บทที่ 58 แนะนำตัวสักหน่อย ProjectZyphon
หลี่มู่ตะโกนเสียงดัง
ในขณะเดียวกัน เสียงฝีเท้ารอบด้านก็ดังเข้ามา
เห็นองครักษ์ มือปราบ และทหารพลเรือนของทางการเกือบพันคนทะลักเข้ามาจากซอกซอยและกำแพงข้างหลัง พลธนูตั้งแถวล้อมซากพรรคเสินหนงเอาไว้ทั้งหมด
กำลังทหารของอำเภอขาวพิสุทธิ์ปรากฏตัวแล้ว
สามคนที่เป็นหัวหน้ายืนอยู่ใต้กิ่งหลิวที่หมิงเยวี่ยเด็กน้อยผู้โง่เขลาห้อยอยู่ ได้แก่นายทะเบียนเฝิงหยวนซิง หัวหน้าองครักษ์หม่าจวินอู่ และเด็กรับใช้บัณฑิตชิงเฟิง
คนในยุทธจักรบางคนสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย
ไฉนคนของทางการจึงมาร่วมกรณีพิพาทของยุทธจักรด้วย?
แน่นอน มีบางคนใบหน้าปรากฏแววดูถูก
ทหารเล็กน้อยเพียงเท่านี้คิดจะล้อมยอดฝีมือในยุทธจักรมากมายขนาดนั้น ล้อเล่นหรืออย่างไร?
หลี่มู่บิดขี้เกียจอย่างเหนื่อยหน่าย เดินช้าๆ ไปตามบันไดข้างเวทีประลอง ขึ้นเวทีไปอย่างเนิบช้าทีละก้าวๆ
“แนะนำตัวสักหน่อย ข้าน้อยหลี่มู่ ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์”
หลี่มู่รับสายตารอบข้างนับไม่ถ้วน มือหนึ่งทาบอก แสดงมารยาทตามแบบฉบับสุภาพบุรุษของดาวโลก ฉีกยิ้มเล็กน้อย ฟันขาวสะอาดสะท้อนแสงวาววับภายใต้แสงอาทิตย์ ราวกับกริชคมกริบแถวหนึ่ง
ฝูงชนแตกตื่นฮือฮาอีกทันที
ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้นแล้ว?
ที่แท้เป็นแค่เด็กหนุ่มอย่างนั้นรึ?
เขาคิดจะทำอะไร?
หลี่มู่มองไปรอบๆ พอใจกับปฏิกิริยาของทุกคนมาก
ปรากฏตัวขึ้นในสถานการณ์ที่ทุกคนจับจ้อง เผชิญกับสายตาตื่นตะลึงและหวาดกลัวนับไม่ถ้วน…ฮ่าๆ นี่สิถึงจะเป็นวิธีออกโรงและสิ่งที่พระเอกควรได้รับ
“ที่แท้คือขุนนางเมืองหลี่นี่เอง เสียมารยาทแล้ว เพียงแต่ไม่ทราบว่าใต้เท้าหลี่ก่อกวนการประลองเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?”
ผู้ชี้ขาดของสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงประสานมือทำความเคารพ ปากบอกเสียมารยาทแล้ว แต่บนใบหน้ากลับไม่มีความเคารพสักเท่าใด
พูดตามตรง สำหรับคนระดับเถี่ยเจิ้นตงผู้มีชื่อเสียงเกรียงไกรในยุทธภพทิศพายัพหลายสิบปี ขุนนางเมืองคนหนึ่งไม่ค่อยอยู่ในสายตาของเขานัก
หลี่มู่หัวเราะ “ความหมายของข้าง่ายมาก พวกเจ้าไม่ได้รับคำอนุญาตจากข้า มารวมตัวกันในอำเภอของข้าอย่างผิดกฎหมาย ทั้งยังก่อเหตุจลาจล…ตามกฎหมายของจักรวรรดิ จะต้องให้คำตอบกับข้า”
เมื่อได้ยินคำกล่าวนี้ เสียงหัวเราะก็ดังสนั่นรอบด้านอย่างอดไว้ไม่ไหวอีก
คนในยุทธจักรมากมายหัวเราะขึ้นมา
ใบหน้าแก่ชราของเถี่ยเจิ้นตงก็ปรากฏรอยยิ้มดูถูกที่ไม่คิดจะเก็บซ่อนแม้แต่น้อย แล้วจึงพูดขึ้น “ไม่ทราบว่าใต้เท้าอยากได้คำตอบอะไรรึ?”
“เรื่องเล็กน้อย” หลี่มู่เหมือนไม่ได้ยินคำเสียดสีของอีกฝ่าย ยิ้มสดใสกว่าเดิม “ง่ายมาก เชิญพวกท่านไปสงบสติอารมณ์ในคุกของที่ว่าการสักหน่อย แล้วค่อยรายงานเรื่องที่ตนเองกระทำผิดมาให้ชัดเจนทีละคน รับโทษไปตามกฎของจักรวรรดิก็พอแล้ว ข้าคนนี้ยุติธรรมนัก ไม่มีทางทำเรื่องจงใจข่มเหงพวกท่านเด็ดขาด”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงหัวเราะก็ดังขึ้นจากรอบเวทีประลองอีก
สายตาของบางคนที่มองหลี่มู่ราวกับมองคนปัญญาอ่อน
‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินที่ยืนอยู่บนเวทีอดแค่นหัวเราะไม่ได้ “ตะลอนทั่วยุทธจักรพายัพมายี่สิบปี ไม่เคยมีผู้ใดพูดกับข้าเช่นนี้ ต่อให้เป็นเจ้าเมืองฉางอันก็ไม่มีทางพูดว่าให้ข้าเข้าไปสงบสติอารมณ์ในคุก…ผู้เยาว์ เจ้าเป็นคนแรก คงไม่ได้เสียสติไปแล้วกระมัง คิดจะให้ข้าเข้าคุก เจ้าอาศัยอะไรมิทราบ?”
หลี่มู่ไม่โกรธ “แน่นอนว่าอาศัยกฎหมายของจักรวรรดิ อย่างไรเสียข้าก็เป็นคนที่พูดจาด้วยเหตุผล ไม่มีทางเที่ยวซี้ซั้วลงมือโดยไม่มีหลักฐานเด็ดขาด”
ข้างล่างมีเสียงหัวเราะดังขึ้นอีกครั้ง
ไร้เดียงสา
นี่เป็นคำวิจารณ์แรกที่พวกเขามีให้หลี่มู่
ทางการสามารถจัดการทุกเรื่องได้หรือ?
นั่นเป็นเรื่องเมื่อนานนมมาแล้ว
เหล่าชาวยุทธ์กำลังดูเรื่องสนุกๆ
“กฎหมายจักรวรรดิ?” ซุนซินส่ายหน้าเชิงล้อเลียน “นี่ยังไม่พอ”
“โอ้?” หลี่มู่ขอคำชี้แนะอย่างจริงจัง “ยังขาดอะไรอีก?”
‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินมองไปรอบด้าน
เขามองวงล้อมจากทหารเกือบพันคนเสมือนมองข้าวของที่ไร้ประโยชน์
สุดท้ายซุนซินเบนสายตากลับมา ครั้นเห็นท่าทางของหลี่มู่ก็ยิ่งเวทนาและขบขัน “กฎหมายทรงอำนาจเพียงใดก็ต้องมีคนเป็นผู้ใช้ และการบังคับใช้กฎหมายต้องมีพลังที่มากพอ อาศัยพวกอัปลักษณ์ที่เจ้าพามายังไม่พอหรอก สิ่งที่เจ้าขาดคือพลัง”
หลายปีมานี้จักรวรรดิต้าฉินปกครองล้มเหลว อำนาจของขุนนางลดลง สำนักตรวจสอบที่มีไว้ควบคุมคนในยุทธภพโดยเฉพาะก็ขัดแย้งภายในไม่หยุด ทำให้ยอดฝีมือชาวยุทธ์ทั้งหลายในจักรวรรดิต้าฉินยิ่งลำพองขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะช่วงประมาณสิบปีนี้ เหตุการณ์ที่ยุทธจักรท้าทายอำนาจราชสำนักเกิดขึ้นบ่อยครั้งนัก
ชาวยุทธ์จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ คิดว่าจักรวรรดิต้าฉินเกิดการแย่งชิงบ่อยครั้ง จนเหมือนจะเสียอำนาจนี้ไปแล้ว
“อ้อ เช่นนั้นเจ้าก็เข้าใจผิดแล้ว” หลี่มู่พูดอย่างจริงใจยิ่ง
“เข้าใจผิดอะไร?” ท่าทีของ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินดูถูกและหยิ่งทะนง สายตาไม่จริงจัง
เขาอยากรู้ว่าขุนนางเมืองน้อยคนนี้จะเล่นลิ้นหาทางลงให้ตัวเองอย่างไร
หลี่มู่พูดขึ้น “มือปราบกับองครักษ์ของอำเภอไม่ได้มาเพื่อต่อสู้ แต่มาเพื่อเก็บกวาด”
“เก็บกวาด?” ซุนซินอึ้งไป
หลี่มู่พยักหน้าคล้ายเรื่องมันแน่นอนอยู่แล้ว กล่าวว่า “ใช่แล้วๆ เพราะการบังคับใช้กฎหมายที่แท้จริง มีแค่ไอ้นี่ก็พอแล้ว” เขาโบกหมัดขวาของตัวเองไปมา “ท่านผู้อาวุโส หมัดขนาดหม้อดินมากพอจะบังคับใช้กฎหมายจักรวรรดิหรือไม่?”
“เจ้ากำลังล้อข้าเล่นอยู่อย่างนั้นรึ?” สีหน้าของ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินเย็นชา
เขารู้สึกว่าสมองของขุนนางเมืองหนุ่มน้อยคนนี้มีปัญหา กำลังตีรวนยวนยีตนอยู่
หลี่มู่หัวเราะขึ้นอีกครั้ง
ฟุ่บ!
ทุกคนต่างรู้สึกว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน
ร่างของหลี่มู่พลันเลือนราง
ตูม!
เสียงประหลาดยิ่งดังขึ้น
ต่อมาก็เป็นเสียงเคร้งสองครั้ง
ในมือของผู้อาวุโสซุนซินที่เรืองนามไปทั่วยุทธจักรทิศพายัพมาหลายสิบปี พู่กันพิพากษาสองด้ามซึ่งเอาชนะและสังหารยอดฝีมือไปไม่รู้เท่าไหร่ตกลงบนพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง
ส่วนตัวเขาเองนั้นก้มตัว ร่างงองุ้ม เหมือนกับสุนัขที่ถูกตีหลังหัก ไม่อาจยืนตัวตรงได้เลย
หลี่มู่ยืนอยู่เบื้องหน้าเขา
ส่วนหมัดของหลี่มู่ก็ดึงกลับมาช้าๆ จากท้องน้อยจอมยุทธ์ยอดฝีมือผู้ชราคนนี้
ความรุนแรงของพลังหมัดนี้ทำให้ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินสูญเสียแรงต่อต้านจนสิ้น
เขาหน้าเหลืองซีด เหงื่อเย็นซึมชื้น ก้มตัวลง เสียงร้องดั่งสัตว์ป่าดังออกมาจากลำคออย่างไม่รู้ตัว แทบจะอาเจียนเอาดีหลุดออกมา กำลังภายในขั้นรวมจิตแตกซ่านทั้งหมดไม่อาจรวบรวมได้ ทั่วทั้งร่างไร้ซึ่งกำลัง
หลี่มู่ชักหมัดกลับ
‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินล้มลงอย่างช้าๆ ดั่งไม้ผุ
“เจ้าดูเอาก็แล้วกัน อันที่จริงข้าไม่ได้ล้อเจ้าเล่น” หลี่มู่ก้มหน้าลงมองซุนซิน
ทว่า ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินในตอนนี้ แม้แต่แรงที่จะพูดตอบก็ไม่มี
เขามองใบหน้าองอาจซึ่งยังเยาว์วัยอยู่ของเด็กหนุ่มเบื้องหน้า ในใจเกิดความตื่นกลัวที่ยากจะยอมรับ
หมัดเมื่อครู่เร็วยิ่งนัก
เร็วถึงเพียงใดกัน?
ตอนนั้นเขาอยู่ในสภาวะระวังป้องกันโดยสมบูรณ์ รู้สึกแค่ว่าเบื้องหน้าพร่าเลือน ไม่ทันที่จะตั้งตัวใดๆ กระทั่งคำว่า ‘ไม่ได้การ’ ยังไม่ทันได้ผุดขึ้นมา หมัดนั่นก็ชกเข้ามาที่ท้องแล้ว
พลังมหาศาลทำลายกำลังภายในทั้งหมดของเขาลงอย่างสิ้นเชิง ดึงพละกำลังทั้งหมดออกไป
เสี้ยวขณะสุดท้ายก่อนที่จะหมดสติ สายตาของซุนซินมองไปยังเวทีสังเกตการณ์ด้านข้าง เห็นร่างเลือนรางของสหายสนิทเถี่ยเจิ้นตง เขารู้สึกว่าครั้งนี้พวกตนอาจพลาดไปแล้วจริงๆ ไปยั่วคนที่ไม่ควรจะยั่วโมโหเข้า
ทั่วทั้งเขตเวทีประลองเงียบสงัดดุจความตาย
สีหน้าเหล่าผู้ชมยังงุนงงและอึ้งตะลึง
ต่อให้เป็นผู้ที่สมองเร็วเพียงใด ชั่วขณะนั้นก็ไม่อาจตั้งตัวได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ความแตกต่างของความคิดและภาพเหตุการณ์มาอย่างปุบปับรวดเร็วเกินไป สมองของทุกคนยากจะคืนสติกลับมาได้
หลี่มู่ไม่สนใจเรื่องเหล่านี้
ปลายเท้าของเขาเตะเบาๆ ปล่อยพลังกลุ่มหนึ่งออกมา ส่งร่างที่ไม่ได้สติของ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินลอยไปไกลหลายจั้ง ก่อนจะร่วงลงบริเวณรอบนอกที่มือปราบของอำเภอควบคุมอยู่
หมัดเมื่อครู่ไม่ได้สังหารซุนซิน
ตอนนี้การควบคุมพลังและทักษะการปล่อยพลังบางอย่างของหลี่มู่อยู่ในขั้นสูงแล้ว สามารถทำได้ถึงขั้นหมัดเดียวเอาชนะคู่ต่อสู้ได้แต่ไม่ปลิดชีพอีกฝ่าย
นายทะเบียนเฝิงหยวนซิงที่ได้รับคำสั่งของหลี่มู่แล้วก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อย สั่งให้มือปราบผู้เหี้ยมเกรียมทั้งหลายพุ่งไปล่ามโซ่ผู้อาวุโสในยุทธภพทิศพายัพที่มีชื่อเสียงมายาวนานผู้นี้ไว้ทันที แล้วลากลงไปราวกับลากสุนัขตาย
ขั้นตอนทั้งหมดเสร็จสิ้นลงอย่างว่องไว หลายคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบโต้อะไรทั้งนั้น
จวบจนกระทั่ง ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินถูกลากเหมือนสุนัขตายไปไกล ถึงจะมีคนรู้สึกตัวขึ้นมาได้
“รนหาที่ตายรึ? ปล่อยเดี๋ยวนี้”
ยอดฝีมือสำนักเขี้ยวพยัคฆ์ ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางและ ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่ง ครั้นเห็นสหายถูกลากตัวไปก็ร้อนใจลงมือทันที เขากระโดดขึ้นกลางเวหา ร่อนไปยังกองกำลังมือปราบของอำเภอราวกับเหยี่ยวตัวใหญ่ ซัดฝ่ามือเหมือนดาบกลางอากาศไปที่หลังของมือปราบสองคนซึ่งลากซุนซินไป
พลังฝ่ามือนี้ทรงพลังดุจทลายภูเขาขยี้หินผา หากซัดโดนเข้าเกรงว่าเอ็นและกระดูกของมือปราบสองคนนี้จะแหลกสะบั้นขาดใจตายเป็นแน่
เห็นได้ชัดมากว่าเยวี่ยหยางไม่ใช่เพียงคิดจะชิงตัว ‘พู่กันพิพากษา’ ซุนซินคืนมา แต่ยังคิดลงมือสังหารแสดงอำนาจ
แววโทสะปรากฏขึ้นในดวงตาของหลี่มู่
เขายืนนิ่งอยู่บนเวทีประลอง โคจรท่ายืนตั้งต้นของ ‘หมัดยุทธแท้’ จากนั้นพลันปล่อยพลัง ซัดหมัดไปกลางอากาศ
บึ้ม!
เสากระแสอากาศโปร่งแสงที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่าถาโถมออกมา
“รนหาที่ตาย…” ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ เยวี่ยหยางสัมผัสได้ในทันที
เขาอยู่กลางอากาศ พลิกร่างได้อย่างหวุดหวิด และพลิกมือโจมตีพลังฝ่ามือออกไปเช่นกัน
ฝ่ามือกำลังภายในสีเหลืองดินซัดออกมาทันใด
นี่ก็คือพลังหัตถ์ขยี้ศิลา
ฉายาของเขาคือ ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ โดยพื้นฐานแล้วพลังอยู่บนฝ่ามือคู่นี้ สามารถทลายภูเขาถล่มหินผา โดยเฉพาะพลังของ ‘หัตถ์ขยี้ศิลา’ ที่มีชื่อ พลังของมันมหาศาล ต่อให้เป็นก้อนเหล็กดิบก็ยังต้องเป็นรอยฝ่ามือประทับ ดังนั้นเมื่อส่งกระบวนท่านี้ออกไป เขาจึงคิดว่าชัยชนะอยู่ในกำมือแน่แล้ว
……………………………………………………