บทที่ 64 ระบบฝึกตนแต่ละระบบ

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

อาคารที่สูงที่สุดของที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลคือหอเฮ่าชี่ที่อยู่ในลานกว้าง หลังคาทรงแปดเหลี่ยม ชายคาเป็นชั้นๆ ทุกทิศทางสม่ำเสมอกัน

สี่ชั้นล่างมีระเบียงทางเดินอยู่ด้านนอก ระเบียงทางเดินชั้นห้าและชั้นหกเป็นโถงสังเกตการณ์ ซึ่งมองเห็นที่ทำการหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทั้งหมด

ขันทีใหญ่ที่ผู้คนในยุทธภพเรียกว่า ‘เว่ยชิงอี’ คนนั้นก็อาศัยอยู่ในอาคาร

ห้องน้ำชาที่ชั้นเจ็ด ชายสวมชุดสีฟ้าเอนกายครึ่งหนึ่งอยู่บนระเบียง ในมือถือหนังสือ

ชุดสีฟ้าปักลายเมฆซับซ้อน ฝีมือช่างละเอียดและประณีต ผมสีดำขลับมวยด้วยปิ่นหยก จอนผมขาวโพลน ใบหน้าขาวกระจ่างใส นัยน์ตาลุ่มลึก ความปั่นป่วนภายในถูกชะล้างไปตามกาลเวลา

เว่ยเยวียนเป็นบุรุษที่มีกิริยาท่าทางและรูปลักษณ์สมบูรณ์แบบ ทั้งสง่างามและหล่อเหลา ลุ่มลึกและสงบเสงี่ยม

ในห้องน้ำชายังมีอีกสองคนที่มาดื่มน้ำชาและอ่านหนังสือกับเว่ยเยวียน คนหนึ่งเป็นบุรุษเคร่งขรึมหน้าตาจริงจัง ใบหน้าแข็งกระด้างราวกับรูปปั้น ไม่แสดงอารมณ์ออกมาแม้แต่น้อย

อีกคนหนึ่งมีบุคลิกคล้ายสตรี หน้าตาหล่อเหลา ตาเฉี่ยว คิ้วเรียวสวย ริมฝีปากบางและแดงก่ำ มองแวบแรก ทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าอาจเป็นหญิงที่แต่งตัวเป็นชาย

ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีคนนั้นยืนอยู่ในศาลาสังเกตการณ์ อาบแสงอาทิตย์อันอบอุ่น มือข้างหนึ่งจับด้ามดาบที่แขวนตรงเอว และพูดว่า

“แสงแดดส่องสว่าง ท้องฟ้าไร้เมฆเป็นหมื่นลี้ ชมวิวทิวทัศน์ในที่แห่งนี้ไม่น่าสนใจกว่าการอ่านหนังสือภายในห้องหรอกหรือขอรับ”

เว่ยเยวียนวางม้วนตำราในมือลง และยิ้ม “หนังสือที่อ่านได้น้อยลงเรื่อยๆ เมื่อเร็วๆ นี้ข้าได้ยินมาว่าสำนักโหราจารย์มีหนังสือปกฟ้ามากขึ้น ซึ่งบันทึกแก่นแท้ของทุกสรรพสิ่งในโลกไว้ ข้าใคร่รู้นัก”

“หยางเยี่ยน อีกสิบวันจะเป็นวันไหว้บรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิ แจ้งลงไปว่าให้ยกระดับการลาดตระเวนที่เมืองชั้นในมากขึ้น และลดการค้าขายที่เมืองชั้นในลง”

ชายใบหน้าแข็งกระด้างส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา

ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีถอนหายใจ “ท่านพ่อบุญธรรม ท่านไม่ได้วางแผนจะแย่งชิงตำแหน่งรองเจ้ากรมแห่งกรมการคลัง และมอบให้คนของตัวเองหรือขอรับ”

“นี่เป็นการยอมอ่อนข้อที่จำเป็น” เว่ยชิงอีพูดประโยคหนึ่ง สายตาก็มองไปทางประตูห้องน้ำชา เจ้าพนักงานชุดสีฟ้าก้มหัวเดินเข้ามา

“เว่ยกง นี่คือผลการทดสอบคุณสมบัติของฆ้องทองแดงคนใหม่กับทะเบียนบ้าน เชิญท่านตัดสินขอรับ”

เจ้าพนักงานยื่นเอกสารให้

เว่ยเยวียนเปิดทะเบียนบ้านอ่าน ฆ้องทองแดงคนใหม่ชื่อสวี่ชีอัน อดีตมือปราบหน่วยจับกุมอำเภอฉางเล่อ บิดาและอาต่างก็มาจากกองทัพ

ข้อมูลเหล่านี้ทั้งสำคัญและไม่สำคัญ

สำคัญเพราะสถานะของหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลนั้นพิเศษ จำเป็นต้องบริสุทธิ์ทั้งกายใจยิ่งกว่าบรรพบุรุษสามชั่วโคตรขึ้นไป สวี่ชีอันเป็นชนพื้นเมืองของเมืองหลวงต้าฟ่ง ดังนั้นสถานะของสวี่ชีอันจึงมีคุณสมบัติ

สิ่งที่ไม่สำคัญคือ หน่วยลาดตระเวนยามวิกาลทุกคนล้วนมีสถานะบริสุทธิ์เหมือนกัน

ผลการทดสอบ ‘สติปัญญา’ อยู่ใต้ทะเบียนบ้าน เว่ยเยวียนเหลือบมอง และมุมปากก็ยกยิ้ม “เชี่ยนโหรว ตอนเจ้าตอบคำถาม เจ้าใช้เวลากี่อึดใจ”

เมื่อชายรูปงามผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีได้ยินคำถามนี้ ก็เชิดคางขึ้นเล็กน้อย “สิบห้าอึดใจ หยางเยี่ยนในสิบเก้าอึดใจขอรับ”

“ฆ้องทองแดงคนใหม่คนนี้ใช้เวลาเพียงสิบสองอึดใจ”

‘สิบสองอึดใจ…’ ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีเลิกคิ้ว และประเมินอย่างเย่อหยิ่ง “ก็ไม่เลวขอรับ”

บนใบหน้าของชายผู้มีใบหน้าแข็งกระด้างไม่แสดงความรู้สึกใดออกมา และพูดว่า “คลี่คลายคดีเงินภาษีได้ภายในเวลาสั้นๆ สติปัญญาระดับนี้ ไม่แปลกหรอกขอรับ”

เว่ยเยวียนยิ้ม เขาจ้องไปที่หมายเหตุต่อมา และกล่าวเสริม “เจ้าพนักงานที่ถือกล่องชะงักไปประมาณห้าอึดใจ”

“เป็นไปไม่ได้” ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีหันกลับทันที และเดินเข้าไปในห้องน้ำชา

หยางเยี่ยนขมวดคิ้ว

หรือกล่าวได้ว่า เวลาคิดมีเพียงเจ็ดอึดใจเท่านั้น ช่างเป็นความคิดที่เฉียบคม

หยางเยี่ยนลุกขึ้น และคำนับ “ท่านพ่อบุญธรรม ยกคนผู้นี้ให้ข้าเถิดขอรับ”

“เขาติดตามฆ้องเงินหลี่อวี้ชุนภายใต้ชื่อของเจ้า” เว่ยเยวียนวางถ้วยชาลง และมองไปทางชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรี “พวกเจ้าก็เคยเจอเขาที่สำนักโหราจารย์ในวันนั้น”

สำนักโหราจารย์…ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีบ่นพึมพำสองสามวินาที และยิ้มเยาะ “เขานี่เอง เจ้าเด็กที่พูดจาไร้สาระ”

เมื่อหยางเยี่ยนได้ยินว่าฆ้องทองแดงคนใหม่คนนี้ทำงานภายใต้การบังคับบัญชาของหลี่อวี้ชุน เขาก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจ

ฆ้องทองคำทุกคนล้วนรับผิดชอบฆ้องเงินเจ็ดคน หลี่อวี้ชุนก็เป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของเขา

“ท่านพ่อบุญธรรม พลังต่อสู้เป็นอย่างไรหรือขอรับ” หยางเยี่ยนถาม

“ระดับหลอมจิตขั้นสูงสุด ไม่จำเป็นต้องทดสอบ” เว่ยเยวียนหัวเราะ “คนผู้นี้เป็นคนที่องค์หญิงใหญ่เลือก ข้าเห็นความกระตือรือร้นของเขา เขาเป็นคนที่ทำงานได้คนหนึ่ง และเขาจะเข้าร่วมหน่วยลาดตระเวนยามวิกาลเป็นการพิเศษ”

องค์หญิงใหญ่?!

หยางเยี่ยนกับชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีมองหน้ากัน ข้อมูลนี้เว่ยเยวียนไม่ได้บอกพวกเขา

เว่ยเยวียนอ่านผลการทดสอบของ ‘ด่านถามใจ’ ต่อ สีหน้าอ่อนโยนของเขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม นัยน์ตาลึกเปลี่ยนเป็นเฉียบแหลม

หยางเยี่ยนยืดตัวตรง และมองไปที่กระดาษ

ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีเดินไปข้างๆ เว่ยชิงอีอย่างสบายๆ เขายื่นศีรษะไปดู และหัวเราะทันที “เป็นเด็กที่บ้ากว่าข้าอีก ท่านพ่อบุญธรรมจะจัดการอย่างไรขอรับ”

ในรอยยิ้มมีความรู้สึกยินดีปรีดาในความโชคร้ายของผู้อื่นอยู่

เว่ยเยวียนดึงกระดาษแผ่นล่างสุดออกมา บนกระดาษเขียนตัวอักษรน่าเกลียดไว้

‘ทั้งอาหารทั้งเงินเดือน ความมั่งคั่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน’

‘กดขี่ข่มเหงประชาชนนั้นง่าย แต่หลอกลวงสวรรค์นั้นยาก’

นัยน์ตาของเว่ยชิงอีแข็งทื่อทันที เขาจ้องมองสองประโยคนี้ และไม่พูดไม่จาอยู่นาน

“กดขี่ข่มเหงประชาชนนั้นง่าย แต่หลอกลวงสวรรค์นั้นยาก…” หยางเยี่ยนอ่านสองประโยคนี้ซ้ำ

ดวงตาของชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีเปล่งประกายเล็กน้อย และหายจากอาการตกใจในช่วงสั้นๆ ความสนใจของเขาตรงข้ามกับหยางเยี่ยนที่ไร้การตอบสนอง

“ทั้งอาหารทั้งเงินเดือน ความมั่งคั่งที่มาจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน…เหอะ มือปราบผู้น้อยคนนี้คิดว่าสิ่งที่ตัวเองกินคือผลจากน้ำพักน้ำแรงของประชาชน ไม่ใช่ของจักรพรรดิ”

หยางเยี่ยนครุ่นคิด และถามว่า “ท่านพ่อบุญธรรมคิดเห็นอย่างไรขอรับ”

เว่ยเยวียนถามกลับ “แล้วเจ้าคิดอย่างไร”

หยางเยี่ยนพิจารณา “กินเงินเดือนของจักรพรรดิ แบกความกังวลของจักรพรรดิขอรับ”

ความหมายคือไม่เห็นด้วยกับประโยคนั้น

เว่ยเยวียนพยักหน้า “รอสักวันหนึ่งในภายภาคหน้า เมื่อฆ้องทองแดงผู้น้อยคนนั้นเลื่อนขั้นเป็นฆ้องทองคำ เจ้าก็ไปโต้เถียงกับเขาเองเถิด”

ชายผู้มีบุคลิกคล้ายสตรีเลิกคิ้ว “ท่านพ่อบุญธรรมคิดว่า ภายภาคหน้าเจ้าเด็กนั่นจะกลายเป็นฆ้องทองคำได้หรือขอรับ”

“ขอเพียงเขาเป็นทหาร เช่นนั้นก็ไม่มีปัญหา” เว่ยเยวียนยิ้มอย่างอ่อนโยน “ทั้งสามศาสนาต่างก็มีกฎเกณฑ์ของตนเอง โหรถูกพันธนาการโดยดวงชะตาของมนุษย์ เวทมนตร์ก็เช่นกัน ในโลกตอนนี้มีเพียงทหารเท่านั้นที่บริสุทธิ์ที่สุด”

“แม้ว่าข้าจะเกลียดนักรบที่ใช้กำลังละเมิดกฎหมาย แต่ก็ต้องยอมรับว่า ยิ่งเป็นนักรบที่ดื้อรั้น ยิ่งก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ ในใจไม่มีความเคารพ ไม่มีความเกรงกลัว จึงกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง”

เมื่อพูดถึงตรงนี้ เว่ยเยวียนก็หยิบหินหมึกแท่งใหม่ออกมาจากใต้โต๊ะ ใส่ชาดสีแดงกับน้ำสะอาดลงไป บดจนกลายเป็นหมึกสีแดง และใช้พู่กันจุ่มลงไป

เขียนคำว่า ‘ระดับเหนือเจี่ย’ บนทะเบียนบ้าน

“ดื้อรั้นเป็นทหาร รักชาติเป็นผู้กล้า ผู้ยิ่งใหญ่อย่างผู้กล้า ทำเพื่อชาติเพื่อประชาชน”

ระดับเหนือเจี่ย!

ตั้งแต่ก่อตั้งหน่วยลาดตระเวนยามวิกาล คนที่ได้รับการประเมินเช่นนี้มีน้อยมาก

ณ ห้องลับแห่งหนึ่ง

หลี่อวี้ชุนชี้ไปที่ถัง และพูดว่า “ถอดเสื้อผ้าออก และเข้าไปนั่งข้างใน”

ในที่สุดข้าก็จะก้าวเข้าสู่ระดับหลอมปราณ…สวี่ชีอันยับยั้งความตื่นเต้นภายในใจไว้ และเหลือบมองถังอาบน้ำที่มีกลิ่นฉุน ในนั้นเต็มไปด้วยน้ำผลไม้สีเขียวเข้ม

สิ่งนี้เรียกว่าน้ำชำระร่างกาย และถังนี้ก็เกือบหนึ่งร้อยห้าสิบตำลึงเงิน

เขาถอดเสื้อ กางเกงกับรองเท้าออกอย่างรวดเร็ว และเข้าไปนั่งในถังอาบน้ำในสภาพเปลือยเปล่า

หลี่อวี้ชุนถามว่า “เจ้ายังไม่เสียความบริสุทธิ์ใช่หรือไม่”

สวี่ชีอันพยักหน้า “อารองสวี่ของข้าเป็นหัวหน้ากองร้อยของกองดาบ เขาเคยพูดกับข้าว่าก่อนระดับหลอมปราณ ห้ามเสียความบริสุทธิ์”

เขาเอนตัวในถังอาบน้ำอย่างสบายๆ และถามว่า “หัวหน้า ท่านอยู่ระดับหลอมวิญญาณหรือขอรับ”

หลี่อวี้ชุนตอบ “อืม”

“หลังจากระดับหลอมวิญญาณคือระดับกระดูกเหล็กผิวทองแดงใช่หรือไม่ขอรับ”

หลี่อวี้ชุนตอบ “อืม” อีกครั้ง

สวี่ชีอันหัวเราะ “ชื่อไม่น่าฟัง เหตุใดจึงไม่เรียกระดับเพชร”

กระดูกเหล็กผิวทองแดงดูรสนิยมต่ำเกินไป ราวกับทหารอย่างพวกเราเป็นคนบ้านนอกที่ไร้ความรู้

“ระดับสามของศาสนาพุทธเรียกว่าเพชร” หลี่อวี้ชุนอธิบาย

ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! สวี่ชีอันพยักหน้า และปรึกษาด้วยความระมัดระวัง “หัวหน้า ระบบฝึกตนมีมากมายในใต้หล้า ระบบใดแข็งแกร่งที่สุดหรือขอรับ”

หลี่อวี้ชุนตอบอย่างไม่ลังเล “ลัทธิเต๋ากล่าวว่า พวกเขาแข็งแกร่งที่สุด”

“เช่นนั้นระบบอื่นเล่าขอรับ”

“ระบบอื่นล้วนคิดว่าตัวเองแข็งแกร่งที่สุด”

“อ้อ…เข้าใจแล้วขอรับ”

“แต่ระบบทุกระบบในใต้หล้าล้วนมีมติเป็นเอกฉันท์ ก็คือทหารหยาบคายและไร้มารยาทมากที่สุด”

“…เรื่องนี้ข้ารู้เพียงเล็กน้อย เพราะทหารมีแต่พลังประหลาด แต่ไม่มีความวิเศษ”

ยังไม่เว่อร์วังพอ

“นี่เป็นเพียงภายนอกเท่านั้น ภายในยังมีความลับอีกมาก เกี่ยวกับขีดจำกัดสูงสุดของระบบฝึกตน”

สวี่ชีอันยืดตัวตรง และถามหยั่งเชิง “หัวหน้า ท่านบอกข้าได้หรือไม่”

………………………………………………