ตอนที่ 80 ศึกรับอนุภรรยา (2)

เจ้าสาวร้อยเล่ห์

“สะใภ้ใหญ่…” จื่อหลัวมองใบหน้าที่ราบเรียบของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ด้วยความตึงเครียด กล่าวอย่างเคืองโกรธ “ฮูหยินทำเกินไปจริงๆ เจ้าค่ะ ท่านและคุณชายเพิ่งจะแต่งงานไปไม่พ้นหกเจ็ดวันดี ฮูหยินก็คิดจะให้คุณชายรับอนุภรรยาเสียแล้ว ยังจะบอกอีกว่านางเอ็นดูท่านที่สุด ข้าว่านางไม่ได้มีท่านอยู่ในสายตาเลยต่างหาก! รังแกคนเกินไปจริงๆ เจ้าค่ะ!”

“จื่อหลัว ปิดปากเดี๋ยวนี้!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตำหนิอย่างเรียบนิ่ง ใบหน้าถอดสีจนทำให้คนตกใจ จื่อหลัวรีบพยุงนางไว้ทันที แม้แต่คำที่เรียกเมื่อสักครู่ก็เปลี่ยนไปเช่นกัน “คุณหนู ท่านเป็นอะไร? ท่านอย่าทำให้ข้าตกใจสิเจ้าคะ”

“ข้าเพียงเวียนหัวเล็กน้อยเท่านั้น ประคองข้าไปนั่งตรงนั้นสักครู่ก่อนเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ชี้ไปยังป่าไผ่ด้านนอกของเรือนนภาแห่งนี้ นางจำได้ว่าที่นี่มีโต๊ะและม้าหินสำหรับนั่งพักอยู่ ยามนี้ราตรีได้ย้อมแผ่นฟ้าจนมิดสนิทมองไม่ชัดเจน ไม่อาจมีคนผ่านมาเห็นได้แน่

“ในเรือนยังมีแขกรอท่านอยู่นะเจ้าคะ” ชิวผิงกล่าวอย่างใจกล้า นางเป็นบ่าวในตระกูลซั่งกวนที่แม่นมฉินเพิ่งจะคัดเลือกออกมาแทนที่ตำแหน่งสาวใช้ชั้นสองที่ว่างอยู่ ยังไม่เคยเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์และพวกแม่นมฉินบันดาลโทสะแต่อย่างใด แน่นอนว่าจึงมีความกล้ามาก ไม่เหมือนช่าจื่อที่เคารพเชื่อฟังไม่พูดอะไรมาก

“เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปดูแลแขกพวกนั้น ไม่ต้องมาสนใจสะใภ้ใหญ่แล้ว” จื่อหลัวกล่าวไปยังนางอย่างเรียบเย็น นางรู้ตัวดีว่านางกำลังโมโห แต่ก็ไม่เคยเจอสาวใช้ที่ไม่มีหูตาเช่นนี้มาก่อน นายของตัวเองกำลังเสียใจ นางกลับเอาแต่นึกถึงแขกที่หน้าซื่อใจคดพวกนั้นเสียอย่างนั้น สะใภ้ใหญ่ตระกูลชุยก็เป็นหนึ่งในแขกเหล่านั้น ใครจะรู้ว่ายามนี้นางอาจจะรอหัวเราะเยาะคุณหนูแล้วก็ได้

“ข้าเพียงอยากเตือนให้สะใภ้ไม่ทำเรื่องผิดพลาดก็เท่านั้น” ชิวผิงกล่าวเสียงเบาทั้งเผยใบหน้าน้อยใจ นางยังไม่รู้อีกว่าตัวเองได้ทำผิดไป

              “จื่อหลัว…” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่มีใจจะฟังพวกนางโต้เถียงกัน พยุงมือของจื่อหลัวเข้าไปยังป่าไผ่ ด้านช่าจื่อก็ดึงชิวผิงตามเข้ามาในป่าไผ่อย่างแรง

บนท้องฟ้าไร้ซึ่งแสงจันทร์ มีเพียงแสงระยิบระยับของดวงดาวอย่างคลุมเครือ เยี่ยนมี่เอ๋อร์นั่งลงบนม้าหิน เงยหน้าขึ้นไปมองผืนฟ้า กล่าวอย่างเศร้าใจอยู่บ้าง “จื่อหลัว ข้าผิดอย่างนั้นหรือ? ข้าไม่ควรหวังเกินตัวมากไป ยิ่งไม่ควรไปคาดหวังความอบอุ่นนั้นที่ไม่ได้เป็นของข้า”

“คุณหนู ท่านอย่าได้เศร้าใจไปเลยนะเจ้าคะ ข้ารู้ว่าในยามนี้ท่านทั้งเศร้าใจทั้งยังลำบากใจ บ่าวจะนำเรื่องนี้ไปปรึกษากับแม่นมฉิน ย่อมไม่อาจปล่อยให้นางจิ้งจอกหน้าไม่อายนั่นแต่งเข้าเรือนมได้แน่เจ้าค่ะ!” จื่อหลัวกล่าวปลอบเยี่ยนมี่เอ๋อร์อย่างรีบร้อน เยี่ยนมี่เอ๋อร์ที่เป็นเช่นนี้นางไม่เคยเห็นมาก่อน อ่อนแอถึงเพียงนี้ ดูหมดหนทางถึงขนาดนี้ เจ้านายที่ตนวาดฝันไว้ก็คือแม้ว่าฟ้าจะถล่มลงมาก็ยังสามารถใช้ความสงบนิ่งต่อกรได้เช่นเคย นางรู้ที่ไหนกันว่าการกระทำนี้ของเยี่ยนมี่เอ๋อร์ก็เพื่อให้ช่าจื่อได้เห็นก็เท่านั้น

“ต่อจากนั้นเล่า? เพิ่งจะแต่งเข้าเรือนมาก็ให้เอะอะสร้างความวุ่นวายไปทั่วอย่างนั้นหรือ?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ย้อนถามอย่างขมขื่น ก่อนน้ำตาที่อดกลั้นไว้มานานจะค่อยๆ ไหลลงอาบแก้ม หยดลงบนโต๊ะหิน และก็หยดลงบนใจของจื่อหลัวด้วย

“คุณหนู…” จื่อหลัวลนลาน แม้แต่ควรจะทำอะไร พูดอะไรก็ล้วนทำไม่ถูกไปหมดแล้ว

“ไม่มีอะไร ข้าเพียงแค่เสียใจเท่านั้น ได้พักสักหน่อยก็คงจะดีแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะเบาๆ “เรื่องเย็นวันนี้อย่าให้ใครรู้เป็นอันขาด โดยเฉพาะแม่นม นิสัยของนาง หากรู้เรื่องนี้เข้า ต้องเอะอะโวยวายไม่ยอมอย่างง่ายๆ แน่นอน”

“หรือท่านจะกล้ำกลืนฝืนใจให้คนรังแกอยู่เช่นนี้เจ้าคะ?” จื่อหลัวกล่าวอย่างโมโห “คุณหนู แต่ไหนแต่ไรท่านก็ไม่เคยถูกรังแกเช่นนี้! เรื่องนี้เป็นพวกเขาที่ทำผิดต่อท่าน ไม่อาจจะปล่อยไปเช่นนี้ได้นะเจ้าคะ”

“จื่อหลัว ยามนี้ข้าไม่ใช่คุณหนูห้าตระกูลเยี่ยน แต่เป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวน แม้บางครั้งจะอดกลั้นไม่ไหวก็จำเป็นต้องอดกลั้น ยังคงต้องคำนึงถึงส่วนรวม” เยี่ยนมี่เอ๋อร์กล่าวอย่างเศร้าใจ กระนั้นก็ใช้จังหวะนี้ลอบส่งสายตาเป็นนัยให้แก่จื่อหลัว ทำเอาจื่อหลัวตะลึงไปเล็กน้อย เยี่ยนมี่เอ๋อร์พูดได้อย่างเศร้าใจถึงเพียงนี้ ทว่าแม้ในแววตาจะมีความเสียใจ แต่ก็ยังเปี่ยมไปด้วยแผนการและความแพรวพราวเช่นกัน

“แต่ว่าคุณหนู…” จื่อหลัวคล้ายกับรีบร้อนจนพูดไม่ถูก กล่าวอย่างมีโทสะ “หากไม่ไหวก็ไม่ต้องเป็นสะใภ้ใหญ่ของตระกูลซั่งกวนไปเลยเจ้าค่ะ อย่างไรท่านก็ยังไม่ได้ร่วมห้องเคียงหมอนใช้ชีวิตฉันสามีภรรยากับคุณชายซั่งกวน ยิ่งไปกว่านั้น ท่านปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างไร แล้วพวกเขาปฏิบัติต่อท่านอย่างไรล่ะเจ้าคะ? หากดูถูกดูแคลนฐานะของท่าน ก็ไม่ควรจะกระตือรือร้นดำเนินงานแต่งงานมาโดยตลอดเช่นนี้สิเจ้าคะ แม้ว่าคุณหนูจะปลงผมออกบวชก็ยังจะใช้ชีวิตอย่างมีความสุขได้เสียยิ่งกว่าตอนนี้อีกนะเจ้าคะ!”

“จื่อหลัว ข้ากลับไปไม่ได้แล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ส่ายศีรษะอย่างเศร้าสร้อย “ข้าในยามนี้เพียงแต่นึกโกรธที่ตอนแรกไม่ได้ยืนหยัดอย่างถึงที่สุด หากว่ายามนั้นตัดขาดจากกิเลสหันเข้าสู่พุทธศาสนา ก็คงไม่ต้องมีโอกาสพบกับสามี ยิ่งไม่อาจทำให้ข้าเสียใจถึงขนาดนี้…”

“คุณหนู ไม่อย่างนั้น…” จื่อหลัวพยายามคิดวิธีอื่น

“จื่อหลัว เรื่องนี้ให้พอแค่นี้เถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์คล้ายกับระบายออกมาหมดแล้ว จึงค่อยระงับสติอารมณ์มาได้ “ข้ารู้ว่าเรื่องสามีจะรับอนุภรรยานั้นจะเกิดขึ้นในไม่ช้าก็เร็วอยู่ดี แต่ไม่คิดมาก่อนว่าวันนี้จะมาถึงเร็วขนาดนี้ ทั้งนึกไม่ถึงอีกว่าจะเป็นฮูหยินที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ดังนั้นจึงได้พลั้งเผลอแสดงท่าทีไม่สมควรออกไป ยามนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว พวกเรากลับไปกันเถอะ ยังมีแขกรออยู่!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่” จื่อหลัวก็หวนคืนท่าทีกลับมา ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดคราบน้ำตาบนใบหน้าให้เยี่ยนมีเอ๋อร์อย่างระมัดระวัง เพื่อไม่ให้คนอื่นได้พบเห็นความผิดปกตินี้

“ช่าจื่อ ชิวผิง” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองสาวใช้ชั้นสองทั้งสองอย่างเรียบนิ่ง ใบหน้าของช่าจื่อนั้นไม่ปรากฏอารมณ์ใดๆ แต่ชิว ผิงกลับไม่เหมือนกัน มีทั้งความเห็นใจ ความสงสาร ทั้งยังปิดบังความรู้สึกดีใจที่เห็นคนอื่นเป็นทุกข์อย่างระมัดระวัง ก่อนจะยืนตั้งใจฟังอย่างนอบน้อม รอคำสั่งของเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“เรื่องของวันนี้ปิดปากไว้ให้แน่น ข้าไม่อยากจะได้ยินเสียงซุบซิบนินทาจากผู้ใด!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์มองไปยังชิวผิง “ขอเพียงแค่มีข่าวลืออะไรแปลกๆ แม้แต่น้อย ข้าไม่สนว่าอาจจะพูดแค่คนเดียว แต่ทั้งสองคนคนต้องถูกขับออกไปจากจวน!”

“เจ้าค่ะ สะใภ้ใหญ่!” ช่าจื่อรับคำสั่งอย่างเคารพ ทว่าชิวผิงกลับไม่ค่อยมั่นใจนัก

“ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ชิวผิงไม่ต้องรับใช้ข้างกายข้าอีกแล้ว เปลี่ยนเป็นรับใช้ข้างกายช่าจื่อแทน ช่าจื่อ สาวใช้ชั้นสามข้างกายเจ้าที่ชื่อติงเอ๋อร์ ให้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเป็นชั้นสอง ส่วนชิวผิงก็ลดตำแหน่งแทนที่นางไป” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่พอใจที่ชิวผิงกล้าเปล่งวาจาออกมาในเวลาเช่นนั้น ไม่ว่าจะตักเตือนเพราะปรารถนาดีก็ดี หรือเพราะเตือนอย่างดูแคลนตน แต่สาวใช้ที่ดูสีหน้าเจ้านายไม่ออกเช่นนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเหลือไว้ข้างกายตนเอง

“สะใภ้ใหญ่ บ่าวไม่กล้าอีกแล้วเจ้าค่ะ!” ชิวผิงรีบร้อนคุกเข่าลงไป โดยทั่วไปสาวใช้ที่ฝึกฝนตั้งแต่ชั้นเล็กๆ จนจะมาถึงชั้นสอง แม้ว่าจะมีพื้นฐานครอบครัวที่แข็งแกร่ง ก็ยังจำเป็นต้องใช้เวลาถึงสามสี่ปีเช่นกัน นางเพิ่งจะเข้าจวนมาไม่ถึงครึ่งปี ก็ได้กลายเป็นสาวใช้ชั้นสองแล้ว ไม่รู้ว่าทำให้พวกพี่ๆ น้องๆ อิจฉาตาร้อนไปมากมายตั้งเท่าใด เวลานี้ จู่ๆ ก็จะถูกลดกลายเป็นชั้นสาม แทบไม่ต่างอะไรกับการตกลงมาจากสรวงสวรรค์ล่วงสู่พื้นพิภพ

“เดิมทีเจ้าก็ไม่ได้มีความสามารถพอที่จะอยู่ข้างกายข้า อย่างไรก็ติดตามเรียนรู้จากช่าจื่อให้มากขึ้นก่อนเถิด” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ไม่ได้สนใจนางนัก สาวใช้เช่นนี้นับว่าไม่อาจยกขึ้นมาเชิดหน้าชูตาได้ หมุนกายก็อาศัยจื่อหลัวประคองออกไปทันที

ช่าจื่อก็ไม่มากความ ตามหลังทั้งสองคนไป ด้านชิวผิงเมื่อเห็นว่าไม่มีคนสนใจ ก็ทำได้เพียงต้องลุกยืนขึ้นอย่างโกรธเคือง ก่อนจะเดินตามหลังช่าจื่อไป

“ต้องขออภัยพี่สะใภ้และพี่ๆ น้องๆ ทุกท่านที่มาหาข้าที่นี่ แต่ข้าที่เป็นเจ้าบ้านกลับไม่อยู่เสียอย่างนั้น เสียมารยาทกับทุกคนแล้ว!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์เข้าห้องรับแขกไปก็กล่าวขอโทษกับคนที่นั่งอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แทบจะมองไม่ออกถึงความเสียใจและความอัดอั้นตันใจที่เกิดขึ้นเมื่อครู่สักนิด

“น้องสะใภ้เจวี๋ยอย่าได้เกรงใจ!” หวังเหมยเสียนกล่าวยิ้มๆ “จนมาถึงตอนนี้ผู้ที่ยังอยู่ตระกูลซั่งกวนไม่ไปไหน ก็ล้วนแต่เป็นคนที่สนิทสนมมากที่สุดด้วยกันทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นครอบครัวเดียวกัน เจ้าก็ไม่ต้องเกรงใจไป”

“ใช่แล้ว พี่สะใภ้” จิงอิ๋งยิ้มทั้งเดินเข้ามาใกล้ “ฝ่ายหนึ่งเป็นญาติสะใภ้ผู้พี่และญาติผู้พี่ญาติผู้น้อง อีกฝ่ายก็เป็นสะใภ้ของตระกูลชุย ล้วนแต่เป็นเครือญาติกัน เอ๊ะ ไม่ใช่สิ หลิงหลงยังไม่ได้แต่งออกไปเลยนี่นา จะนับว่าเป็นญาติได้แล้วอย่างไร ต้อง โทษหลิงหลงที่วันๆ ก็เอาแต่ตัวติดกับชุยฮ่าวหรันไม่ไปไหน ทำเอาข้ามึนงงไปด้วยหมดแล้ว!”

คำพูดของจิงอิ๋งทำให้ทุกคนหัวเราะกันลั่น หลิงหลงทั้งโกรธทั้งอาย พี่น้องทั้งสองคนตั้งแต่หลังจากที่เกิดเรื่องอู๋เลี่ยนเยี่ยนวางยาก็สนิทสนมกันขึ้นมา ทั้งมักจะตั้งใจหยอกล้อกันมากขึ้นอยู่บ้าง หลิงหลงในยามนี้พุ่งเข้ามาเตรียมจะจัดการจิงอิ๋งที่บ้าจี้ ทว่าจิงอิ๋งกลับหลบไปอยู่ข้างๆ เยี่ยนมี่เอ๋อร์ ดึงเยี่ยนมี่เอ๋อร์ให้เข้าไปในวงชุลมุนด้วย ทำให้นางทั้งกล่าวเอ็ดทั้งหัวเราะไปด้วย

“โธ่…คุณหนูทั้งสองเจ้าคะ สะใภ้ใหญ่ของข้ารับไม่ไหวกับการวิ่งไปวิ่งมาเช่นนี้นะเจ้าคะ!” จื่อหลัวและม่านเหอช่วยเยี่ยนมี่เอ๋อร์ออกมาทั้งใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม

หลิงหลงเมื่อเห็นว่าเยี่ยนมี่เอ๋อร์ถูกพวกนางทำให้ผมเผ้าและเสื้อผ้ายุ่งเหยิงไปบ้าง ก็ยิ้มอย่างขวยเขิน รีบหยุดมือ ปล่อยจิงอิ๋งไปทั้งไม่เต็มใจเช่นนี้ กล่าวอย่างแง่งอน “พี่สะใภ้ ต้องโทษจิงอิ๋งเด็กทโมนผู้นี้ อีกเดี๋ยวข้าจะฉีกปากนางออกมา ดูซิว่านางจะกล้าพูดเหลวไหลอยู่อีกหรือไม่!”

“เอาเถิด ล้วนแต่เป็นสาวกันหมดแล้ว เหตุใดยังเล่นซุกซนอยู่เช่นนี้อีก!” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ดึงเด็กสาวทั้งสองคนให้นั่งลงข้างตนเอง “นั่งกันดีๆ ล่ะ ไม่อนุญาตให้เล่นเป็นเด็กอีกแล้ว”

“พี่สะใภ้ เป็นนางที่เริ่มก่อน” จิงอิ๋งกล่าวอย่างไม่ยอม ใบหน้ายังคงประดับรอยยิ้มซุกซน

“นั่นเป็นใครที่เย้าแหย่ก่อนกันแน่?” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ใช้ผ้าเช็ดหน้าซับเม็ดเหงื่อที่ปรากฏบนใบหน้าจิงอิ๋ง “หากไม่ใช่เพราะเจ้ายั่วยุนางก่อน นางจะลงมือหรือ? เจ้าต่างหากที่เป็นตัวก่อเรื่อง”

“พี่สะใภ้…” จิงอิ๋งยังคงดื้อดึงไม่ยอมแพ้ ทั้งยังไม่ลืมแลบลิ้นให้หลิงหลงไปหนึ่งที

“เอาเถิด ไม่อนุญาตให้ก่อเรื่องแล้ว” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ตบหลังมือจิงอิ๋งเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับหวังเหมยเสียนยิ้มๆ “ทำให้สะใภ้ตระกูลชุยเห็นเรื่องน่าขันเข้าให้แล้ว”

“พี่สะใภ้เจวี๋ยไม่กลัวว่าพวกเราจะพบเรื่องขำขันบ้างหรือ?” หวงฝู่อวี๋จวินกล่าวอย่างซุกซน “ข้าล้วนไม่เล่นอย่างพวกนางที่เล่นกันอย่างเอาจริงเอาจังขนาดนั้นแล้ว ไม่เป็นผู้ใหญ่เอาเสียเลย”

“เจ้าเด็กคนนี้นี่ เข้ามาเลย!” จิงอิ๋งถูกกล่าวเหน็บก็ร้อนตัวขึ้นมาทันที เดิมทีทั้งสองก็นับว่าสนิทกัน จึงแทบไม่สนใจผู้คนรอบข้างก็เริ่มการหยอกล้อกันอีกครั้ง

“อวี๋จวินอายุกี่ปีเอง เจ้ายังจะคิดโกรธจริงจังอีก” เยี่ยนมี่เอ๋อร์ถลึงตามองนาง ก่อนจะเผยยิ้มกล่าวกับหวงฝู่อวี๋จวิน “อวี๋จวิน หากจิงอิ๋งกล้ารังแกเจ้า บอกพี่สะใภ้ พี่สะใภ้จะจัดการให้เจ้าเอง!”

“อืม!” หวงฝู่อวี๋จวินพยักหน้า ยิ้มอย่างซุกซน ทำให้จิงอิ๋งครางในลำคออย่างหงุดหงิด ไม่สนใจนางอีก

“น้องสะใภ้เจวี๋ยสนิทกับหลิงหลงและจิงอิ๋งจริงๆ” หลี่ฉยงอวี่แย้มยิ้มทว่ารอยยิ้มนั้นกลับไปไม่ถึงดวงตา ความสัมพันธ์พี่สะใภ้และน้องสามีที่สนิทสนมอย่างกับอะไรดีตรงหน้าทำให้ไม่ว่านางจะมองอย่างไรก็ล้วนรู้สึกขัดหูขัดตา…คุณหนูของตระกูลหวงฝู่ นอกจากหวงฝู่อวี๋หลิง คนอื่นๆ ก็ล้วนไม่สนิทสนมกับนางแต่อย่างไร ตรงกันข้าม ซุนเฟยเสวี่ยกลับสนิทสนมกับพวกนางมากกว่าเสียอีก ผู้หญิงคนนั้นใช้ใบหน้าที่อ่อนโยนและความเอาอกเอาใจ ช่วงชิงความเอ็นดูจากหวงฝู่หลินจี้ ช่วงชิงความโปรดปรานจากฮูหยินหวงฝู่ และก็ช่วงชิงความชื่นชอบจากพี่น้องพวกนั้นไปเช่นกัน นางเกลียดซุนเฟยเสวี่ยอย่างถึงที่สุด ทั้งกระทั่งยังเกลียดนางที่ปฏิเสธไม่ยอมเป็นพวกเดียวกับตน และก็นับเป็นความอ่อนโยนที่เฉกเช่นเดียวกันเยี่ยนมี่เอ๋อร์

“แน่นอนอยู่แล้ว!” จิงอิ๋งตอบกลับไปโดยธรรมชาติ

“พี่สะใภ้ตระกูลชุย ได้ยินว่าท่านป้าสะใภ้ตระกูลชุยและท่านป้าประสงค์ที่จะเชื่อมสัมพันธ์…” หลี่ฉยงอวี่เผยยิ้มเอ่ยถามหวังเหมยเสียน เรื่องนี้เป็นนางที่เสนอวิธีให้กับหวังเหมยเสียน ถึงขนาดกล่าวสาธยายข้อดีต่างๆ ของชุยอวี่เฟยต่อหน้าหวงฝู่เยวี่ยเอ้อทางนั้น ที่นี่ก็ไม่มีคนตระกูลอื่นแล้ว นางมีใจอยากจะเห็นเยี่ยนมี่เอ๋อร์เสียใจ จึงจงใจยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด

“ท่านแม่มีความประสงค์นี้ ท่านป้าสะใภ้ซั่งกวนก็เห็นดีเห็นงามด้วย จากนี้คงต้องรอดูทางน้องสะใภ้เจวี๋ยแล้ว!” หวังเหมยเสียนก็คล้อยตามหลี่ฉยงอวี่ หันไปกล่าวกับเยี่ยนมี่เอ๋อร์ “น้องสะใภ้เจวี๋ย ไม่ทราบว่าท่านป้าสะใภ้ได้พูดเรื่องนี้กับเจ้ามาก่อนหรือไม่?”

ที่แท้เรื่องนี้ผู้ที่คิดริเริ่มก็คือพวกนาง! เช่นนั้นก็ต้องกล่าวว่าเย็นวันนี้พวกนางเข้ามาก็เพื่อมาดูเรื่องสนุกสินะ! เพียงแต่ เกรงว่าจะทำให้พวกนางผิดหวังเสียแล้ว…

เยี่ยนมี่เอ๋อร์กระจ่างใจขึ้นมา นางไม่เข้าใจว่าเรื่องนี้จะเป็นผลดีอย่างไรกับหลี่ฉยงอวี่ นางจึงได้มาร่วมผสมโรงด้วย ไม่กลัวว่าจะกลายเป็นฝ่ายศัตรูหรอกรึ? หรือนางจะคิดว่าตัวเยี่ยนมี่เอ๋อร์เป็นคนซื่อที่รังแกได้ง่ายๆ จริงๆ?

———————————-