บทที่ 86 วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ

คนใสซื่ออย่างข้ามีเมตตาจะตาย

ศิษย์พี่เฟิงหยิบชิ้นหนึ่งในนั้นขึ้นส่งให้จินเฟยเหยาถึงมือแล้วอธิบาย “นี่คือวงเวทที่ข้าศึกษาค้นคว้า สามารถเทียบได้กับวงเวทอื่นๆ ที่ใช้ธงอาคมและสัญลักษณ์วงเวท ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือเป็นวงเวทที่ใช้วิญญาณ”

“วงเวทวิญญาณ?” จินเฟยเหยาพินิจวงเวทวิญญาณซึ่งเป็นแผ่นโลหะสีเทาดำขนาดเท่าฝ่ามือในมืออย่างสงสัย ตรงกลางใส่ศิลาวิญญาณชั้นล่างหนึ่งก้อน โดยรอบมีลวดลายประหลาดสีเงิน รวมตัวเป็นลวดลายอาคมชนิดหนึ่ง ในนั้นยังฝังผลึกไม่ทราบชื่อหกเม็ดขนาดเท่าเมล็ดถั่วลันเตา

“เจ้าดูสิ” ศิษย์พี่เฟิงหยิบวงเวทวิญญาณชิ้นหนึ่งขึ้น ชี้ศิลาวิญญาณตรงกลางพลางเอ่ย “ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดคือศิลาวิญญาณก้อนนี้ วงเวทปกติไม่ต้องถ่ายเทพลังงานภายนอกใดๆ เข้าไป ใช้เพียงธงอาคมและสัญลักษณ์วงเวทก็สามารถขับเคลื่อนให้วงเวทเปลี่ยนแปลงไปโดยไม่อาจคาดเดา ทว่าวงเวทวิญญาณที่ข้าทำออกมา ถ้าไม่ใส่ศิลาวิญญาณก็ไม่มีประโยชน์”

“เช่นนี้มิใช่การกระทำที่ไร้ความจำเป็นหรือ ทั้งยังสิ้นเปลืองศิลาวิญญาณด้วย” จินเฟยเหยาถามอย่างไม่เข้าใจ ทำสิ่งของแบบนี้ออกมามีประโยชน์อันใด หรือว่ามีศิลาวิญญาณมากเกินไปจนใช้ไม่หมด เลยหาวงเวทมาผลาญเล่น?

ยามนี้ศิษย์พี่เฟิงยิ้มอย่างกระหยิ่มยินดี โดยเฉพาะยามเห็นผู้อื่นเอ่ยถามด้วยความสงสัย การอธิบายความคิดอันยอดเยี่ยมนี้อย่างหมดเปลือกทำให้เขาตื่นเต้น

เห็นเขากรีดมือวาดเท้าพลางเอ่ยว่า “ความลับอยู่ที่ฐานด้านล่างศิลาวิญญาณ เพราะเหตุใดจึงเรียกว่าวงเวทวิญญาณ นั่นเป็นเพราะด้านในสามารถเพิ่มวิญญาณของสัตว์ปิศาจได้ วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจหนึ่งชุด มีวงเวทวิญญาณทั้งหมดสิบสองชิ้น วงเวทวิญญาณแต่ละชิ้นสามารถผนึกวิญญาณของสัตว์ปิศาจได้หนึ่งตัว ขอเพียงได้สัตว์ปิศาจขั้นสูงสิบสองตัวมา ตอนไม่ใช้ศิลาวิญญาณขับเคลื่อนก็เป็นวงเวทธรรมดา ทว่าในยามจำเป็นสามารถใช้ศิลาวิญญาณขับเคลื่อนพลังของสัตว์ปิศาจในวงเวทได้ สัตว์ปิศาจที่ผนึกไว้ยิ่งมีระดับขั้นสูง พลังของวงเวทก็ยิ่งมาก รู้สึกว่าไม่เลวสินะ”

ฟังดูแล้วเหมือนจะไม่เลว ทว่าสัตว์ปิศาจขั้นสูงจับไม่ได้ง่ายๆ ทั้งยังต้องผนึกวิญญาณของมันไว้ล่วงหน้า จะไม่ยุ่งยากแทบตายหรือ จินเฟยเหยารู้สึกว่าของสิ่งนี้ไร้ค่า บอกว่ามีประโยชน์แท้ที่จริงไม่มีประโยชน์อะไร บอกว่าไร้ค่าจะดีกว่า ถึงฟังแล้วจะรู้สึกว่าร้ายกาจ เห็นศิลาวิญญาณชั้นล่างบนนั้น นางก็เอ่ยถามไปเรื่อยเปื่อย “ใช้แค่ศิลาวิญญาณชั้นล่างได้หรือ?”

“เปล่า ศิลาวิญญาณชั้นล่างแค่ต่อต้านวิญญาณสัตว์ปิศาจที่ไม่มีตาน นี่เป็นการเตรียมพร้อมสองทาง[1]ของข้า ถ้าได้ทั้งวิญญาณและตานสัตว์ปิศาจตัวเดียวกันก็สามารถใช้ตานสัตว์ปิศาจแทนศิลาวิญญาณได้ ถ้ามีเพียงวิญญาณแต่ไม่มีตานสัตว์ปิศาจก็สามารถใช้ศิลาวิญญาณแทนตานสัตว์ปิศาจได้ พลังของสัตว์ปิศาจยิ่งมาก คุณภาพของศิลาวิญญาณที่ต้องใช้ยิ่งต้องดี ต่อไปต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางหรือชั้นสูง ทว่ามีเพียงตานสัตว์ปิศาจแต่ไม่มีวิญญาณ ก็ใช้วงเวทวิญญาณไม่ได้ ใช้ได้แค่วงเวทธรรมดาเท่านั้น” ตอนศิษย์พี่เฟิงกล่าวใบหน้าเต็มไปด้วยความอ้างว้าง วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจจะเปล่งอานุภาพสูงสุด เงื่อนไขหนักหนาเกินไป เพียงแค่ต้องใช้ศิลาวิญญาณชั้นกลางหรือศิลาวิญญาณชั้นสูงก็ทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนธรรมดารับไม่ไหว

จินเฟยเหยารับฟังจนสับสน ในสมองนอกจากศิลาวิญญาณนับไม่ถ้วนแล้วก็เป็นสัตว์ปิศาจที่ไร้หนทางโจมตีสังหาร ถึงแม้จะไม่เข้าใจว่ามีอานุภาพมากเพียงใด ทว่านางกลับรู้สึกสนใจอย่างยิ่ง นางอยากรู้ว่าวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจมีอานุภาพมากเพียงใด ขอเพียงสามารถต้านทานไป๋เจี่ยนจู๋ได้ ต่อให้ประหลาดกว่านี้ก็จะซื้อมาลองดู

“ศิษย์พี่เฟิง ถ้าไม่ใส่วิญญาณสัตว์ปิศาจ วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจจะสามารถต้านทานผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานได้หรือไม่? ยอดฝีมือเช่นเจ้าหรือศิษย์พี่ไป๋จะใช้กำลังทำลายคาถาป้องกันของวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจได้อย่างง่ายดายหรือไม่”

“ถ้าไม่ใส่วิญญาณสัตว์ปิศาจ อย่างผู้บำเพ็ญเซียนหอชิงซวีทุ่มเทพลังทั้งหมดใช้เวลาสักหน่อยก็จะสามารถบังคับทำลายการป้องกันได้ แต่ถ้าหมายถึงทำลายได้อย่างง่ายดาย แบบโจมตีครั้งเดียวก็ประสบผลโดยพื้นฐานแล้วเป็นไปไม่ได้” ศิษย์พี่เฟิงนำความสามารถของตนเองมาเปรียบเทียบ รู้สึกว่าวงเวทวิญญาณของตนเองทำได้ค่อนข้างประสบความสำเร็จ

“ร้ายกาจถึงเพียงนี้เลย ศิษย์พี่เฟิงขายวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจไปกี่ชุดแล้ว อีกทั้งศิษย์พี่เฟิงยังพัฒนาขึ้นเอง ถ้าต้องทำลายการป้องกัน ต้องไม่ยากเหมือนที่เจ้าบอกแน่” จินเฟยเหยายิ้ม  เริ่มหลอกล่อให้ศิษย์พี่เฟิงติดกับ

ศิษย์พี่เฟิงยิ้มโดยไม่ปฏิเสธเป็นการยืนยันคำพูดของนาง แต่ก็อธิบายว่า “ถ้าวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจไม่มีวิญญาณสัตว์ปิศาจ ข้ามีวิธีทำลายการป้องกันเร็วกว่าผู้อื่น เพราะข้ารู้ว่าดวงตาของวงเวทอยู่ที่ใด แต่ถ้าเจ้าใส่วิญญาณสัตว์ปิศาจ ข้าก็ไม่มีวิธีแล้ว เพราะสัตว์ปิศาจแตกต่างกัน ประสิทธิภาพและการเปลี่ยนแปลงวงเวทย่อมไม่เหมือนกัน อย่าว่าแต่เปิดการป้องกันเลย อาจจะเสียชีวิตก็เป็นได้”

ต่อมาเขาก็ลูบศีรษะอย่างขัดเขิน “ของสิ่งนี้ข้าขายไม่ได้สักชุด พวกเขาไม่รู้จักของดี ข้ามอบให้บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องสำนักเดียวกันเปล่าๆ แต่ไม่มีใครต้องการ ตอนนี้นอกจากข้าใช้เองชุดหนึ่ง คนอื่นๆ ก็ไม่ได้ใช้”

“ก็ได้ ข้าซื้อ ของสิ่งนี้น่าสนใจจริงๆ ไม่ทราบว่าราคากี่ศิลาวิญญาณ ข้าเกรงใจที่จะซื้อในราคาทุน อย่างไรก็ต้องให้เจ้าได้กำไรบ้าง” หลังจินเฟยเหยารับฟังแล้วพึงพอใจ สิ่งของที่ไม่มีขายเกร่อในตลาดเช่นนี้ คนที่รู้วิธีทำลายมีน้อยยิ่งกว่าน้อย

“อา ศิษย์น้องพูดจริงหรือ เจ้าต้องการซื้อวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจของข้าจริงๆ?” ศิษย์พี่ไป๋ตื่นเต้นอย่างยิ่ง มองจินเฟยเหยาอย่างไม่อยากจะเชื่อ ดีอกดีใจเหมือนเด็กๆ

วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจชุดนี้ของเขา ขนาดอาจารย์ยังบอกว่า ดูงดงามแต่ไม่มีประสิทธิภาพจริง ไม่ใช้เวลาไปกับหนทางที่ถูกต้อง ขอเพียงตนเองแข็งแกร่งต่อให้อยู่รังหญ้าไม่ใช้การป้องกันก็ไม่มีใครกล้ามาล่วงเกิน มีความสามารถกลับใช้เวลาทั้งหมดไปสร้างวงเวท สู้เอาเวลาไปฝึกบำเพ็ญมากๆ จะดีกว่า

ศิษย์พี่เฟิงก็เข้าใจเหตุผลข้อนี้ ทว่าเขาชอบศึกษาค้นคว้าเรื่องวงเวท จึงหาข้ออ้างให้ตนเอง ผู้บำเพ็ญเซียนไม่ว่าจะมีพลังการบำเพ็ญเพียรสูงส่งเพียงใด ก็มิอาจฝึกบำเพ็ญหลายสิบปีเหมือนเป็นหนึ่งวัน[2] มีวันที่ต้องพักผ่อนนอนหลับบ้าง อีกทั้งสิ่งของที่เก็บสะสมมานานมีมากมาย ถ้าการป้องกันแย่คนอื่นจะฉวยโอกาสขโมยสิ่งของไปได้ เช่นนั้นมิใช่เสียหายใหญ่หลวงเพราะเรื่องเล็กน้อยหรือ

เห็นจินเฟยเหยาชื่นชมความสามารถของตนเอง ยอมรับการศึกษาของตนเอง ทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างยิ่ง พอคิดอีกที จินเฟยเหยาถือเป็นคนที่สองที่คิดจะใช้วงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจ คนแรกคือตนเอง น่าจะมอบให้นางหนึ่งชุดจึงถูกต้อง

เขาใช้ผ้าที่ตั้งแผงห่อวงเวทวิญญาณอย่างยินดี ยัดของทั้งหมดใส่ในอ้อมอกของจินเฟยเหยาด้วยความตื่นเต้น เอ่ยอย่างใจกว้าง “ศิษย์น้องจิน ได้รู้จักกับเจ้าคราหนึ่ง นอกจากข้าแล้วเจ้าเป็นเพียงคนเดียวที่รู้สึกว่าวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจชุดนี้ดี ข้าจะเก็บศิลาวิญญาณจากเจ้าได้อย่างไร ข้าขอมอบวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจชุดนี้ให้เจ้า”

“ไม่ได้ศิษย์พี่เฟิง ข้าจะรับสิ่งของของเจ้าเปล่าๆ ไม่ได้ ถ้าท่านไม่ยอมรับศิลาวิญญาณ ข้าก็ไม่เอา” จินเฟยเหยารีบโบกมือปฏิเสธ

ศิษย์พี่เฟิงเห็นนางไม่ยอมรับ ก็เอ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม “เจ้าไม่ไว้หน้าข้า ดูแคลนข้าหรือ?”

เหตุใดจึงเปลี่ยนท่าทีอย่างกะทันหัน จินเฟยเหยามองเขาอย่างประหลาดใจ ข้าต้องเกรงอกเกรงใจหน่อย นางได้แต่ทำท่าทางฝืนใจรับห่อผ้าในมือศิษย์พี่เฟิงมา ทว่ากลับหยิบสิ่งหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเก็บของบังคับยัดใส่มือศิษย์พี่เฟิง

“ศิษย์พี่เฟิง พวกเราไม่ต้องเกรงใจกันเกินไป ข้ามีทรัพย์สมบัติไม่เท่าไหร่ เจ้าอย่าได้รังเกียจศิลาวิญญาณเล็กน้อยแค่นี้ เจ้าเอาไปซื้อลูกอมกินเถอะ ถ้าเจ้าไม่รับ ข้าจะคืนวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจให้เจ้า ต่อให้เจ้าสังหารข้า ข้าก็จะไม่รับ”

ศิษย์พี่เฟิงปฏิเสธไม่ได้ รู้สึกว่าผลักดันกันไปมาเช่นนี้เป็นการกระทำอันจอมปลอม ดังนั้นจึงรับถุงมา ส่วนจินเฟยเหยาพอได้วิธีใช้จากเขา ก็เก็บวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจใส่กระเป๋าเก็บของ จากนั้นกล่าวอำลาศิษย์พี่เฟิง นางยังคิดจะไปเดินเตร็ดเตร่ที่แผงอื่นอีก

หลังจากศิษย์พี่เฟิงมองส่งจินเฟยเหยาจากไป ถือกระเป๋าเก็บของที่จินเฟยเหยายัดให้เขาอย่างสุขใจ วัสดุที่ใช้ทำวงเวทวิญญาณสิบสองปิศาจยอดเยี่ยมยิ่ง วงเวทวิญญาณสิบสองอันใช้ศิลาวิญญาณของเขาไปนับหมื่น จินเฟยเหยายินยอมเป็นฝ่ายมอบศิลาวิญญาณให้เขา สามารถช่วยชดเชยเงินที่เสียไปได้

เขาใช้การรับรู้กวาดมองในกระเป๋าเก็บของด้วยรอยยิ้ม พลันตะลึงงันไป ทั้งกระเป๋าเก็บของมีศิลาวิญญาณชั้นล่างแค่สิบสองก้อน เป็นจำนวนศิลาวิญญาณที่เขาใส่ในวงเวทพอดี ศิษย์พี่เฟิงได้สติคืนมา ปากพึมพำอย่างขมขื่น “ซื้อลูกอมกิน เงินจำนวนนี้พอซื้อแค่ลูกอมกินจริงๆ ด้วย ข้าโง่งมยิ่ง ศิษย์น้องจินผู้นี้ตอนอยู่บนแท่นมองฟ้ายังยากไร้จนกลายเป็นเช่นนั้น ตอนนี้จะกลายเป็นคนใจกว้างได้อย่างไร ศิลาวิญญาณสองพันก้อนที่ศิษย์พี่ใหญ่มอบให้นาง ย่อมต้องถูกนางเห็นเป็นสมบัติล้ำค่าเก็บซ่อนไว้นานแล้ว คิดไม่ถึงว่าข้ายังมีความคิดหวังจะได้ทุนคืนอีก โง่งมอย่างยิ่งจริงๆ”

ตนเองเป็นคนบอกว่าจะให้เปล่าๆ ก่อน อย่างน้อยที่สุดผู้อื่นก็ไม่ได้คิดจะเอาเปรียบเขา ให้ศิลาวิญญาณชั้นล่างแก่เขามาสิบสองก้อน ศิษย์พี่เฟิงยืนตะลึง ในใจมีความรู้สึกบอกไม่ถูก รู้สึกว่าไม่น่ารับกระเป๋าเก็บของของจินเฟยเหยาเลย

ถ้าไม่รับมา ยังรู้สึกว่าตนเองมอบของรักของตนเองให้ผู้รู้สำเนียง[3] ตอนนี้รับศิลาวิญญาณมาสิบสองก้อน รู้สึกเหมือนขายหยาดเหงื่อแรงงานของตนเองในราคาต่ำ ในใจจึงเกิดความรู้สึกเจ็บปวด

ส่วนจินเฟยเหยากลับตื่นเต้นยินดี ถือว่ามาเดินตลาดกลางคืนไม่เสียเที่ยว ไปดูสิว่ามีอะไรน่าซื้ออีกบ้าง

ผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานเริ่มหลอมยาและสร้างอาวุธเองแล้ว ยาที่บรรดาผู้บำเพ็ญเซียนขายเองมีราคาถูกกว่ายาที่ซื้อในร้านยามาก ยาที่คนส่วนมากขายสามารถใช้ศิลาวิญญาณซื้อได้โดยตรง มีเพียงผู้บำเพ็ญเซียนส่วนน้อยที่คิดจะแลกเปลี่ยนเป็นสิ่งของที่ต้องการ ฉวยโอกาสที่ตนเองมีอ่างมายาจิ่งเทียนซึ่งเป็นพื้นที่มิติขนาดเล็ก นางจึงซื้อยาในตลาดกลางคืนจำนวนมาก

อาการบาดเจ็บที่ถูกไป๋เจี่ยนจู๋ทำร้ายต้องรักษา พลังการบำเพ็ญเพียรก็ยังไม่เสถียร สิ่งเหล่านี้ล้วนต้องอาศัยยาช่วยเหลือ งานประเภทหลอมยาสร้างอาวุธ ต้องรอหลังจากพลังการบำเพ็ญเพียรเสถียรก่อนค่อยร่ำเรียนอย่างช้าๆ อย่างไรเสียก็มีเวลามากมาย

จินเฟยเหยายังนึกถึงพั่งจื่อกับต้านิวอย่างเอาใจใส่ พวกมันไม่อาจกินยาที่มีใน ‘เคล็ดวิชาฟ้าดินดับสูญ’ ตามนางได้ตลอด ดังนั้นจึงซื้อยาสัตว์ภูติหกขวดให้กบสองตัว ทั้งยังซื้อตำราเวทมนตร์ที่พบเห็นบ่อยๆ ในขั้นสร้างฐานหลายเล่ม นางค้นเจอบันทึกการเดินทางในแผงแห่งหนึ่ง เป็นอัตชีวประวัติของผู้บำเพ็ญเซียนคนหนึ่งเขียนขึ้นหลังจากออกเดินทางท่องเที่ยวหาประสบการณ์ไปทั่ว ตรงกลางหนังสือยังวาดภาพประกอบเป็นแผนที่ซึ่งไม่สมบูรณ์แผ่นหนึ่ง

จินเฟยเหยามองแผนที่ใบนั้นแล้วรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง ราวกับตนเองก็มีแผนที่แบบนี้ ใช้ศิลาวิญญาณสามก้อนซื้อบันทึกการเดินทางสามเล่ม บันทึกการเดินทางที่เป็นอัตชีวประวัติเล่มนั้นก็รวมอยู่ด้วย นางคิดเสียดิบดี ปกติสิ่งของประเภทนี้ล้วนเป็นแผนที่สมบัติ ถ้าหาสมบัติที่บรรดาผู้อาวุโสซุกซ่อนไว้พบเข้าจริงๆ เช่นนั้นชีวิตน้อยๆ ของนางจะยิ่งอยู่ดีมีสุขมากขึ้น

เดินอยู่ในตลาดเกือบสองชั่วยาม ในที่สุดจินเฟยเหยาก็พาพั่งจื่อและต้านิวบรรทุกของจนเต็มกลับไปอย่างอารมณ์ดียิ่ง


[1] การเตรียมพร้อมสองทาง คือ ไม่ว่าเรื่องราวจะดำเนินไปในแนวทางใดก็มีแผนการรองรับ

[2] หลายสิบปีเหมือนเป็นหนึ่งวัน หมายถึง มีความอุตสาหะ มีปณิธานแน่วแน่ เสมอต้นเสมอปลาย แสดงถึงการกระทำอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน

[3] ผู้รู้สำเนียง หมายถึง สหายผู้รู้ใจ