ตอนที่ 151 ความลับของกององครักษ์ตระกูลเฟิ่ง! + ตอนที่ 152 ปรมาจารย์ขั้นสูงสุด! Ink Stone_Romance
ตอนที่ 151 ความลับของกององครักษ์ตระกูลเฟิ่ง!
“แต่เหมือนหลานจะไม่เคยเจอกององครักษ์ของตระกูลเรานะเจ้าคะ” คล้ายว่าในความทรงจำก็ไม่เคยเจอกององครักษ์ตระกูลเฟิ่ง แต่ในจวนกลับมีพวกองครักษ์คอยตามอารักขาอยู่ข้างกายท่านปู่ท่านพ่อ
“อีกหน่อยหลานจะรู้จักกององครักษ์แน่นอน ตอนนี้พวกเราต้องกลับไปบ้านก่อน มิเช่นนั้น หากเรื่องนี้แพร่งพรายไป เกรงว่าจะจัดการไม่ได้” ท่านผู้เฒ่าเอ่ยเสียงเข้ม มองไปทางกวนสีหลิ่นข้างๆ บอกว่า “สีหลิ่น เจ้ารีบไปเตรียมรถม้า ตอนนี้ห่างเที่ยงวันไม่กี่ชั่วยาม ต้องเร่งกลับไปขัดขวางแล้ว”
“ขอรับ” กวนสีหลิ่นขานรับ และเดินออกไปทันที
เหลิ่งซวงในมือยกขนมเข้ามา กล่าวว่า “ท่านผู้เฒ่า คุณหนู ทานขนมเสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ! พวกนี้ชิงเหนียงเพิ่งทำมา”
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ เอ่ยว่า “พวกเราจะกลับไปตระกูลเฟิ่ง เอาขนมขึ้นไปกินบนรถม้าด้วยก็ได้” สำหรับสถานการณ์ของตระกูลเฟิ่งตอนนี้ เธอหาได้กังวลใจเท่าท่านผู้เฒ่า ลำพังแค่ซูรั่วอวิ๋นคนเดียว ก็ก่อปัญหาอะไรไม่ได้มาแต่ไหนแต่ไร
ส่วนในบ้านตระกูลเฟิ่ง เพราะข่าวที่แพร่ออกไป ผู้นำตระกูลในเมืองจึงมายังจวนอย่างไม่ขาดสาย นั่งพูดคุยด้วยกันเสียงเบา ในสายตาพวกเขา เฟิ่งชิงเกอนั้นยังอายุน้อยนัก เกรงว่าจะบังคับบัญชากององครักษ์ตระกูลเฟิ่งได้ไม่ไหว และไม่อาจเป็นผู้นำตระกูลได้
แต่ใครก็นึกไม่ถึง ช่วงนี้ตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่องขึ้นมากมายเพียงนี้ ก่อนหน้านี้ท่านผู้เฒ่าเป็นโรควิกลจริต ซ้ำยังถูกลักพาตัวไปที่ไหนก็ไม่รู้ เวลาสั้นๆ แค่สองวันแม้แต่แม่ทัพเฟิ่งยังล้มป่วย เวลานี้ในจวนตระกูลเฟิ่ง ที่พอเป็นผู้นำได้ก็มีแค่เฟิ่งชิงเกอ แต่ด้วยพละกำลังนาง ทุกคนกลับไม่เห็นด้วย
แม้เฟิ่งชิงเกอเป็นไข่มุกล้ำค่าในมือเฟิ่งเซียว แต่เมื่อเทียบกับความสามารถและพละกำลัง รูปโฉมอันงามเลิศกลับเป็นสิ่งที่ผู้คนพูดถึงกันยิ่งกว่า สุดท้ายแล้ว หากเป็นคนเมืองอวิ๋ยเยวี่ยด้วยกัน ก็เป็นธรรมดาที่จะรู้ดีว่ากำลังวรยุทธ์นางเป็นเช่นไร?
อันที่จริงด้วยกำลังวรยุทธ์เฟิ่งชิงเกอ ยังเทียบไม่ได้แม้แต่กับพวกลูกสาวตระกูลระดับกลาง แต่ชนะที่นางได้ผู้มีพรสวรรค์ดั่งฟ้าประทานมาเป็นคู่หมั้น ซ้ำยังมีแรงสนับสนุนทรงอำนาจจากจวนตระกูลเฟิ่ง ด้วยเหตุนี้ กำลังเป็นเช่นไร ก็ไม่ใช่เรื่องที่ผู้คนจะใส่ใจ
ใต้ศาลาแห่งหนึ่งในเรือนหลัง บุรุษสวมชุดผ้าแพรแปดนายมีทั้งนั่ง ยืน และใช้สองมือกอดอกพิงศาลา กำลังพูดคุยกันอยู่
“พวกเจ้าว่าวันนี้ท่านผู้เฒ่าจะกลับมาหรือไม่?”
คนที่พูดคือชายหนุ่มอ่อนวัยที่สวมชุดคลุมสีฟ้า กำลังนั่งอยู่ข้างโต๊ะ มือหนึ่งเท้าคางพลางเอ่ยถามคนอื่นๆ
บุรุษชุดดำใบหน้าเคร่งขรึมยกน้ำชาขึ้นจิบ ก่อนจะกล่าวเสียงทุ้ม “ข่าวล้วนแพร่ออกไปหมดแล้ว เขาจะกลับมาแน่นอน”
“วันนี้เหมือนคนจะมากันไม่น้อยเลย ข้าได้ยินคนข้างล่างรายงาน คล้ายว่าแม้แต่ฝ่าบาทก็มาด้วย” บุรุษที่ยืนพิงศาลา พลางสองมือกอดอกไว้เอ่ยอย่างเอ้อระเหย
ชายหนุ่มที่สวมชุดขาวในมือถือพัดพับหันไปถามว่า “แต่ที่พวกเราไม่รายงานทั้งที่รู้เรื่องเช่นนี้จะดีจริงๆ รึ? จะเกินไปหรือไม่?”
“ทำไมเล่า? ท่านผู้นำตระกูลไม่ได้ให้เราไปตรวจสอบ พวกเราไปสืบเองถึงรู้ ไม่ถือว่ารู้เรื่องแต่ไม่รายงานหรอก” บุรุษที่พูดอยู่เลิกคิ้วขึ้น น้ำเสียงนั้นมีความสมเหตุสมผลอยู่บางส่วน
อีกคนหนึ่งฟังแล้วก็ยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ เอ่ยว่า “โชคดีที่ตาเฒ่าพวกนั้นไปเก็บตัวฝึกตน ไม่เช่นนั้น หากรู้ว่าพวกเรายืนนิ่งดูดายไม่จัดการปัญหา เดาว่าคงไม่พ้นได้ฝึกร่างกายกันอีกยกแน่”
“จะว่าไปแล้ว แม่นางคนนั้นที่อยู่กับท่านผู้เฒ่าเป็นใครกันแน่? ตัวตนนางนึกไม่ถึงว่าแม้แต่พวกเรายังตรวจสอบไม่ได้? ช่างน่าแปลกเหลือเกิน”
…………………………
ตอนที่ 152 ปรมาจารย์ขั้นสูงสุด!
ฟังคำพูดนี้ พวกเขาต่างเงียบเชียบลง แปดคนนี้หาใช่ใครอื่น เป็นหัวหน้าทั้งแปดกองย่อยของกองอาจารย์ผู้เก่งกาจในหมู่องครักษ์ตระกูลเฟิ่ง
สำหรับพวกเขาที่เข้ารับการฝึกฝนอย่างลับๆ เรื่องจวนตระกูลเฟิ่งหากไม่มีองครักษ์มารายงาน ก็ไม่มีทางรู้หรอก ทว่าหลังจากรู้เรื่องที่เกิดขึ้นในจวนช่วงนี้ จึงลงมือตรวจสอบ
โดยเฉพาะเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าเฟิ่งเป็นโรควิกลจริตและถูกลักพาตัว แต่นึกไม่ถึง ว่าคนที่ท่านผู้นำตระกูลพาองครักษ์ทั้งนอกในจวนไปตามยังหาไม่เจอ กลับถูกสาวน้อยนางหนึ่งพาไปรักษาตัวที่ในเรือนแห่งหนึ่ง
พวกเขาลองเข้าไปสังเกตการณ์ใกล้ๆ ทว่าเพิ่งจะเข้าใกล้ก็โดนไหวตัวทัน ไม่รู้จริงๆ ว่าเป็นเพราะสาวน้อยนั่นรู้สึกไวเกินไป หรือทักษะการซ่อนกลิ่นอายยังอ่อนด้อย
เดิมทีพวกเขาคิดจะพาท่านผู้เฒ่ากลับมา แต่เห็นเขาพูดคุยหัวเราะกับสาวน้อยผู้นั้น หนำซ้ำนางยังประคองท่านผู้เฒ่ามาเดินในสวนอยู่ทุกวัน เห็นเขาไม่เหมือนคนวิกลจริตเลยสักนิด จึงละทิ้งความคิดไป
แม้ไม่รู้ว่าสาวน้อยเป็นใคร แต่ความเอาใจใส่นั้นกลับไม่ใช่การเสแสร้ง ในเมื่อไม่คิดร้ายกับท่านผู้เฒ่า พวกเขาก็ไม่ใส่ใจ
“เฮ้ พวกเจ้าว่าใบหน้าแม่นางถูกทำลายกลายเป็นเช่นนั้น ไยจึงทำเหมือนไม่สนใจเท่าไหร่เลยเล่า?” บุรุษชุดฟ้าเอ่ยถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง คราแรกที่เห็นใบหน้าเสียโฉมนั่น เขาก็ตกใจสะดุ้งเสียดื้อๆ
อันที่จริง นั่นก็เป็นสาวน้อยคนหนึ่ง นึกไม่ถึงว่าใบหน้าจะถูกทำลายเสียจนดูไม่ได้โดยสิ้นเชิง แค่เขามองยังรู้สึกสงสารเลย
“บนตัวแม่นางไม่มีกลิ่นอายพลังเร้นลับ เดาว่าเป็นแค่คนธรรมดา กลิ่นอายคนชื่อกวนสีหลิ่นนั่นกลับสงบเงียบ เป็นผู้มีความสามารถ”
บุรุษชุดดำกล่าวเสียงเข้ม ชะงักลงพักหนึ่ง ก่อนจะหลับตาลง เอ่ยว่า “วันนี้พวกเจ้าต่างเห็นลูกสาวท่านผู้นำตระกูลแล้วล่ะสิ? คิดเห็นเช่นไรกันบ้าง?”
“ก็ไม่เท่าไหร่ คุณสมบัติไม่พอจะมาเป็นผู้นำกององครักษ์เราเลยจริงๆ”
“อืม พละกำลังไม่โดดเด่นก็จริง แต่หน้าตากลับงามเป็นเลิศ”
“เห็นเป็นสาวน้อยอ่อนโยนสง่างาม จะให้มาเป็นผู้นำกององครักษ์เรางั้นรึ? จิ๊ จริงๆ ข้าก็ไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่”
“เฮ้อ! เห็นครั้งแรก ก็รู้สึกผิดหวังยิ่งนัก”
“ข้าก็ไม่เห็นด้วย”
“นางกำราบพวกเราไม่ได้หรอก”
“ไม่มีทาง ใครให้ท่านผู้นำตระกูลมีลูกสาวเช่นนั้นคนเดียวเล่า!”
ฟังพวกเขาพูดจบคนละหนึ่งประโยค บุรุษชุดดำก็ยืนขึ้นมา บอกว่า “ไม่ นางไม่ธรรมดา”
“หืม? ทำไมล่ะ?” ทั้งเจ็ดคนถามขึ้นพร้อมกันโดยไม่นัดหมาย ประหลาดใจนิดหน่อยที่เขาพูดประโยคนี้ออกมา เฟิ่งชิงเกอผู้นั้น พวกเขาดูแล้วก็ไม่เห็นจะมีอะไรพิเศษ
“สัญชาตญาณน่ะ”
“หึ!”
พวกเขาหลุดหัวเราะ “ไม่รู้สึกเลยสักนิด”
สายตาทุกคนล้วนหันเหลียวมองไปยังบริเวณเดียวกัน หนึ่งในพวกเขาพูดยิ้มๆ ว่า “ล้วนกล่าวกันว่า กลางวันอย่าพูดถึงคน กลางคืนอย่าเอ่ยถึงผี พวกเจ้าดูสิ เพิ่งพูดถึงไป คนก็มาเสียแล้ว”
บริเวณไม่ไกล เรือนรางในชุดกระโปรงสีสดใสพลิ้วไหวกำลังเดินมาทางด้านนี้ ด้านหลังนางมีสาวใช้ตามมาสองคน เมื่อเห็นเหล่าชายหนุ่มอ่อนวัยหน้าตาโดดเด่น ท่าทางไม่ธรรมดาบ้างนั่งบ้างยืนกันอยู่ในศาลา นัยน์ตาก็ฉายแววเป็นประกาย
แปดคนนี้คือหัวหน้ากองย่อยทั้งแปดนายของกองอาจารย์ผู้เก่งกาจในหมู่องครักษ์ตระกูลเฟิ่ง พละกำลังพวกเขาต่างบรรลุถึงระดับปรมาจารย์ขั้นสูงสุด
ต้องรู้ไว้ ว่าท่านผู้เฒ่าบำเพ็ญตนมาตลอดชีวิต ก็เพิ่งเป็นแค่ผู้แกร่งกล้าระดับบรรพชนนักรบพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นช่วงที่แปด
แม้แต่เฟิ่งเซียว เมื่อไม่กี่ปี่ก่อนก็เพิ่งบรรลุถึงระดับบรรพชนนักรบ ตอนนี้เป็นแค่ผู้แกร่งกล้าพลังเร้นลับขั้นเริ่มต้นช่วงที่สอง
ภายในเวลาที่กำหนด แปดคนนี้จำจะต้องก้าวขึ้นเป็นบรรพชนนักรบ เมื่อถึงตอนนั้น…
…………………………….