บทที่ 81 น่ายินดี

คู่ชะตาบันดาลรัก

บทที่ 81 น่ายินดี Ink Stone_Romance

ฉีตงจวิ้นอ๋องเป็นคนที่เคร่งครัดในประเพณีมาก ไม่ใช่เพียงแค่เจ้าหน้าที่ในตงหนิงที่รู้สึก ประชาชนในเมืองตงหนิงก็รู้สึกได้เช่นกัน

นับตั้งแต่ฉีตงจวิ้นอ๋องมาที่ตงหนิงเขาก็ใช้ชีวิตตรงไปตรงมาอย่างเปิดเผยอย่างที่จวิ้นอ๋องควรเป็น สำหรับจวิ้นอ๋องแล้วการอยู่ดีกินดี ผลาญเงินเหมือนผลาญดินเป็นสิ่งที่ไม่เคยขาด แต่ต้องขยันใฝ่รู้ คุณธรรมโดดเด่น

ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับงานราชการในท้องถิ่น ไม่ติดต่อกับเจ้าหน้าที่ก็แค่ทำตัวหรูหราฟุ่มเฟือย ทำตัวเผด็จการก็เท่านั้น

แน่นอนว่ามีบางเรื่องอย่างการยึดครองที่ดิน ทำร้ายร่างกายบ่าวรับใช้ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย ไม่ได้กระตุ้นให้ผู้คนเกิดความไม่พอใจเขาแต่อย่างใด

นั่นคือจวิ้นอ๋อง ผู้ที่ไม่สามารถแตะต้องได้ ผู้คนทั่วไปรู้เป็นอย่างดีตราบใดที่ไม่มากเกินไปก็ยังถือว่าอยู่ในกฎ

ดังนั้นเมื่อคดีเก่าเหล่านั้นถูกพลิกกลับถูกนำมาร้องเรียนต่อหน้าหน่วยลาดตระเวน ผู้คนส่วนใหญ่จึงมีท่าทีสนอกสนใจ ดูเหมือนว่าเจี่ยงชิงเทียนผู้นั้นเป็นผู้ที่เที่ยงธรรมไม่ลำเอียงจริงๆ แม้แต่จวิ้นอ๋องเขายังกล้าที่จะตัดสินความผิด

ด้วยเหตุนี้เสียงซุบซิบของผู้คนในท้องตลาดจึงไม่ใช่เรื่องที่ตระกูลหมิงมีผีออกอาละวาด แต่กลายเป็นเจี่ยงชิงเทียนจะสืบคดีอย่างไร

เมื่อเทียบกับฉีตงจวิ้นอ๋องที่มีกระแสลมปากแหลมคม[1] ท่านเจ้าเมืองอู๋กลับรู้สึกสบายอกสบายใจอย่างมาก การที่เจี่ยงเหวินเฟิงมาเยือนตงหนิง แม้ว่าเขาจะตรวจสอบงานกิจต่างๆ ตามหน้าที่ของเขา แต่ก็ไม่ได้ทำให้ท่านเจ้าเมืองลำบากใจ

ดังนั้นชีวิตของเขาจึงไม่ได้รับผลกระทบอันใด เขายังคงทำงานทุกวัน เลิกศาลก็ออกไปเดินเล่นบนท้องถนน ดูร้านเครื่องเคลือบลายครามต่างๆ ร้านขายหินทองว่าของดีหรือไม่

วันนี้ท่านเจ้าเมืองอู๋เดินทางไปยังร้านหลิงหลงซวน

“ท่านเจ้าเมืองมา!”

เจ้าของร้านยิ้มกริ่มให้เขา “ท่านเจ้าเมืองมาได้จังหวะพอดีเลย เมื่อเช้านี้ข้าเพิ่งได้หินสือหวง[2]มา ท่านอยากชมก่อนหรือไม่ขอรับ”

ท่านเจ้าเมืองอู๋หัวเราะ “บังเอิญเสียจริง ไปๆๆ ไปดูกัน”

เจ้าของร้านเชิญท่านเจ้าเมืองอู๋ขึ้นไปชั้นบน และเข้าไปในห้องเก็บของ

ผนังทั้งสี่ด้านเต็มไปด้วยภาพแขวนตัวอักษร ชั้นวางของเต็มไปด้วยสินค้าหายาก ไม่รู้ว่าเจ้าของร้านขยับอะไรไป แต่ผนังด้านหนึ่งค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไปเผยให้เห็นห้องเล็กๆ ด้านใน

“เชิญขอรับ” เจ้าของร้านยิ้ม ท่านเจ้าเมืองอู๋พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปในห้องเล็ก

ห้องนี้มีขนาดเล็กมากสามารถวางโต๊ะและเก้าอี้ได้เพียงไม่กี่ตัว เมื่อท่านเจ้าเมืองอู๋เดินเข้าไปก็พบว่าในห้องนี้มีคนอยู่ก่อนแล้ว

มีสองคน ผู้หนึ่งยืน อีกผู้หนึ่งนั่ง

“ท่านอ๋อง” ท่านเจ้าเมืองอู๋คำนับด้วยความเคารพแล้วประสานมือทักทายอีกคน “ท่านอู่”

มีเพียงคนผู้เดียวในตงหนิงที่สามารถเรียกว่าท่านอ๋องได้ ฉีตงจวิ้นอ๋องยิ้มบางแล้วชี้ “นั่งลงเถอะ ท่านอู่ก็ด้วย ที่นี่ไม่มีคนนอก”

ท่านเจ้าเมืองอู๋ยิ้มรับคำ “ขอรับ”

อาลักษณ์ที่ยืนอยู่ข้างกายฉีตงจวิ้นอ๋องก็โค้งคำนับ และนั่งลงเช่นเดียวกับเขา

“ยินดีด้วยขอรับท่านอ๋อง” เมื่อท่านเจ้าเมืองอู๋นั่งลงประโยคแรกที่เขาพูดออกมาก็คือ “ในที่สุดก็นำเรื่องพวกนั้นออกมา แต่ดูเหมือนพวกเขาจะไม่มีอุบายอันใดอีกแล้ว”

ฉีตงจวิ้นอ๋องพยักหน้า “หลายวันมานี้ ลำบากพวกท่านแล้ว”

“ไม่ลำบากเลยขอรับ” ท่านเจ้าเมืองอู๋โบกมือ “ท่านอ๋องไม่ได้ทำอันใดอยู่แล้ว ไม่ต้องกลัวว่าพวกเขาจะตรวจพบอันใด นี่เป็นคุณงามความดีของท่านอู่ เพียงแค่ยุยงเล็กน้อยทำให้คนผู้นั้นเก็บอาการไว้ไม่อยู่เท่านั้นเอง”

ท่านอู่ผู้นั้นยิ้มแล้วส่ายหัว “ไม่ใช่ นั่นไม่ใช่ความคิดของข้าน้อย ข้าน้อยไม่กล้าถือว่าตนเองมีความดีความชอบหรอกขอรับ”

ท่านเจ้าเมืองอู๋รู้สึกประหลาดใจ “ไม่ใช่ความคิดของท่านอู่หรือ” พูดแล้วเขาก็โบกมืออีกครั้ง “ท่านอ๋องมีผู้สูงศักดิ์อย่างท่านอู่ไว้ข้างกายเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างยิ่ง”

ฉีตงจวิ้นอ๋องพยักหน้าแล้วยิ้ม “คนรุ่นเยาว์ก็คือคนรุ่นเยาว์ แม้ท่าทีทำเป็นรักหยกถนอมบุปฝาของเขานั้นจะเสแสร้ง แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะเป็นจริงบางส่วน”

ท่านเจ้าเมืองอู๋ตอบ “หญิงงามนั้นหายาก คุณหนูเจ็ดทั้งงดงามทั้งเฉลียวฉลาด เขาจะไม่เสียดายได้อย่างไร ผู้ใดกันที่บอกว่าถ้าใช้แผนส่งสาวงามไปจะทำให้เขารู้สึกสงสาร เขาโกรธเป็นฟืนเป็นไปเช่นนี้ ช่างได้ประโยชน์เป็นอย่างมากเลยทีเดียว”

ทั้งสามคนมองหน้ากันแล้วหัวเราะ หลังจากอดกลั้นมาหลายวันในที่สุดวันนี้พวกเขาก็มีความสุข แม้เขาจะมีตำแหน่งในหวงเฉิงซือที่มีสามหัวหกแขน[3] ไม่ว่าจะเป็นผู้ลากมากดีเพียงใด พวกเขาล้วนไม่ประมาทเลินเล่อโดยเด็ดขาด

ตั้งแต่ต้นจนจบพวกเขาไม่ได้ใช้ความพยายามอันใดมากนัก แต่เมื่อเห็นว่าเขาพบหญิงงามเป็นการส่วนตัวจึงให้หวังเฟยพาคนไปเที่ยวที่โรงเตี๊ยม

แล้วก็ได้รับข่าวดีกลับมา

ฟ้องงั้นหรือ ฟ้องมาเลยสิ! การเปิดโปงเรื่องเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลอื่นมาได้แล้ว

ผู้หนึ่งเป็นจวิ้นอ๋อง ทำอันใดผิดกฎหมายงั้นหรือ การยึดที่ดิน ไม่ได้มีอันใดมากไปกว่าการดูที่นาของผู้อื่น และซื้อในราคาต่ำเพื่อสร้างสวน ส่วนทำร้ายร่างกายบ่าวรับใช้ มีเรือนใดไม่เคยทำบ้างเล่า

กับจวิ้นอ๋องที่มีสายเลือดใกล้ชิดกับฮ่องเต้ การทำเรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งผิดกฎหมายเลย การที่ไม่ทำอันใดเลยต่างหากถึงจะผิดกฏหมาย

“ท่านอ๋อง ข้าเกรงว่าท่านอาจจะต้องยื่นหนังสือเพื่อยอมรับผิด” ท่านเจ้าเมืองอู๋กล่าวขอโทษ “เกรงว่าเลี่ยงที่จะถูกกล่าวเตือนไม่ได้ขอรับ”

ฉีตงจวิ้นอ๋องโบกมือ “ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด อดทนไปก็พอ”

ถ่อมตัวเพื่อไม่ให้มีปัญหาภายหลัง เขาใช้ชีวิตแบบนี้มาตลอดหลายปีไม่ใช่หรือ ท่านเจ้าเมืองอู๋ไม่สามารถอยู่ที่นี่นานได้ หลังจากนั้นครึ่งชั่วยามเขาก็ออกจากร้านหลิงหลงซวน

เขายังคงเดินอยู่บนถนนสักพักก็ไปที่ร้านขายหินทองร้านอื่นอีกสองสามร้านเพื่อดูว่ามีสินค้าดีๆ หรือไม่ จากนั้นก็เดินทางกลับไปที่ศาล

…………

หมิงเวยไม่ได้ออกจากเรือน แต่ข่าวภายนอกก็เข้าหูนางไม่ขาดสาย

“โกรธเป็นฟืนเป็นไฟเพราะหญิงงาม!” นางโยนก้อนกระดาษลงในเตาป๋อซาน มองมันกลายเป็นเขม่าสีดำ

อาหว่านถามอย่างยิ้มเยาะไปว่า “ในฐานะที่ท่านเป็นสาวงาม รู้สึกอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

หมิงเวยครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ก็ไม่เลว มีคุณชายหยางมาเสียทีให้แล้วยังชื่นชม ข้าพอใจเป็นอย่างมาก”

“ฮึ!”

“แม่นางอย่าฉุนเฉียวเช่นนี้เลย” หมิงเวยพูดอย่างจริงจัง “เจ้าโกรธข้าไม่ได้ จึงเอาความโกรธลงที่ตนเองหรือ”

อาหว่านกลับถามออกมาว่า “ปีนี้ข้าน้อยอายุสิบหก ท่านอายุเท่าไรหรือเจ้าคะ”

หมิงเวยยิ้ม “เจ้ารู้ดีว่าร่างกายนี้มีอายุสิบห้า แต่ไม่รู้ว่าอายุจริงๆ ของข้านั้นเท่าใด รู้หรือไม่ว่าข้าอายุเจ็ดสิบแปดสิบแล้ว อายุเข้าบั้นปลายชีวิตแล้ว”

อาหว่านมองนางอย่างสงสัย

จริงหรือ…

หมิงเวยดูสุขุมเยือกเย็น นางเทน้ำลงบนแท่งหมึกฝนอยู่ไม่กี่ครั้งก็ใช้พู่กันวาดยันต์ “หลายวันมานี้ข้าแทบจะพลิกสวนอวี๋ฟาง แต่ก็หาแม่กุญแจไม่พบ”

นางวาดยันต์ไปพูดไป “ข้าสงสัยว่ากุญแจจะอยู่ข้างนอก”

อาหว่านถาม “แล้วเราจะทำอย่างไรกันดีเจ้าคะ”

“เรื่องด้านนอกให้พวกเขาเป็นคนจัดการ พวกเราต้องจัดการเกิงซานก่อน เจ้าท่องจำคาถาได้หรือยัง”

“ข้าจำได้แล้วเจ้าค่ะ”

“ดีมาก” หมิงเวยหยิบยันต์ที่เพิ่งวาดไปวางบนมือของนาง “เจ้าลองดูว่าใช้ได้หรือไม่”

“หากข้าใช้ยันต์จะจัดการเกิงซานได้งั้นหรือเจ้าคะ”

หมิงเวยตอบ “ใช่ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องจริงจังเสียหน่อยนะ!”

“ฮึ ท่านคอยดูได้เลยเจ้าค่ะ!” อาหว่านหยิบยันต์แล้วไปที่ห้องข้างๆ เพื่อลองใช้มัน หมิงเวยวางพู่กันแล้วเดินไปที่หน้าต่าง นางมองไปยังต้นหลิวในความมืดเพื่อที่จะจัดการกับเขาในวันรุ่งขึ้นนางจะต้องพยายามเรียกสติที่หายไปของเขาให้กลับคืนมา

สิบปีมานี้เกรงว่าเขาจะจำอันใดไม่ได้มากนางจึงจำเป็นต้องรีบจัดการ ขอเพียงแค่เกิงซานเปิดปากพูดก็จะได้รู้ว่าการคาดเดาที่น่ากลัวนั้นเป็นจริงหรือเท็จกันแน่

“ท่านแม่…” นางก้มหน้ามองปิ่นปักผมสีทองในมือ “ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่ท่านรัก เป็นบุรุษแบบใดกัน”

………………………………

[1] กระแสลมปากแหลมคม : การวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในสังคมที่โหดร้ายและดุดัน

[2] หินสือหวง : ซึ่งมีความหมายในภาษาจีนคือ หินสีเหลืองทุ่งข้าว ยังได้รับการขนานนามว่า “จักรพรรดิหิน” อีกด้วย

[3] สามหัวหกแขน : เป็นคนที่เก่งเหนือมนุษย์ มีความสามารถสูง