ตอนที่ 34.1 คิดจะปล้นชิง (1)

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“จ๊ากกกก~!”

เสียงของฉีฉีดังขึ้นมา ก่อนที่ฝูงหมาป่าจะพุ่งตรงเข้ามาปิดล้อมเหล่าผู้เข้าแข่งขันในศึกชิงกริชน้ำแข็งเอาไว้

— ฉั้วะ! —

ฉินอวี้โม่ปรากฏตัวขึ้นกลางฝูงหมาป่าในพริบตา สตรีโฉมงามดึงเอากริชออกมาและพุ่งเข้าใส่พวกมันทันที

“ไปกันเถอะ พวกเราจะยอมแพ้ง่ายๆ ไม่ได้”

ฉีอวี้เอ่ยขึ้น หลิงเฟิง และฉีฉีบุกตะลุยเข้าหาฝูงหมาป่าพร้อมๆ กัน

ในตอนแรก พวกเขาก็รู้สึกเป็นกังวลที่เห็นฉินอวี้โม่บุกเข้าหาฝูงหมาป่าในทันทีเช่นนั้น

แต่เมื่อมองเห็นสีหน้าสงบนิ่งของหลัวเจี๋ยที่ยืนอยู่บนต้นไม้ใหญ่ พวกเขาก็ละทิ้งความกังวลเหล่านั้นลง เพราะตราบใดที่หลัวเจี๋ยยังอยู่ที่นี่ เขาไม่มีทางปล่อยให้ใครได้รับอันตรายอย่างแน่นอน

แม้ว่าฉีอวี้และหลิงเฟิงจะเป็นจอมยุทธ์ในขอบเขตทิพย์มายาเก้าดาราด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งคู่ก็ยังไม่เคยได้มีโอกาสฝึกการต่อสู้ในสถานการณ์จริงมาก่อนจึงเป็นธรรมดาที่ทั้งสองคนจะยังไม่กล้าพุ่งเข้าจู่โจมฝูงหมาป่าในทันทีเช่นเดียวกับที่ฉินอวี้โม่ทำ

ส่วนฉีฉีนั้น ระดับพลังของนางเพิ่งจะเข้าถึงขอบเขตทิพย์มายามาไม่นานและยังอยู่ในดาราที่ไม่สูงมาก แน่นอนว่าเด็กน้อยก็ยิ่งไม่กล้าทำเรื่องเสี่ยงอันตราย

คนทั้งสามสู้พลางถอยพลาง พวกเขาพยายามจัดการกับหมาป่าทีละตัวๆ

แม้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นอสูรมายา แต่การได้ลองสู้ในสนามจริงเช่นนี้ก็ทำให้พวกเขาแต่ละคนได้รับประสบการณ์รวมถึงช่วยขัดเกลาวิชาการต่อสู้ที่มีได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ยิ่งเวลาผ่านไปศึกหมาป่าสายลมก็ดูเหมือนจะดุเดือดรุนแรงมากขึ้น

ฉินอวี้โม่เป็นนักฆ่าในชาติก่อน หลายวันมานี้เธอได้ลองต่อสู้ด้วยร่างกายใหม่นี้หลายครั้งทำให้เริ่มเกิดความคุ้นชินมากขึ้น รวมถึงยังได้ลองใช้ทักษะและวิชาเก่าๆ ในชาติที่แล้วด้วยร่างกายนี้ประยุกต์เข้ากับพลังมายาที่มี  ทำให้ความแข็งแกร่งของตัวเธอในตอนนี้น่ากลัวกว่าในชีวิตก่อนมาก

ตัวเธอในอดีตชาติใช้ชีวิตอยู่กับความเสี่ยงมาโดยตลอด เดินทางอยู่บนเส้นแบ่งบางๆ ระหว่างความเป็นความตายมานักต่อนัก สำหรับเธอแล้วหมาป่าฝูงนี้ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย

หลัวเจี๋ยนั่งกัดผลผิงกั่ว (แอปเปิล) อยู่บนกิ่งไม้ เขาจับตามองฉินอวี้โม่ที่กำลังเริงระบำอย่างงดงามอยู่ท่ามกลางฝูงหมาป่า  ทุกๆ การตวัดกริชหนึ่งครั้งของนางจะมีหมาป่าหนึ่งตัวที่ถูกฆ่าตายไป

หลังจากผ่านไปไม่นาน พื้นที่รอบตัวของฉินอวี้โม่ก็เต็มไปด้วยซากศพชุ่มเลือดของหมาป่าสายลมกองทับถมกันจนสูงเกือบท่วมตัวนาง

ทว่าสิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นคือ ตอนนี้อาภรณ์สีขาวยาวของฉินอวี้โม่ไม่เปื้อนและไม่ยับแม้แต่น้อย มันยังคงมีสภาพเดิมเหมือนเช่นตอนที่นางใส่ออกมาจากโรงเตี๊ยมทุกประการ  ราวกับว่าสตรีผู้ที่เพิ่งสังหารหมาป่าไปเกือบทั้งฝูงผู้นี้ไม่ได้จับมีดต่อสู้ แต่ออกมาเดินเล่นชมนกชมไม้เท่านั้น!

ตรงกันข้ามกับฉีอวี้ หลิงเฟิง และฉีฉี  สามหนุ่มสาวแห่งนครไป๋อวิ๋นมีสภาพเหน็ดเหนื่อยสะบักสะบอม เนื้อตัวก็ชุ่มโชกไปด้วยเลือดอย่างน่าเวทนา  ทว่าจำนวนหมาป่าที่พวกเขาจัดการไปแม้จะนำของสามคนมารวมกันก็ยังเทียบกับฉินอวี้โม่คนเดียวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

จำนวนหมาป่าสายลมที่เหลือรอดในตอนนี้ลดน้อยลงเรื่อยๆ จากที่มีเป็นร้อยตัวในตอนแรกกลับเหลืออยู่ไม่ถึงยี่สิบตัวแล้ว อย่างไรก็ตามพวกมันทั้งหมดก็ยังไม่มีท่าทีที่จะถอยหนี มันยังคงกระโจนเข้าหาฉินอวี้โม่และคนอื่นๆ ไม่หยุดยั้ง

ดูเหมือนจะมีเพียงฉินอวี้โม่เท่านั้นที่ยังคงรับมือกับหมาป่าได้อย่างสบายๆ  ในตอนนี้คนอื่นๆ ล้วนถูกความเหนื่อยล้าเข้าเล่นงาน การเคลื่อนไหวของพวกเขาเริ่มติดขัด เห็นได้ชัดว่าร่างกายใกล้จะถึงขีดจำกัดแล้ว

และในตอนนั้นเองที่สถานการณ์พลิกผัน เมื่อหมาป่าขนาดยักษ์ก้าวออกมา

หมาป่าสายลมตัวนี้มีขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นๆ อย่างเห็นชัดได้  และยังดูมีพละกำลังมากกว่าหลายเท่า ที่สำคัญคมเขี้ยวขนาดใหญ่ของมันก็สามารถเขย่าขวัญผู้คนจนไม่อาจขยับตัวได้!    ซึ่งในทันทีที่ปรากฏตัวขึ้น  เจ้ายักษ์เขี้ยวคมก็กระโจนเข้าจู่โจมฉีฉีผู้ที่อ่อนแอที่สุดในกลุ่มในฉับพลัน!

“แย่แล้ว!”

เมื่อเห็นหมาป่ายักษ์พุ่งเข้าใส่ฉีฉี ฉีอวี้และหลิงเฟิงที่อ่อนด้อยในประสบการณ์การต่อสู้ก็ได้แต่ชะงักค้างตัวแข็งทื่อ  หลัวเจี๋ยที่เดิมทีนั่งกัดผลไม้อยู่เงียบๆ ก็หายวับไปจากจุดนั้นในพริบตา  เขาพุ่งตรงเข้าหาฉีฉีอย่างรวดเร็วเพื่อที่จะขัดขวางการโจมตีของหมาป่ายักษ์

อย่างไรก็ตาม  เมื่อการต่อสู้ดุเดือดขึ้น เหล่านักฆ่าหมาป่าฝึกหัดที่กำลังเป็นฝ่ายได้เปรียบก็รุกคืบเข้าไปในฝูงหมาป่ามากขึ้นเรื่อยๆ จึงทำให้ออกห่างจากจุดที่หลัวเจี๋ยอยู่มากขึ้นด้วยเช่นกัน  ดังนั้นถึงแม้ว่าหลัวเจี๋ยจะแข็งแกร่งมาก  แต่ครั้งนี้เห็นทีว่าความช่วยเหลือของเขาอาจจะไปถึงหนูน้อยฉีฉีได้ไม่ทันการณ์

ในตอนที่หมาป่ายักษ์กำลังจะขย้ำฉีฉี หลัวเจี๋ยก็เห็นร่างของคนคนหนึ่งปรากฏขึ้นขวางหน้ามันเอาไว้

— ฉึก! —