ภาคที่ 1 บทที่ 69 คืบหน้าอย่างรวดเร็ว

เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁]

บทที่ 69 คืบหน้าอย่างรวดเร็ว

 

“แล้วมันมีอะไรซับซ้อนด้วยหรือไง?”

 

ซูเย่ถามพร้อมกับยิ้มกว้าง

 

จินฟานตอบกลับมาด้วยความกระตือรือร้น “ซูเย่ เกมนี้มันไม่ใช่เกมธรรมดาหรอกนะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่นายต้องคิดไม่ถึงแน่ ๆ ฉันว่านายรีบเล่นเกม และอัพเลเวลขึ้นมาให้ทันพวกเราดีกว่า”

 

“นั่นสิ” ซูชือพูดกับซูเย่สีหน้าจริงจัง “ฉันแอดเพื่อนไปนายก็ไม่ยอมกดรับ ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะช่วยนายให้อัพเลเวลขึ้นมาพร้อมกันแท้ ๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นายคงต้องดูแลตัวเองแล้วล่ะ”

 

“แต่คนเราก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่แล้วนี่นา” ซูเย่พูดยิ้ม ๆ

 

“เอาเถอะน่า พวกเราจะรอนายอยู่ที่เลเวล 20 ก็แล้วกัน”

 

พูดจบ ซูชือก็ตบไหล่เขาอย่างให้กำลังใจ

 

จินฟานให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เท่าที่พวกฉันได้ข้อมูลมา สำหรับคนที่อัพเลเวลขึ้นถึงระดับ 20 ได้สำเร็จในเดือนนี้ ก็จะได้รับของรางวัลพิเศษ รอให้ถึงเดือนหน้าก็ไม่มีของรางวัลให้แล้วนะเพื่อน”

 

ซูชือพยักหน้าสนับสนุน

 

ของรางวัลอย่างนั้นหรือ? ของรางวัลอะไรกันล่ะ?

 

นี่คงเป็นของรางวัลพิเศษที่ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังสินะ และซูชือกับจินฟานก็คงได้รับของรางวัลเหล่านั้นไปแล้ว ไม่งั้นทั้งสองหนุ่มก็คงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้แน่ ๆ

 

แต่พวกเขาแค่ไม่กล้าบอกออกมาว่าของรางวัลคืออะไร

 

มันจะเป็นของที่ช่วยสำหรับการเลื่อนระดับพลังหรือไม่? หรือว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาในการฝึกวิทยายุทธ์?

 

จินฟานกับซูชือได้แต่กำชับให้ซูเย่รีบอัพเลเวลขึ้นมาเร็ว ๆ และควรที่จะเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในเลเวล 20 ให้ได้ภายในเดือนนี้

 

“นายต้องอัพเลเวลขึ้นมาให้ได้ในเดือนนี้เท่านั้นนะ”

 

สองหนุ่มกำชับอีกครั้งก่อนสวมใส่หมวก VR เข้าสู่โลกแห่งเกม

 

ซูเย่ได้แต่มองเพื่อนทั้งสองพร้อมกับยิ้มกว้าง

 

แล้วแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

 

ปรากฏว่าในระหว่างที่เล่นเกม ทั้งจินฟานกับซูชือต่างก็มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกาย

 

“น่าสนใจดีแฮะ”

 

วันนี้คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้แน่ ๆ

 

ซูเย่เดินไปเปิดลิ้นชักหยิบตำราแพทย์สุ่ม ๆ ออกมาสองสามเล่ม จากนั้นจึงนำมานั่งอ่านพร้อมกับสร้างค่ายอาคมดูดซับพลังปราณธรรมชาติไปด้วย

 

เมื่อมีค่ายอาคมสำหรับการดูดซับพลังปราณ ซูชือกับจินฟานก็สามารถดูดซับพลังปราณไปใช้งานได้เช่นกัน

 

เช้าวันต่อมา

 

เมื่อทั้งสองหนุ่มลุกขึ้นมานั่ง จินฟานกับซูชือก็ต้องหันมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้

 

เพราะในเกมพวกเขาทำได้ดีมากอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

นี่คือผลลัพธ์ของการฝึกพลังปราณวันแรกอย่างนั้นหรือ?

 

ตลอดเวลาระหว่างวัน ทั้งสองหนุ่มมีท่าทางตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา

 

ซูเย่เฝ้ามองดูเพื่อนทั้งสองได้ค้นพบโลกใบใหม่ แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้ม และไม่ได้พูดอะไร

 

“นายพูดถูกว่ะ พวกเรามีพลังเพิ่มขึ้นจริง ๆ แบบนี้จะสามารถตัดต้นไม้ด้วยมือเปล่าได้ไหมนะ?”

 

ซูชือกระซิบถามจินฟานด้วยกลัวคนอื่นจะมาได้ยิน

 

“น่าจะได้แหละมั้ง”

 

จินฟานพยักหน้า และมองออกไปยังต้นไม้ซึ่งขึ้นอยู่นอกหน้าต่างห้องเรียน

 

“อะไรเพิ่มมากขึ้นนะ?”

 

ซูเย่พลันถามอย่างกะทันหัน

 

จินฟานกับซูชือหันขวับกลับมา และปิดปากเงียบทันที

 

ตอนแรกจินฟานทำท่าเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ

 

“ในเกมไง พลังในเกมของพวกเราเพิ่มขึ้นแล้ว”

 

ซูชือรีบสะกิดแขนจินฟาน และหันมาพูดกับซูเย่ “ถ้าเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่เลเวล 20 ได้สำเร็จ ก็จะสามารถโค่นต้นไม้ด้วยมือเปล่าได้เลยล่ะ”

 

“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”

 

ซูเย่แกล้งทำหน้าประหลาดใจ

 

แต่ก็พอคาดเดาได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น

 

เมื่อถึงช่วงเย็น ซูเย่ก็เดินทางไปเปิดคลินิกสนามรักษาชาวบ้านผู้ยากไร้เหมือนเดิม

 

ความชำนาญในเรื่องของการเขียนใบสั่งยาของเขาเพิ่มมากขึ้น

 

วันต่อมาเริ่มมีชาวบ้านจากหมู่บ้านข้างเคียงมาต่อแถวเพื่อเข้ารับการตรวจจากเขา…

 

และอีกหนึ่งวันหลังจากนั้น ก็เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านที่อยู่โดยรอบมาเข้ารับการตรวจเช่นกัน

 

หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนกลายเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ

 

ผู้เฒ่าหลี่ยังคงคอยช่วยจัดระเบียบแถวผู้ป่วยให้อยู่เสมอ

 

“ไม่เลวเลยนะ”

 

ในวันที่สี่ หลี่เคอหมิงพูดออกมาด้วยความพึงพอใจเมื่อตรวจใบสั่งยาของซูเย่

 

เมื่อการเปิดคลินิกภาคสนามดำเนินมาได้ถึงวันที่เจ็ด การเขียนใบสั่งยาของซูเย่ก็ไม่มีสิ่งใดต้องแก้ไขอีกแล้ว

 

สำหรับการเป็นแพทย์แผนจีนนั้น ตัวยาที่เลือกสรรสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ถ้าเลือกผิดแม้แต่ตัวเดียว ก็จะส่งผลในแง่ลบต่อประสิทธิภาพการรักษาโรคโดยรวม

 

ดังนั้นวิธีการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือการเขียนใบสั่งยาให้คนไข้โดยปราศจากข้อผิดพลาด ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ แต่ความจริงนั้นทำได้ยากมาก

 

แม้แต่บรรดาแพทย์ที่จบจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง ก็ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกหลายปี กว่าที่จะสามารถเขียนใบสั่งยาได้แม่นยำเหมือนซูเย่ในขณะนี้

 

นับว่าชายหนุ่มมีพัฒนาการที่รวดเร็วเหลือเกิน!

 

ซูเย่ยิ้มรับคำชมเพียงเล็กน้อย

 

ความคืบหน้าเพียงเท่านี้ เทียบไม่ได้เลยกับเป้าหมายที่เขามีอยู่ในใจ

 

ซูเย่ทำการตรวจคนไข้ต่อไป แล้วเขาก็ได้พบกับชายชราหนวดขาวร่างกายอ่อนแอคนหนึ่ง และเมื่อมองดี ๆ ซูเย่ก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจำได้ว่าคุณปู่คนนี้เคยเข้ารับการตรวจไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน

 

แล้วทำไมถึงมาหาเขาอีกแล้วนะ?

 

อาจารย์หลี่ก็จำคุณปู่ได้เช่นกัน จึงสอบถามด้วยความเป็นกังวล “คุณลุงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่าใบสั่งยาที่พวกเราให้ไปใช้ไม่ได้ผล?”

 

“เปล่าครับหมอ”

 

ชายชรานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจพร้อมกับโบกมือบอกว่าตนเองไม่เป็นอะไร

 

“ถ้างั้น…”หลี่เคอหมิงอยากสอบถามว่าถ้าอย่างนั้นชายชราจะมาหาหมออีกทำไม

 

แต่แล้วคุณปู่ก็ไม่พูดอะไร เพียงยื่นมือออกไปให้ซูเย่จับชีพจร

 

เมื่อเห็นดังนั้น ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาลองชะโงกหน้ามองดูกลุ่มผู้คนที่มาต่อแถวเข้าคิวรอรับการตรวจ และชายหนุ่มก็ได้พบเห็นใบหน้าของชาวบ้านที่คุ้นเคยอยู่จำนวนไม่น้อย

 

ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเคยได้รับการตรวจไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน

 

มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลซะแล้ว

 

ซูเย่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถามว่า “ทุกคนได้ซื้อยามารับประทานตามที่พวกเราบอกหรือเปล่าครับ?”

 

กลุ่มชาวบ้านส่ายศีรษะ

 

ซูเย่ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?

 

“อย่าพูดถึงเรื่องให้ซื้อยาเลยครับ แค่ให้ซื้อข้าวกินพวกเราก็ลำบากแล้ว”

 

ชาวบ้านคนหนึ่งตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มฝืดฝืน

 

ว่าไงนะ?

 

ซูเย่กับหลี่เคอหมิงหันมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ

 

พวกเขาเขียนใบสั่งยาให้แล้ว แต่ชาวบ้านกลับไม่ไปซื้อยามารับประทานตามคำแนะนำ มิหนำซ้ำยังกลับมารับการตรวจจากซูเย่เป็นรอบที่สอง สุดท้ายแล้วนี่คือเรื่องอะไรกันแน่?

 

“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะพูดแทนทุกคนเอง”

 

ผู้เฒ่าหลี่ซึ่งเป็นคนควบคุมการจัดแถวคนไข้เดินออกมาข้างหน้าพลางถอนหายใจด้วยความเศร้า “เรื่องของเรื่องก็คือชาวบ้านไม่มีเงินไปซื้อยาตามใบสั่งยาที่พวกคุณหมอเขียนให้หรอกครับ ต่อให้พวกเราไม่สบายแค่ไหน ก็มีแต่ต้องอดทนต่อไปเท่านั้น และที่พวกเขากลับมาให้คุณหมอตรวจซ้ำอีกครั้ง ก็เพราะอยากจะได้ยินคุณหมอบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไร แล้วพวกเขาก็จะได้กลับบ้านไปอย่างสบายใจนั่นแหละ ขออภัยที่ต้องรบกวนพวกคุณหมอจริง ๆ ครับ”

 

เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ซูเย่กับหลี่เคอหมิงก็ต้องหันกลับไปจ้องมองกลุ่มคนไข้ที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง

 

ทุกคนส่งยิ้มให้พวกเขาด้วยความหมองหม่น

 

พอได้เห็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเหล่านั้น หลี่เคอหมิงกับซูเย่ก็พลอยรู้สึกเศร้าใจไปด้วย

 

เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าหลี่พูดออกมาเป็นความจริงทุกประการ

 

แต่ในทันใดนั้นเอง

 

เปลวไฟสีแดงพลันลุกโชนขึ้นจากพื้นที่ห่างไกล ควันไฟสีดำม้วนตัวตลบขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเย็น

 

“ไฟไหม้!”

 

เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจดังลอยมาตามสายลม

 

กลุ่มชาวบ้านที่ต่อแถวเข้าคิวรอรับการตรวจจากซูเย่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที พวกเขาหันหน้าไปจ้องมองยังทิศทางที่เป็นต้นเพลิง

 

อากาศแห้ง มีลมแรง ย่อมเกิดเหตุอัคคีภัยได้อย่างง่ายดาย!

 

ชาวบ้านทุกคนรีบวิ่งกลับบ้านของตนเอง คว้าถังพลาสติกมาตักน้ำอย่างชุลมุนวุ่นวาย เตรียมตัวช่วยกันไปดับไฟ

 

ซูเย่กับหลี่เคอหมิงหันมองหน้ากัน ก่อนจะรีบลุกขึ้น และวิ่งไปดูสถานที่ซึ่งเป็นต้นเหตุของอัคคีภัยในครั้งนี้

 

เมื่อพวกเขาไปถึงที่เกิดเหตุ ซูเย่ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้บ้านหลังหนึ่ง

 

ชาวบ้านจำนวนมากนำถังน้ำ กะละมัง และกระป๋องพลาสติกทุก ๆ อย่างที่ใช้เป็นอุปกรณ์ตักน้ำได้วิ่งเข้าไปสาดน้ำเพื่อดับไฟ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่เปลวไฟลุกโชนด้วยความรุนแรงมากเกินไป ยิ่งสาดน้ำเข้าไปเท่าไหร่ เปลวไฟก็ยิ่งโหมไหม้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น

 

ขณะนี้ทุกคนต่างมีอาการตื่นตระหนก วิ่งดับไฟกันพัลวัน

 

“คุณยายเจ้าของบ้านอยู่ที่ไหน? แล้วหลานชายที่อยู่กับคุณยายล่ะ?”

 

“พวกเขายังติดอยู่ในบ้านหรือเปล่า?”

 

“มีคนติดอยู่ในบ้าน!”

 

ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น “มีคนติดอยู่ในบ้าน แต่บ้านกำลังจะถล่มลงมาแล้ว!”

 

เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนั้น สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม

 

ชายหนุ่มในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งพยายามจะฝ่าม่านไฟเข้าไปช่วยคนออกมาจากในตัวบ้าน แต่เปลวไฟลุกไหม้รุนแรงมากเกินไป พวกเขาไม่สามารถฝ่าอุณหภูมิร้อนสูงเข้าไปด้านในได้เลย

 

ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นอกจากยืนดูไฟนรกลุกไหม้ต่อไปด้วยความร้อนแรง

 

แต่แล้วกลับมีร่างของใครคนหนึ่งวิ่งฝ่าเปลวไฟเข้าไปด้านในตัวบ้าน

 

“นั่นอะไรน่ะ?”

 

กลุ่มชาวบ้านถึงกับผงะทันทีที่เห็นภาพนั้น

 

“ใครวิ่งเข้าไป? เมื่อกี้มีคนวิ่งเข้าไปใช่ไหม?”

 

“คุณหมอวิ่งเข้าไปล่ะ คุณหมอวิ่งเข้าไปช่วยคนแล้ว!”

 

ชาวบ้านยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อได้ยินว่าผู้ที่วิ่งฝ่าเปลวไฟนรกเข้าไปช่วยเหลือผู้คน กลับกลายเป็นคุณหมอหนุ่มคนดีที่มาช่วยรักษาโรคให้พวกเขาฟรี ๆ นั่นเอง

 

หลี่เคอหมิงซึ่งยืนอยู่นอกวงชาวบ้าน รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลข 119 โดยเร็วไว

 

“กำแพงกันภัย เปลวไฟขจัดพ้น!”

 

ในจังหวะที่พุ่งตัวเข้าไปในกองไฟนั้น ซูเย่ก็ร่ายคาถาออกมาด้วยความรวดเร็ว

 

ทันใดนั้นรอบกายชายหนุ่มก็มีม่านพลังปรากฏขึ้นมาเป็นกำแพงกึ่งโปร่งแสง ไม่ว่าเขาเคลื่อนที่ผ่านไปตรงจุดไหน เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ก็จะแหวกออกทันที

 

“คาถานี้สามารถใช้ได้แค่ 10 วินาทีเท่านั้น”

 

ซูเย่รู้ดีถึงข้อจำกัดในการใช้คาถา

 

เขามีเวลาแค่ 10 วินาทีในการช่วยชีวิตผู้คน

 

ซูเย่วิ่งเข้าไปตรวจค้นในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว และเขาก็พบกับคนสองคนที่นั่งกอดกันกลมอยู่บริเวณมุมห้อง

 

เด็กชายตัวน้อยกำลังกอดคุณยายด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต

 

คุณยายจ้องมองเปลวไฟที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้ตัวด้วยความหมดหวัง

 

แต่แล้วซูเย่ก็กระโจนออกมาจากกำแพงไฟในวินาทีนั้น

 

“กำแพงกันภัย เปลวไฟขจัดพ้น!”

 

เขาร่ายคาถาครอบคลุมร่างกายของหญิงชรากับหลานชายตัวน้อย

 

หลังจากนั้น ซูเย่ก็แบกหญิงชราขึ้นหลัง ส่วนเด็กชายเขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง

 

“พวกเราไปกันเถอะครับ!”

 

ชายหนุ่มวิ่งตรงไปที่ประตูหน้า

 

“ครืน!”

 

บ้านทั้งหลังพังถล่มลงมาแล้ว

 

แต่นั่นเป็นหนึ่งวินาทีหลังจากที่ซูเย่ช่วยเหลือหญิงชรากับหลานชายออกมาได้สำเร็จ

 

“เฮือก!”

 

ทุกคนอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่สุดแสนระทึกใจนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี

 

สายตาที่ชาวบ้านมองดูซูเย่ยิ่งเพิ่มความเคารพเทิดทูนมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า

 

คุณหมอหนุ่มคนนี้ช่างเป็นคนที่กล้าหาญจริง ๆ

 

ชาวบ้านหลายคนรีบมารับตัวคุณยายกับหลานชายไปดูแลต่อจากซูเย่

 

“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”

 

หลี่เคอหมิงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับถังน้ำในมือ “รีบเอาน้ำราดตัวดับความร้อนก่อนเถอะ เดี๋ยวร่างกายจะร้อนมากเกินไป”

 

“ไม่เป็นไรครับ”

 

ซูเย่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ

 

ได้ยินดังนั้นทุกคนก็โล่งใจได้อย่างเต็มที่ เพราะนี่เท่ากับว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้

 

แต่ในทันใดนั้น

 

เปลวไฟกลับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง

 

“แย่แล้ว”

 

ชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงร้องตะโกน “ไฟลามไปที่ทุ่งข้าวโพดแล้ว ลมแรงขึ้นด้วย พวกเราจะทำยังไงกันดี!”

 

ได้ยินดังนั้น

 

ชาวบ้านที่เพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ไม่กี่นาที ก็ต้องกลับมาตกอยู่ภายใต้ความตื่นตระหนกอีกครั้ง

 

บรรยากาศแห่งความวุ่นวายโกลาหลกลับคืนมา

 

กลุ่มชาวบ้านรีบวิ่งไปที่ทุ่งข้าวโพดด้วยความร้อนรน

 

หากทุ่งข้าวโพดถูกไฟไหม้ ผลผลิตที่พวกเขากำลังจะเก็บเกี่ยวได้ ก็จะสลายหายไปในพริบตา!

 

“พวกเรารีบช่วยกันดับไฟ เร็วเข้า”

 

ขณะนี้ ชาวบ้านต้องรีบวิ่งกลับไปตักน้ำใส่ขัน ใส่ถัง ใส่กะละมัง เพื่อนำมาดับไฟในทุ่งข้าวโพด

 

“วูบ…”

 

แต่สายลมยามฤดูใบไม้ร่วงกรรโชกตัวรุนแรงเหลือเกิน

 

ยิ่งลมแรงมากเท่าไหร่ เปลวไฟก็ยิ่งโหมไหม้มากขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียว เปลวไฟก็ลุกลามไปเป็นบริเวณกว้าง

 

ทุ่งข้าวโพดเปลี่ยนสภาพกลายเป็นทะเลเพลิง

 

ชาวบ้านยังคงพยายามทุกวิถีทางที่จะดับไฟให้ได้

 

แม้แต่ผู้หญิงกับคนแก่ก็ต้องแบกถังน้ำมาช่วยดับไฟแล้วเช่นกัน

 

เพราะทุ่งข้าวโพดแห่งนี้เป็นแหล่งอาหาร และรายได้หลักของพวกเขา

 

ด้วยความที่มีฐานะยากจน

 

ชาวบ้านที่นี่ไม่มีเงินแม้แต่จะไปซื้อยาสมุนไพรมารับประทาน

 

แล้วพวกเขาจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาช่วยกันดับไฟได้สำเร็จ!

 

เสียงการปะทุตัวของเปลวไฟยังคงดังอย่างต่อเนื่อง

 

เปลวไฟยังคงขยายอาณาเขตลุกลามในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ

 

เปรี๊ยะปร๊ะ …

 

เสียงของต้นข้าวโพดที่ถูกไฟไหม้ดังออกมาเหมือนจะเป็นการหัวเราะเยาะชาวบ้านผู้โชคร้าย

 

เปลวไฟยิ่งลุกไหม้ก็ยิ่งร้อนแรง

 

ควันไฟสีดำลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ชาวบ้านจำนวนมากสำลักควันไฟน้ำหูน้ำตาไหล

 

ชาวบ้านบางส่วนพยายามขุดร่องดินเพื่อสร้างเขตแนวกันไฟ แต่มันก็ช้าเกินไป เปลวไฟลุกลามเกินควบคุมแล้ว

 

เริ่มมีเสียงร้องไห้ด้วยความหมดหวังดังขึ้นในบรรยากาศ

 

ทันใดนั้น ซูเย่ที่กำลังช่วยชาวบ้านหิ้วถังน้ำมาดับไฟ ก็วางถังน้ำลงกับพื้นดิน

 

เปลวไฟรุนแรงมากเกินไป ใช้ถังน้ำเพียงเท่านี้ ไม่มีทางดับไฟได้เด็ดขาด

 

เขาจ้องมองอาณาเขตไฟไหม้ที่ขยายวงกว้างไม่หยุดยั้ง

 

ซูเย่สูดหายใจลึก

 

“ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ”

 

“เอาวะ!”

 

แววตาของชายหนุ่มพลันเป็นประกายมุ่งมั่น

 

ดวงตาของซูเย่จับจ้องไปยังเนินเขาที่อยู่ใกล้เคียงลูกหนึ่ง

 

แล้วเขาก็รีบสับเท้าวิ่งตรงไปยังเนินเขาแห่งนั้นโดยไม่ลังเล