บทที่ 96 การโจมตีที่ล้มเหลว

ผมมีระบบย่อยสลายในวันสิ้นโลก

บทที่ 96 การโจมตีที่ล้มเหลว

“รอก่อน จางหยวน พวกเราไม่สามารถกลับทางเดิมได้แล้วเพราะพวกสัตว์ประหลาดนั่นได้ล้อมรอบหุบเขาไว้แล้ว พวกเราต้องไปทางใต้ดินเท่านั้น”

หลังจากพูดจบ เฉินเฉียงได้หันหลังกลับไปและทำการปิดทางเข้าเพื่อไม่ให้พวกสัตว์ประหลาดตรวจพบได้โดยง่าย

“เฉินเฉียง ข้าไม่คิดเลยจริงๆว่าเจ้าจะมีสายเลือดปฐพี สายเลือดนี้หายากมากนะในตึกจอมพลของพวกเราน่ะ”

สาวน้อยพี่ที่เหมือนจะปลื้มจางหยวนไม่น้อยผู้นี้ได้กล่าวชมออกมาหลังจากได้เห็นการปิดรูของเฉินเฉียง

“เฉินเฉียง ให้ขาได้แนะนำเจ้า นี่คือหนึ่งในกองกำลังของพวกเรา เม่ยหลัวหลัน เธออยู่ในระดับนายพลวิญญาณสายเลือดพงไพร”

เฉินเฉียงพยักหน้าราวกับยอมรับคำชมนี้ไว้ ในขณะเดียวกันเขาก็บอกได้จากคำพูดของเธอผู้นี้ว่าพวกที่มีระดับนายพลวิญญาณสายเลือดปฐพีมีทักษะการขุดดินเช่นเดียวกัน

เฉินเฉียงได้หันหลังกลับไปก่อนที่จะเปิดเข็มทิศของกำไรสื่อสารดู หลังจากนั้นก็ได้แสดงทักษะขุดรูของตนให้ได้ตื่นตะลึงกันอีกครั้ง

ด้วยการที่เขาต้องขุดรูที่มีขนาดใหญ่พอที่จะนำคนทั้งแปดไปด้วยกันได้อย่างราบรื่น เขาได้ขุดรูขนาดใหญ่มากแต่ก็ยังรวดเร็วจนทิ้งทุกคนที่อยู่ข้างหลังไว้ให้มองตามด้วยสายตาที่โง่งม

ครึ่งชั่วโมงผ่านไป เฉินเฉียงได้เปิดดูกำไลสื่อสารของตนอีกครั้ง เมื่อค่อนข้างมันจะว่าออกจากนอกเขตหุบเขาแล้ว เขาก็ค่อยๆขึ้นมาจากผืนดินและมองไปดูรอบๆเพื่อความมั่นใจ

“จางหยวน ออกมาได้แล้ว”

เฉินเฉียงกระโดดออกจากหลุมก่อน หลังจากนั้นจึงให้คนที่เหลือออกมา

“เฉินเฉียง ดูนั่น”

จางหยวนได้ชี้ให้เฉินเฉียงดูตรอกหนึ่งที่อยู่ห่างจากตรงนี้ไปห้าไมล์และพูดออกมา “พวกเราตอนนี้อยู่กันที่นั่น มากับพวกเราสิ”

หลังจากผ่านไปสักพัก เฉินเฉียงก็ได้ตามจางหยวนไปจนถึงตรอกดังกล่าว

“คนเยอะไปไหมเนี่ย”

เฉินเฉียงได้มองไปในตรอกก็พอจะกะประมาณได้ว่าในตรอกนี้มีคนประมาณสี่ถึงห้าร้อยคน นี่ทำให้มุมปากของเขากระตุกในทันที

นั่นก็เพราะทุกคนที่อยู่ตรงหน้าเขาอย่างน้อยๆก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณ บางคนก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงช่วงต้น

“เฮ้อออ ช่างน่าอายจริงๆ ต่อให้พวกเราไปกันหมดนี่ก็ไม่อาจสู้กับสัตว์ประหลาดพวกนั้นได้”

จางหยวนถอนหายใจ ก่อนที่จะพาเฉินเฉียงไปหาผู้นำภารกิจ

“หวู่เจียง พวกเราไม่สามารถต่อกรกับสัตว์ประหลาดกลุ่มนี้ได้หรอก เราควรกลับไปรายงานท่านผู้การจะดีกว่า”

หวู่เจียงที่ได้ยินก็แสดงท่าทีอารมณ์เสียทันที “จางหยวน ก่อนที่เรามานี่ ผู้การก็กำชับมาแล้วว่าพวกเราเพียงสำรวจสถานการณ์ของสัตว์ประหลาดเท่านั้น ส่วนเรื่องโจมตีพวกมันหรือไม่นั้นไม่เกี่ยวกับเจ้า”

“ทุกคนที่นี่ต่างก็รู้ว่ากองกำลังของเจ้ามีคนเพียงน้อยนิด หากพวกเจ้าตายไปกันอีกสักคนพวกเจ้าคงโดนยุบกองกำลังเป็นแน่”

“สิ่งที่พวกเจ้าต้องทำในตอนนี้คือการรายงานสิ่งที่พบ หากเจ้ากลัวตาย พวกเจ้าก็ถอยไป พวกเรากองกำลังคุนเผิงจะสู้กับพวกมัน”

เมื่อได้ยินแบบนั้น จางหยวนจึงได้พูดสวนกลับไปอย่างโกรธเกรี้ยว “หวู่เจียง อย่าให้มันมากนัก เจ้าเป็นกัปตันทีมแล้วข้าไม่ใช่รึไง เจ้าเพียงแค่จัดการเรื่องของเจ้าไปไม่ต้องกังวลเรื่องของพวกเรา”

“กัปตันจาง อย่าได้โกรธเคืองไป” ชายผอมแห้งคนหนึ่งได้เดินออกมาจากข้างหลังหวู่เจียง เขาเชิดตาใส่จางหยวนก่อนพูดออกมา “ว่าแต่…กัปตันจาง ท่านผู้การขอให้เจ้าหาข้อมูลของศัตรูแต่เจ้ากลับมาอย่างรวดเร็วแบบนี้ คงเป็นเพราะว่าท่านขี้ขลาดจึงไม่กล้าไปสินะ”

“เจิ้งตี้ กัปตันของเจ้าและกัปตันของข้ากำลังพูดคุยกันอยู่ เจ้าอย่าได้มาสอด”

เม่ยหลัวหลันผู้ซึ่งอยู่ข้างหลังจางหยวนได้ยืนขึ้นก่อนที่จะชี้หน้าด่าอย่างโกรธเคือง

-เจิ้งตี้เหรอ-

เฉิงเฉียนที่ได้ยินชื่อนี้ถึงกับหันขวับในทันที

“จางหยวน เจิ้งตี้ผู้นี้ก็อยู่ในระดับนายพลวิญญาณงั้นรึ” เฉินเฉียงถามจางหยวนออกมาด้วยเสียงอันเบา

จางหยวนได้พยักหน้าและแสดงท่าทางโหดร้ายออกมาก่อนจะพูดว่า “เขาคือรองกัปตันของกองกำลังคุนเผิง ข้าได้ยินมาว่าเขาเปิดจุดชีพจรได้เจ็ดจุด เป็นนักรบธาตุทอง ถึงจะฟังดูว่าไม่ธรรมดาแต่เขาก็ไม่เคยใส่ใจในเรื่องนี้”

เฉินเฉียงได้พยักหน้ารับเมื่อได้ยิน เขาเดินไปที่รองกัปตันเจิ้งผู้นี้ด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “รองกัปตันเจิ้ง ข้าได้ยินชื่อของเจ้ามามากมายนัก”

เฉินเฉียงได้ยกมือขึ้นและกล่าวคำเยินยอรองกัปตันผู้นี้ พลางใช้เคล็ดวิชาสะกดข่มวิญญาณมารสวรรค์กับชายคนนี้ในทันที เขาวางแผนไว้ว่าจะต้องสังหารคนผู้นี้จากระยะไกล

อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่คิดว่าเจิ้งตี้นั้นจะไม่แสดงอาการอะไรออกมาเลยแม้แต่น้อย

เมื่อเจิ้งตี้ได้เห็นท่าทางเยินยอของเฉินเฉียงแล้วเขาก็ได้มองด้วยความขยะแขยงในทันที “ก็แค่คนที่เพิ่งข้ามระดับนายพลวิญญาณ คนอย่างเจ้าไม่คู่ควรให้ข้าต้องเสวนาด้วย นี่เจ้าไม่มีความละอายเลยรึไงกัน”

เมื่อเป็นเช่นนี้ เฉินเฉียงก็ไม่มีความคิดที่จะฝืนโจมตีต่ออีกต่อไป เขาทำได้เพียงคิดถึงความแปลกประหลาดของมนุษย์กลายพันธุ์ระดับนายพลทักษะพิเศษที่อยู่ตรงหน้าเขาเท่านั้น

ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะยังไม่เคยเห็นมนุษย์กลายพันธุ์ที่มีระดับนายพลทักษะพิเศษมาก่อน ไม่สิ แม้แต่มนุษย์กลายพันธุ์เขาก็ยังไม่เคยเจอด้วยซ้ำ นี่จึงเป็นเหตุที่ว่าเขาไม่เข้าใจธรรมชาติของศัตรูพวกนี้ แถมเขายังไม่เคยถามฮู่ต้าไฮ่มาเลยแม้แต่สักครั้งเดียว

เอาจริงๆเฉินเฉียงเชื่อว่าถามไปก็เท่านั้น อาจารย์ของเขาต่อให้ตอบได้ก็ไม่น่าจะอธิบายให้เข้าใจได้

นั่นก็เพราะจากข้อมูลที่เขาได้มาจากห้องข้อมูลนั้นแสดงให้เห็นว่ามนุษย์กลายพันธุ์พวกนี้ยากที่จะพบเห็น

ข้อมูลเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของพวกกลายพันธุ์ที่เขาอ่านมานั้นก็ช่างน้อยนิด นี่ไม่ต้องพูดถึงรายละเอียดอย่างอื่นเลยด้วยซ้ำที่ไม่มีอะไรเลย ก็คงจะเป็นอย่างที่หนังสือได้กล่าวไว้ว่า อยู่ระหว่างการวิจัย

แต่ในวันนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอกับมนุษย์กลายพันธุ์ แถมยังอยู่ในระดับนายพลทักษะพิเศษอีก สิ่งแรกที่เขาได้พบเจอก็คือพวกมันต่อต้านการโจมตีทางวิญญาณ(จิต)

นอกจากเรื่องนี้แล้ว ไม่ว่าจะมองยังไง เขาเองก็ไม่เห็นความแตกต่างระหว่างมนุษย์กลายพันธุ์กับมนุษย์ปกติ

ไม่แปลกที่ฮู่ต้าไฮ่จะเกรงกลัวพวกนี้มากกว่าใครในสำนัก เพราะเทียบกับสัตว์ประหลาดแล้ว มนุษย์กลายพันธุ์นั้นสมควรจะเป็นภัยร้ายแรงของมนุษยชาติ

แถมภัยร้ายแรงที่ว่าในตอนนี้ก็อยู่ตรงหน้าเขาและแทรกซึมเข้าตึกจอมพลแห่งเมืองเหมันต์จันทราได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นก็คือกลายเป็นรองกัปตันของกองกำลังคุนเผิงซะอีก

หากเป็นแบบนี้ต่อไป ลืมเรื่องกองกำลังคุนเผิงได้เลย แม้แต่ตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทราก็ยังตกอยู่ในอันตราย

จากเรื่องนี้ เฉินเฉียงได้นึกถึงเรื่องที่หน้ากลัวกว่านี้ได้ นั่นคือหากว่ามนุษย์กลายพันธุ์ลักลอบเข้ามาอยู่ในตึกจอมพลเมืองเหมันต์จันทรานี้ได้ และที่อื่น แล้วตึกจอมพลแห่งเขตกันหนันนั่นล่ะ

เมื่อคิดได้ดังนี้ เฉินเฉียงตัดสินใจแล้วว่าไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องสังหารไส้ศึกของมนุษยชาติให้ได้ในวันนี้

เจิ้งตี้ได้เหลือกตามองเฉินเฉียงอย่างดูถูก ก่อนจะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงแปลกๆ “จางหยวน กองกำลังเทียนเว่ยของเจ้านั้นพอไม่ได้รับทำภารกิจในการต่อสู้เลยทำอะไรไม่ได้แม้แต่การสอดแนมศัตรูสินะ”

“ใครว่าพวกข้าไม่พบข้อมูลฝั่งศัตรู พวกมันมีกันมากกว่าสามร้อยตัว ในหมู่พวกมันมีระดับนายพลวิญญาณขั้นสูงสี่ตัว นำโดยสัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่าแจ็คกัล”

หวู่เจียงที่ก่อนหน้านี้มีสีหน้าผ่อนคลายก็ได้เปลี่ยนเป็นซีดเผือดในทันทีที่ได้ยิน เขาหันไปมองเหล่านักรบสายเลือดที่ตัวเองนำมาสนับสนุน

“นั่นมันค่อนข้าง….”

ยังไม่ทันที่หวู่เจียงจะกล่าวจบ เจิ้งตี้ที่อยู่ข้างๆก็ได้ระเบิดหัวเราะออกมา