บทที่ 69 คืบหน้าอย่างรวดเร็ว
“แล้วมันมีอะไรซับซ้อนด้วยหรือไง?”
ซูเย่ถามพร้อมกับยิ้มกว้าง
จินฟานตอบกลับมาด้วยความกระตือรือร้น “ซูเย่ เกมนี้มันไม่ใช่เกมธรรมดาหรอกนะ ยังมีอีกหลายเรื่องที่นายต้องคิดไม่ถึงแน่ ๆ ฉันว่านายรีบเล่นเกม และอัพเลเวลขึ้นมาให้ทันพวกเราดีกว่า”
“นั่นสิ” ซูชือพูดกับซูเย่สีหน้าจริงจัง “ฉันแอดเพื่อนไปนายก็ไม่ยอมกดรับ ตอนแรกฉันตั้งใจว่าจะช่วยนายให้อัพเลเวลขึ้นมาพร้อมกันแท้ ๆ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้นายคงต้องดูแลตัวเองแล้วล่ะ”
“แต่คนเราก็ต้องพึ่งพาตัวเองอยู่แล้วนี่นา” ซูเย่พูดยิ้ม ๆ
“เอาเถอะน่า พวกเราจะรอนายอยู่ที่เลเวล 20 ก็แล้วกัน”
พูดจบ ซูชือก็ตบไหล่เขาอย่างให้กำลังใจ
จินฟานให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า “เท่าที่พวกฉันได้ข้อมูลมา สำหรับคนที่อัพเลเวลขึ้นถึงระดับ 20 ได้สำเร็จในเดือนนี้ ก็จะได้รับของรางวัลพิเศษ รอให้ถึงเดือนหน้าก็ไม่มีของรางวัลให้แล้วนะเพื่อน”
ซูชือพยักหน้าสนับสนุน
ของรางวัลอย่างนั้นหรือ? ของรางวัลอะไรกันล่ะ?
นี่คงเป็นของรางวัลพิเศษที่ถูกเพิ่มเติมขึ้นมาในภายหลังสินะ และซูชือกับจินฟานก็คงได้รับของรางวัลเหล่านั้นไปแล้ว ไม่งั้นทั้งสองหนุ่มก็คงไม่ตื่นเต้นขนาดนี้แน่ ๆ
แต่พวกเขาแค่ไม่กล้าบอกออกมาว่าของรางวัลคืออะไร
มันจะเป็นของที่ช่วยสำหรับการเลื่อนระดับพลังหรือไม่? หรือว่ามันจะเป็นเคล็ดวิชาในการฝึกวิทยายุทธ์?
จินฟานกับซูชือได้แต่กำชับให้ซูเย่รีบอัพเลเวลขึ้นมาเร็ว ๆ และควรที่จะเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่ในเลเวล 20 ให้ได้ภายในเดือนนี้
“นายต้องอัพเลเวลขึ้นมาให้ได้ในเดือนนี้เท่านั้นนะ”
สองหนุ่มกำชับอีกครั้งก่อนสวมใส่หมวก VR เข้าสู่โลกแห่งเกม
ซูเย่ได้แต่มองเพื่อนทั้งสองพร้อมกับยิ้มกว้าง
แล้วแววตาของเขาก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ปรากฏว่าในระหว่างที่เล่นเกม ทั้งจินฟานกับซูชือต่างก็มีพลังลมปราณแผ่ออกมาจากร่างกาย
“น่าสนใจดีแฮะ”
วันนี้คงมีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้นโดยที่เขาไม่รู้แน่ ๆ
ซูเย่เดินไปเปิดลิ้นชักหยิบตำราแพทย์สุ่ม ๆ ออกมาสองสามเล่ม จากนั้นจึงนำมานั่งอ่านพร้อมกับสร้างค่ายอาคมดูดซับพลังปราณธรรมชาติไปด้วย
เมื่อมีค่ายอาคมสำหรับการดูดซับพลังปราณ ซูชือกับจินฟานก็สามารถดูดซับพลังปราณไปใช้งานได้เช่นกัน
เช้าวันต่อมา
เมื่อทั้งสองหนุ่มลุกขึ้นมานั่ง จินฟานกับซูชือก็ต้องหันมองหน้ากันอย่างช่วยไม่ได้
เพราะในเกมพวกเขาทำได้ดีมากอย่างน่าเหลือเชื่อ
นี่คือผลลัพธ์ของการฝึกพลังปราณวันแรกอย่างนั้นหรือ?
ตลอดเวลาระหว่างวัน ทั้งสองหนุ่มมีท่าทางตื่นเต้นอยู่ตลอดเวลา
ซูเย่เฝ้ามองดูเพื่อนทั้งสองได้ค้นพบโลกใบใหม่ แต่เขาก็เพียงแค่ยิ้ม และไม่ได้พูดอะไร
“นายพูดถูกว่ะ พวกเรามีพลังเพิ่มขึ้นจริง ๆ แบบนี้จะสามารถตัดต้นไม้ด้วยมือเปล่าได้ไหมนะ?”
ซูชือกระซิบถามจินฟานด้วยกลัวคนอื่นจะมาได้ยิน
“น่าจะได้แหละมั้ง”
จินฟานพยักหน้า และมองออกไปยังต้นไม้ซึ่งขึ้นอยู่นอกหน้าต่างห้องเรียน
“อะไรเพิ่มมากขึ้นนะ?”
ซูเย่พลันถามอย่างกะทันหัน
จินฟานกับซูชือหันขวับกลับมา และปิดปากเงียบทันที
ตอนแรกจินฟานทำท่าเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ
“ในเกมไง พลังในเกมของพวกเราเพิ่มขึ้นแล้ว”
ซูชือรีบสะกิดแขนจินฟาน และหันมาพูดกับซูเย่ “ถ้าเลื่อนระดับขึ้นมาอยู่เลเวล 20 ได้สำเร็จ ก็จะสามารถโค่นต้นไม้ด้วยมือเปล่าได้เลยล่ะ”
“ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
ซูเย่แกล้งทำหน้าประหลาดใจ
แต่ก็พอคาดเดาได้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร เพียงแต่ไม่พูดออกมาเท่านั้น
เมื่อถึงช่วงเย็น ซูเย่ก็เดินทางไปเปิดคลินิกสนามรักษาชาวบ้านผู้ยากไร้เหมือนเดิม
ความชำนาญในเรื่องของการเขียนใบสั่งยาของเขาเพิ่มมากขึ้น
วันต่อมาเริ่มมีชาวบ้านจากหมู่บ้านข้างเคียงมาต่อแถวเพื่อเข้ารับการตรวจจากเขา…
และอีกหนึ่งวันหลังจากนั้น ก็เป็นชาวบ้านจากหมู่บ้านที่อยู่โดยรอบมาเข้ารับการตรวจเช่นกัน
หมู่บ้านฉีเจี๋ยซุนกลายเป็นหมู่บ้านที่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ
ผู้เฒ่าหลี่ยังคงคอยช่วยจัดระเบียบแถวผู้ป่วยให้อยู่เสมอ
“ไม่เลวเลยนะ”
ในวันที่สี่ หลี่เคอหมิงพูดออกมาด้วยความพึงพอใจเมื่อตรวจใบสั่งยาของซูเย่
เมื่อการเปิดคลินิกภาคสนามดำเนินมาได้ถึงวันที่เจ็ด การเขียนใบสั่งยาของซูเย่ก็ไม่มีสิ่งใดต้องแก้ไขอีกแล้ว
สำหรับการเป็นแพทย์แผนจีนนั้น ตัวยาที่เลือกสรรสำหรับผู้ป่วยแต่ละคน ถ้าเลือกผิดแม้แต่ตัวเดียว ก็จะส่งผลในแง่ลบต่อประสิทธิภาพการรักษาโรคโดยรวม
ดังนั้นวิธีการรักษาโรคที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด ก็คือการเขียนใบสั่งยาให้คนไข้โดยปราศจากข้อผิดพลาด ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย ๆ แต่ความจริงนั้นทำได้ยากมาก
แม้แต่บรรดาแพทย์ที่จบจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง ก็ยังต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์อีกหลายปี กว่าที่จะสามารถเขียนใบสั่งยาได้แม่นยำเหมือนซูเย่ในขณะนี้
นับว่าชายหนุ่มมีพัฒนาการที่รวดเร็วเหลือเกิน!
ซูเย่ยิ้มรับคำชมเพียงเล็กน้อย
ความคืบหน้าเพียงเท่านี้ เทียบไม่ได้เลยกับเป้าหมายที่เขามีอยู่ในใจ
ซูเย่ทำการตรวจคนไข้ต่อไป แล้วเขาก็ได้พบกับชายชราหนวดขาวร่างกายอ่อนแอคนหนึ่ง และเมื่อมองดี ๆ ซูเย่ก็ถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ชายหนุ่มจำได้ว่าคุณปู่คนนี้เคยเข้ารับการตรวจไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน
แล้วทำไมถึงมาหาเขาอีกแล้วนะ?
อาจารย์หลี่ก็จำคุณปู่ได้เช่นกัน จึงสอบถามด้วยความเป็นกังวล “คุณลุงเป็นอะไรหรือเปล่าครับ? หรือว่าใบสั่งยาที่พวกเราให้ไปใช้ไม่ได้ผล?”
“เปล่าครับหมอ”
ชายชรานั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะตรวจพร้อมกับโบกมือบอกว่าตนเองไม่เป็นอะไร
“ถ้างั้น…”หลี่เคอหมิงอยากสอบถามว่าถ้าอย่างนั้นชายชราจะมาหาหมออีกทำไม
แต่แล้วคุณปู่ก็ไม่พูดอะไร เพียงยื่นมือออกไปให้ซูเย่จับชีพจร
เมื่อเห็นดังนั้น ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาลองชะโงกหน้ามองดูกลุ่มผู้คนที่มาต่อแถวเข้าคิวรอรับการตรวจ และชายหนุ่มก็ได้พบเห็นใบหน้าของชาวบ้านที่คุ้นเคยอยู่จำนวนไม่น้อย
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนเคยได้รับการตรวจไปแล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน
มีบางอย่างไม่ชอบมาพากลซะแล้ว
ซูเย่ลุกขึ้นยืนพร้อมกับถามว่า “ทุกคนได้ซื้อยามารับประทานตามที่พวกเราบอกหรือเปล่าครับ?”
กลุ่มชาวบ้านส่ายศีรษะ
ซูเย่ขมวดคิ้วหนักกว่าเก่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“อย่าพูดถึงเรื่องให้ซื้อยาเลยครับ แค่ให้ซื้อข้าวกินพวกเราก็ลำบากแล้ว”
ชาวบ้านคนหนึ่งตอบกลับมาพร้อมกับยิ้มฝืดฝืน
ว่าไงนะ?
ซูเย่กับหลี่เคอหมิงหันมองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
พวกเขาเขียนใบสั่งยาให้แล้ว แต่ชาวบ้านกลับไม่ไปซื้อยามารับประทานตามคำแนะนำ มิหนำซ้ำยังกลับมารับการตรวจจากซูเย่เป็นรอบที่สอง สุดท้ายแล้วนี่คือเรื่องอะไรกันแน่?
“เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะพูดแทนทุกคนเอง”
ผู้เฒ่าหลี่ซึ่งเป็นคนควบคุมการจัดแถวคนไข้เดินออกมาข้างหน้าพลางถอนหายใจด้วยความเศร้า “เรื่องของเรื่องก็คือชาวบ้านไม่มีเงินไปซื้อยาตามใบสั่งยาที่พวกคุณหมอเขียนให้หรอกครับ ต่อให้พวกเราไม่สบายแค่ไหน ก็มีแต่ต้องอดทนต่อไปเท่านั้น และที่พวกเขากลับมาให้คุณหมอตรวจซ้ำอีกครั้ง ก็เพราะอยากจะได้ยินคุณหมอบอกว่าพวกเขาไม่เป็นไร แล้วพวกเขาก็จะได้กลับบ้านไปอย่างสบายใจนั่นแหละ ขออภัยที่ต้องรบกวนพวกคุณหมอจริง ๆ ครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบเช่นนั้น ซูเย่กับหลี่เคอหมิงก็ต้องหันกลับไปจ้องมองกลุ่มคนไข้ที่ยืนต่อแถวยาวเหยียดอยู่เบื้องหน้าอีกครั้ง
ทุกคนส่งยิ้มให้พวกเขาด้วยความหมองหม่น
พอได้เห็นรอยยิ้มที่แสนเศร้าเหล่านั้น หลี่เคอหมิงกับซูเย่ก็พลอยรู้สึกเศร้าใจไปด้วย
เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่ผู้เฒ่าหลี่พูดออกมาเป็นความจริงทุกประการ
แต่ในทันใดนั้นเอง
เปลวไฟสีแดงพลันลุกโชนขึ้นจากพื้นที่ห่างไกล ควันไฟสีดำม้วนตัวตลบขึ้นสู่ท้องฟ้ายามเย็น
“ไฟไหม้!”
เสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตกใจดังลอยมาตามสายลม
กลุ่มชาวบ้านที่ต่อแถวเข้าคิวรอรับการตรวจจากซูเย่มีสีหน้าแปรเปลี่ยนไปทันที พวกเขาหันหน้าไปจ้องมองยังทิศทางที่เป็นต้นเพลิง
อากาศแห้ง มีลมแรง ย่อมเกิดเหตุอัคคีภัยได้อย่างง่ายดาย!
ชาวบ้านทุกคนรีบวิ่งกลับบ้านของตนเอง คว้าถังพลาสติกมาตักน้ำอย่างชุลมุนวุ่นวาย เตรียมตัวช่วยกันไปดับไฟ
ซูเย่กับหลี่เคอหมิงหันมองหน้ากัน ก่อนจะรีบลุกขึ้น และวิ่งไปดูสถานที่ซึ่งเป็นต้นเหตุของอัคคีภัยในครั้งนี้
เมื่อพวกเขาไปถึงที่เกิดเหตุ ซูเย่ก็พบว่าไฟกำลังลุกไหม้บ้านหลังหนึ่ง
ชาวบ้านจำนวนมากนำถังน้ำ กะละมัง และกระป๋องพลาสติกทุก ๆ อย่างที่ใช้เป็นอุปกรณ์ตักน้ำได้วิ่งเข้าไปสาดน้ำเพื่อดับไฟ แต่โชคร้ายเหลือเกินที่เปลวไฟลุกโชนด้วยความรุนแรงมากเกินไป ยิ่งสาดน้ำเข้าไปเท่าไหร่ เปลวไฟก็ยิ่งโหมไหม้รุนแรงมากขึ้นเท่านั้น
ขณะนี้ทุกคนต่างมีอาการตื่นตระหนก วิ่งดับไฟกันพัลวัน
“คุณยายเจ้าของบ้านอยู่ที่ไหน? แล้วหลานชายที่อยู่กับคุณยายล่ะ?”
“พวกเขายังติดอยู่ในบ้านหรือเปล่า?”
“มีคนติดอยู่ในบ้าน!”
ได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความตื่นตระหนกดังขึ้น “มีคนติดอยู่ในบ้าน แต่บ้านกำลังจะถล่มลงมาแล้ว!”
เมื่อได้ยินเสียงตะโกนนั้น สีหน้าของทุกคนก็ยิ่งร้อนใจมากกว่าเดิม
ชายหนุ่มในหมู่บ้านกลุ่มหนึ่งพยายามจะฝ่าม่านไฟเข้าไปช่วยคนออกมาจากในตัวบ้าน แต่เปลวไฟลุกไหม้รุนแรงมากเกินไป พวกเขาไม่สามารถฝ่าอุณหภูมิร้อนสูงเข้าไปด้านในได้เลย
ไม่มีใครสามารถทำอะไรได้อีกแล้ว นอกจากยืนดูไฟนรกลุกไหม้ต่อไปด้วยความร้อนแรง
แต่แล้วกลับมีร่างของใครคนหนึ่งวิ่งฝ่าเปลวไฟเข้าไปด้านในตัวบ้าน
“นั่นอะไรน่ะ?”
กลุ่มชาวบ้านถึงกับผงะทันทีที่เห็นภาพนั้น
“ใครวิ่งเข้าไป? เมื่อกี้มีคนวิ่งเข้าไปใช่ไหม?”
“คุณหมอวิ่งเข้าไปล่ะ คุณหมอวิ่งเข้าไปช่วยคนแล้ว!”
ชาวบ้านยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นเมื่อได้ยินว่าผู้ที่วิ่งฝ่าเปลวไฟนรกเข้าไปช่วยเหลือผู้คน กลับกลายเป็นคุณหมอหนุ่มคนดีที่มาช่วยรักษาโรคให้พวกเขาฟรี ๆ นั่นเอง
หลี่เคอหมิงซึ่งยืนอยู่นอกวงชาวบ้าน รีบหยิบโทรศัพท์ออกมากดหมายเลข 119 โดยเร็วไว
“กำแพงกันภัย เปลวไฟขจัดพ้น!”
ในจังหวะที่พุ่งตัวเข้าไปในกองไฟนั้น ซูเย่ก็ร่ายคาถาออกมาด้วยความรวดเร็ว
ทันใดนั้นรอบกายชายหนุ่มก็มีม่านพลังปรากฏขึ้นมาเป็นกำแพงกึ่งโปร่งแสง ไม่ว่าเขาเคลื่อนที่ผ่านไปตรงจุดไหน เปลวไฟที่กำลังลุกไหม้ก็จะแหวกออกทันที
“คาถานี้สามารถใช้ได้แค่ 10 วินาทีเท่านั้น”
ซูเย่รู้ดีถึงข้อจำกัดในการใช้คาถา
เขามีเวลาแค่ 10 วินาทีในการช่วยชีวิตผู้คน
ซูเย่วิ่งเข้าไปตรวจค้นในตัวบ้านอย่างรวดเร็ว และเขาก็พบกับคนสองคนที่นั่งกอดกันกลมอยู่บริเวณมุมห้อง
เด็กชายตัวน้อยกำลังกอดคุณยายด้วยความหวาดกลัวสุดชีวิต
คุณยายจ้องมองเปลวไฟที่กำลังลุกลามเข้ามาใกล้ตัวด้วยความหมดหวัง
แต่แล้วซูเย่ก็กระโจนออกมาจากกำแพงไฟในวินาทีนั้น
“กำแพงกันภัย เปลวไฟขจัดพ้น!”
เขาร่ายคาถาครอบคลุมร่างกายของหญิงชรากับหลานชายตัวน้อย
หลังจากนั้น ซูเย่ก็แบกหญิงชราขึ้นหลัง ส่วนเด็กชายเขาอุ้มอยู่ในอ้อมแขนข้างหนึ่ง
“พวกเราไปกันเถอะครับ!”
ชายหนุ่มวิ่งตรงไปที่ประตูหน้า
“ครืน!”
บ้านทั้งหลังพังถล่มลงมาแล้ว
แต่นั่นเป็นหนึ่งวินาทีหลังจากที่ซูเย่ช่วยเหลือหญิงชรากับหลานชายออกมาได้สำเร็จ
“เฮือก!”
ทุกคนอดถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกไม่ได้เมื่อพบว่าเหตุการณ์ที่สุดแสนระทึกใจนั้นผ่านพ้นไปด้วยดี
สายตาที่ชาวบ้านมองดูซูเย่ยิ่งเพิ่มความเคารพเทิดทูนมากกว่าเดิมอีกหลายเท่า
คุณหมอหนุ่มคนนี้ช่างเป็นคนที่กล้าหาญจริง ๆ
ชาวบ้านหลายคนรีบมารับตัวคุณยายกับหลานชายไปดูแลต่อจากซูเย่
“เธอไม่เป็นไรใช่ไหม?”
หลี่เคอหมิงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาพร้อมกับถังน้ำในมือ “รีบเอาน้ำราดตัวดับความร้อนก่อนเถอะ เดี๋ยวร่างกายจะร้อนมากเกินไป”
“ไม่เป็นไรครับ”
ซูเย่ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
ได้ยินดังนั้นทุกคนก็โล่งใจได้อย่างเต็มที่ เพราะนี่เท่ากับว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บจากเหตุไฟไหม้ในครั้งนี้
แต่ในทันใดนั้น
เปลวไฟกลับลุกโชนขึ้นมาอีกครั้ง
“แย่แล้ว”
ชาวบ้านคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านข้างส่งเสียงร้องตะโกน “ไฟลามไปที่ทุ่งข้าวโพดแล้ว ลมแรงขึ้นด้วย พวกเราจะทำยังไงกันดี!”
ได้ยินดังนั้น
ชาวบ้านที่เพิ่งจะถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ไม่กี่นาที ก็ต้องกลับมาตกอยู่ภายใต้ความตื่นตระหนกอีกครั้ง
บรรยากาศแห่งความวุ่นวายโกลาหลกลับคืนมา
กลุ่มชาวบ้านรีบวิ่งไปที่ทุ่งข้าวโพดด้วยความร้อนรน
หากทุ่งข้าวโพดถูกไฟไหม้ ผลผลิตที่พวกเขากำลังจะเก็บเกี่ยวได้ ก็จะสลายหายไปในพริบตา!
“พวกเรารีบช่วยกันดับไฟ เร็วเข้า”
ขณะนี้ ชาวบ้านต้องรีบวิ่งกลับไปตักน้ำใส่ขัน ใส่ถัง ใส่กะละมัง เพื่อนำมาดับไฟในทุ่งข้าวโพด
“วูบ…”
แต่สายลมยามฤดูใบไม้ร่วงกรรโชกตัวรุนแรงเหลือเกิน
ยิ่งลมแรงมากเท่าไหร่ เปลวไฟก็ยิ่งโหมไหม้มากขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียว เปลวไฟก็ลุกลามไปเป็นบริเวณกว้าง
ทุ่งข้าวโพดเปลี่ยนสภาพกลายเป็นทะเลเพลิง
ชาวบ้านยังคงพยายามทุกวิถีทางที่จะดับไฟให้ได้
แม้แต่ผู้หญิงกับคนแก่ก็ต้องแบกถังน้ำมาช่วยดับไฟแล้วเช่นกัน
เพราะทุ่งข้าวโพดแห่งนี้เป็นแหล่งอาหาร และรายได้หลักของพวกเขา
ด้วยความที่มีฐานะยากจน
ชาวบ้านที่นี่ไม่มีเงินแม้แต่จะไปซื้อยาสมุนไพรมารับประทาน
แล้วพวกเขาจะเอาเรี่ยวแรงที่ไหนมาช่วยกันดับไฟได้สำเร็จ!
เสียงการปะทุตัวของเปลวไฟยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
เปลวไฟยังคงขยายอาณาเขตลุกลามในวงกว้างมากขึ้นเรื่อย ๆ
เปรี๊ยะปร๊ะ …
เสียงของต้นข้าวโพดที่ถูกไฟไหม้ดังออกมาเหมือนจะเป็นการหัวเราะเยาะชาวบ้านผู้โชคร้าย
เปลวไฟยิ่งลุกไหม้ก็ยิ่งร้อนแรง
ควันไฟสีดำลอยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้า ชาวบ้านจำนวนมากสำลักควันไฟน้ำหูน้ำตาไหล
ชาวบ้านบางส่วนพยายามขุดร่องดินเพื่อสร้างเขตแนวกันไฟ แต่มันก็ช้าเกินไป เปลวไฟลุกลามเกินควบคุมแล้ว
เริ่มมีเสียงร้องไห้ด้วยความหมดหวังดังขึ้นในบรรยากาศ
ทันใดนั้น ซูเย่ที่กำลังช่วยชาวบ้านหิ้วถังน้ำมาดับไฟ ก็วางถังน้ำลงกับพื้นดิน
เปลวไฟรุนแรงมากเกินไป ใช้ถังน้ำเพียงเท่านี้ ไม่มีทางดับไฟได้เด็ดขาด
เขาจ้องมองอาณาเขตไฟไหม้ที่ขยายวงกว้างไม่หยุดยั้ง
ซูเย่สูดหายใจลึก
“ไม่มีทางเลือกแล้วสินะ”
“เอาวะ!”
แววตาของชายหนุ่มพลันเป็นประกายมุ่งมั่น
ดวงตาของซูเย่จับจ้องไปยังเนินเขาที่อยู่ใกล้เคียงลูกหนึ่ง
แล้วเขาก็รีบสับเท้าวิ่งตรงไปยังเนินเขาแห่งนั้นโดยไม่ลังเล