื่อฮูหยินรับรู้ว่าต้าเส้าเหยียสอบตก ก็เป็นลมล้มพับไปเลยเจ้าค่ะ พอได้สติขึ้นมาก็เรียกต้าเส้าหน่ายนายมาอบรมชุดใหญ่เลยเจ้าค่ะ” 

 

 

หลินหลันกล่าวภายใต้รอยยิ้มเหยียดหยัน “ทำใจอบรมสั่งสอนลูกชายของตนเองไม่ลงคอเลยหันมาใส่อารมณ์กับลูกสะใภ้เสียนี่” 

 

 

แม่มดชราผู้นี้คงโยนความผิดที่หมิงเจ๋อสอบไม่ผ่านให้หลั้วเหยียนรับผิดอย่างแน่นอน อันที่จริงนางได้เปิดกล่องที่หลั้วเหยียนตระเตรียมไว้สำหรับให้นำไปใช้ในการสอบดูแล้ว ความจริงหลั้วเหยียนจัดเตรียมไว้อย่างละเอียดรอบครอบมากทีเดียว ซึ่งไม่น่าจะถูกยึดไปมากมายขนาดนั้น มันไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยหากนางจะตระเตรียมของสำหรับน้องเขยอย่างเพียบพร้อม ทว่าของผู้เป็นสามีของตนเองกลับตระเตรียมอย่างสะเพร่า ด้วยสาเหตุนี้ หลินหลันยังคงไม่อาจคาดเดาได้กระจ่างแจ้ง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ติงหลั้วเหยียนถือได้ว่าเป็นเพียงแพะรับบาปตัวหนึ่งในครั้งนี้ 

 

 

“มิน่าล่ะ มีคนเห็นต้าเส้าหน่ายนายเดินออกมาจากโถงหนิงเฮ๋อพร้อมดวงตาแดงระเรื่อ” จิ่นซิ่วส่ายหน้าพลางถอดถอนหายใจ 

 

 

หลินหลันโบกมือปัดๆ “ช่างเถอะ เลิกพูดเรื่องนี้เถิด เอ้อร์เส้าเหยียสั่งการไว้แล้ว พวกเจ้าดีใจก็เก็บซ่อนไว้ภายใน อยู่ภายนอกก็ต้องสงบเสงี่ยมไว้หน่อย ตอนนี้ฮูหยินกำลังไม่สุขใจ อย่าได้ไปสร้างความรำคาญใจกับนาง” 

 

 

ทุกคนพร้อมใจกันพยักหน้าระรัว 

 

 

ในเรือนเวยอวี่เก๋อเต็มไปด้วยบรรยากาศอึมขรึม ติงหลั้วเหยียนร้องไห้น้ำตาไม่ขาดสาย หลี่หมิงเจ๋อกล่าวอย่างอ่อนใจ “ข้ายังคิดว่าจะสามารถติดอันดับสุดท้ายได้ เมื่อถึงตอนนั้นค่อยเตรียมตัวสำหรับการประเมินของลี่ปู้ [5] ให้ดีๆ ท่านพ่อเป็นถึงราชเลขากรมพระคลัง ทุกคนคงต้องไว้หน้าท่านพ่ออยู่บ้าง จึงคิดไปว่าคงไม่ยากเกินไปที่จะสอบผ่านได้ เฮ้อ…คนลิขิตหรือจะสู้ฟ้าลิขิต” 

 

 

ติงหลั้วเหยียนถูกแม่สามีตำหนิมาพักใหญ่ เดิมทีในใจก็มีอารมณ์ขุ่นเคืองอยู่แล้ว หลายวันมานี้นางยังคงพยายามเห็นอกเห็นใจหมิงเจ๋อ เกรงว่าหมิงเจ๋อจะรู้สึกแย่ จึงแบกรับแรงกดดันทั้งหมดไว้เอง ทว่าตอนนี้กลับมีอาจอดทนได้อีกต่อไปนางจึงกล่าวต่อว่า “มิใช่เพราะเจ้าหรอกหรือ ที่เห็นแก่กิน เรื่องสำคัญใหญ่หลวงเช่นนี้เจ้าอย่างทำเป็นเรื่องเล่นๆ ตอนนี้มาตัดพ้อแล้วจะมีประโยชน์อันใดหรือ” 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อกล่าวอย่างหงุดหงิด “เจ้าก็เลิกตำหนิข้าได้แล้ว ในใจข้าก็รู้สึกแย่มากเช่นกัน และเสียใจต่อสิ่งที่ทำลงไปมากด้วย” 

 

 

“เจ้านึกเสียใจต่อสิ่งที่ทำลงไปในตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว” ติงหลั้วเหยียนสวนกลับเขาหนึ่งประโยคด้วยความโกรธเกรี้ยว 

 

 

หลี่หมิงเจ๋อเอ่ยอย่างตะกุกตะกัก “ข้ารู้ดีว่าครั้งนี้ทำให้เจ้าเสียใจ ข้ารับปากว่าจะไม่มีครั้งหน้าอีกแล้ว ข้ารับปากว่าข้าจะขยันตั้งใจให้มากๆ จะทำให้เจ้าได้มีวันที่สามารถเชิดหน้าชูตาได้” 

 

 

“ประโยคเช่นนี้เจ้าไม่ต้องมาพูดกับข้า เจ้าไปพูดกับท่านแม่เข้าเจ้าเถอะ จะได้ไม่ต้องเรียกข้าไปตำหนิด่าทอวันละสามเวลา หากเกิดเรื่องเช่นนี้อีก บ้านนี้ข้าคงไม่อาจอยู่ต่อไปได้แล้ว” ติงหลั้วเหยียนนึกถึงคำกล่าวโทษอย่างรุนแรงของผู้เป็นแม่สามี ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา หมิงอวินสอบผ่านไปได้อย่างสบายๆ ทว่าหมิงเจ๋อกลับสอบตกอย่างน่าเศร้าใจ ผู้เป็นแม่สามีอึดอัดใจมากมายเพียงใด นางเองก็ไม่ต่างกัน แล้วแม่สามียังตำหนินางเสียขนาดนี้ ความคับข้องใจของนางจะไปลงกับผู้ใดได้ โดยเฉพาะวันนี้ได้ยินบรรดาสาวรับใช้พูดกันว่า…นายหญิงสะใภ้รองช่างเป็นภรรยาที่เอื้อกูลหนุนนำสามีให้โชคดีและเจริญรุ่งเรืองยิ่งๆ ขึ้นไป นางจึงยิ่งรู้สึกแย่จนทนไม่ไหว หลินหลันเป็นภรรยาผู้ประเสริฐขนาดนั้น แล้วนางล่ะ หญิงกาลกิณีงั้นหรือ และผู้เป็นแม่สามีเกือบจะตำหนิด่าทอนางด้วยประโยคนี้ออกมาเสียแล้ว 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] จ้งเหวินชิงหวู่ (重文轻武) คือการ “เน้นบุ๋นละบู๊” หรือการให้ข้าราชการฝ่ายพลเรือนมีอำนาจกำกับ+ควบคุมข้าราชการฝ่ายทหารได้ 

 

 

[2] เต๋อเฟย (德妃) ตำแหน่งพระชายาลำดับที่ 3 ในองค์ฮ่องเต้ 

 

 

[3] ฮุ่ยซื่อ (会试) คือการสอบระดับที่ 3 ผู้ที่สอบผ่านจะได้เลื่อนเป็นก้งซื่อ(贡士)การสอบครั้งนี้จะมีขุนนางฝ่ายพิธีกรรมเป็นผู้คุมสอบ 

 

 

[4] เตี้ยนซื่อ (殿试) คือการสอบหน้าพระที่นั่ง เป็นระดับ 4 ซึ่งถือเป็นระดับสูงสุด ผู้ที่สามารถสอบผ่านได้เลื่อนเป็นจิ้นซื่อ(进士)และผู้ที่สอบได้ที่ 1, 2 และ 3 จะได้ตำแหน่งจอหงวน(状元), ปั้งเหยี่ยน(榜眼)และทั่นฮวา (探花)ตามลำดับ 

 

 

[5] ลี่ปู้ (吏部) กระทรวงขุนนาง ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเลื่อนลดปลดย้ายขุนนาง