ตอนที่ 51 หญิงสาวอ่อนโยน

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 51 หญิงสาวอ่อนโยน

เมื่ออันหลิงเกอเห็นใบหน้าของผู้ที่ทำให้ปี้จูต้องหมดสติไป ก็เอ่ยถามออกมาด้วยความโกธรเคืองขึ้นว่า “นี่ท่านทำอันใดลงไป ? ”

อันหลิงเกอรีบยื่นมือออกไปประคองปี้จูแล้วพานางมานั่งลงบนเก้าอี้ จากนั้นถึงได้ชายตาขึ้นมองคนที่อยู่เบื้องหน้า ด้วยใบหน้าที่มีร่องรอยความโกรธปรากฏขึ้น

ดวงตากลมดำราวกับคริสตัลเป็นประกายเต็มไปด้วยความโกรธ ขับให้แก้มขาวนั้นแดงขึ้น และริมฝีปากที่แดงโดดเด่นยิ่งกว่าเดิม ถ้าบอกว่าปกติอันหลิงเกอก็งดงามจนใครก็ละสายตาไปนางไปมิได้แล้วนั้น อันหลิงเกอในเวลาโกรธนี้กลับดูงดงามยิ่งกว่าเดิมเสียอีก

 เมื่อได้ฟังคำเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอันโมโหของอันหลิงเกอแล้ว รอยยิ้มเจ้าเล่ห์พราวเสน่ห์หยักขึ้นตรงริมฝีปาก จากนั้นก็เดินเข้ามาใกล้อันหลิงเกอมาขึ้น แล้วกล่าวถ้อยคำหยอกล้อออกไป

“ข้าก็มาดูว่าที่ฮูหยินของตนเอง”

จากนั้นเขาก็ยกขอบเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ ด้วยท่าทีผ่อนคลายราวกับห้องนี้เป็นห้องของตน

เมื่ออันหลิงเกอเห็นท่าทางเยี่ยงนี้ของมู่จวินฮานก็หัวเราะอย่างโกรธเคืองกับท่าทีที่ไร้ยางอายของเขา แล้วกล่าวเยาะเย้ยออกมา

“คิดมิถึงว่ามู่ซื่อจื่อจะเป็นคนทำอันใดผิดศีลธรรมเยี่ยงนี้ แอบเข้ามาในห้องส่วนตัวของสตรีในเวลากลางวันแสก ๆ เช่นนี้ คิดว่าตัวเองเป็นลูกผู้ลาภมากดีคิดจะทำหยามเกียรติผู้ใดก็ได้รึเจ้าคะ ? “

มู่จวินฮานที่ได้ฟังคำกล่าวของอันหลิงเกอกลับมิหวั่นไหวและมิโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม เขากลับยกยิ้มออกมาอย่างมีความสุข ดวงตาหงส์เรียวยาวจ้องมองมาที่อันหลิงเกอ ทำราวกับมิได้ยินสิ่งที่อันหลิงเกอกล่าวว่าตน แล้วกล่าวตอบไปว่า “ข้ากับลูกผู้ลาภมากดีที่หยามเกียตริผู้อื่นนั้นแตกต่างกัน ”

มู่จวินหานกล่าวด้วยท่าทีจริงจัง

“ลูกผู้ลาภมากดีผู้นั้นพอเห็นดอกไม้ก็เก็บ แต่ข้าต้องการแค่ดอกไม้เพียงดอกเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเจ้า”

คำรักกึ่งแทะโลมที่มู่จวินหานกล่าวออกมานั้น เป็นเหตุให้อันหลิงเกอทั้งโกรธทั้งอาย

“ถ้าเช่นนั้นมู่ซื่อจื่อคงมองผิดไปแล้ว ข้ามิใช่ดอกไม้แสนสวย แต่เป็นดอกไม้กินคน  ซื่อจื่ออยู่ให้ห่างข้าหน่อยก็ดีนะเจ้าคะ”

“มิว่าเจ้าจะเป็นดอกไม้สวยงามหรือดอกไม้กินคน  ข้าก็ถูกตาต้องใจเจ้าคนนี้เพียงคนเดียว เหตุใดเจ้าถึงชอบผลักไสข้าให้ออกห่างจากเจ้าตลอดด้วยเล่า ? ”

มู่จวินฮานมิเข้าใจเสียจริง เหตุใดอันหลิงเกอต้องค่อยผลักใสเขาอยู่ตลอดราวกับมิอยากจะแต่งงานกับเขาเยี่ยงนั้น ทั้งที่นางเป็นว่าที่ฮูหยินของเขาในอนาคตที่ชอบธรรมด้วยเหตุผล แต่กลับเย็นชาต่อเขายิ่งกว่าคนอื่นเสียอีก

เมื่อนึกถึงตอนนี้ อันหลิงเกอก็ทำทีท่าเหมือนมิได้โกรธแค่เรื่องนี้เรื่องเดียว

อันหลิงเกอเมื่อเห็นท่าทางสงสัยที่ฉายออกมาทางแววตาของมู่จวินฮาน เป็นเหตุให้นางต้องนึกย้อนถึงสาเหตุที่นางมิอยากยุ่งเกี่ยวกับเขาอีกในชาตินี้

เนื่องจากเมื่อชาติก่อนเพียงเพราะนางตกลงที่จะแต่งงานกับเขา จึงเป็นเหตุให้อี๋เหนียงและอันหลิงอีคิดฆ่านางทิ้ง ดีที่ในชาตินี้ นางคอยระมัดระวังและระแวดระวังไปทุกทาง จนในที่สุดก็ทำลายกลอุบายของสองแม่ลูกได้

แต่จู่ ๆ กลับมีอันหลิงเฉว่มาปรากฏตัวขึ้นอีก นางนั้นเสแสร้งทำมาเป็นมอบถุงเงินแก่ตน แท้ที่จริงแล้วนั้นนางต้องการที่จะแต่งงานกับมู่จวินฮานแทนตนอีกคน จึงให้ถุงเงินที่มีกลิ่นชะมด ทำให้ตนเกิดภาวะมีบุตรยาก

อันหลิงเกอพ่นลมหายใจออกมาอย่างเหนื่อยใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนาง จึงต้องการเอ่ยปัดความสัมพันธ์เลยกล่าวออกไปว่า “มู่ซื่อจื่อนั้นเป็นคนอ่อนโยนและสง่างาม จึงเป็นที่หมายปองของหญิงสาวหลายคนในเมืองหลวง  อันหลิงเกอมิกล้าเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับท่านหรอกเจ้าค่ะ เกรงว่าจะแบกรับสายตาอันคมกริบของบุตรีขุนนางสูงศักดิ์ในเมืองหลวงเอามิไหว”

“เจ้าเป็นว่าที่ฮูหยินโดยชอบธรรมของข้า งานมงคลสมรสของเราคืองานแต่งที่ฮ่องเต้

ทรงพระราชทานให้ จะมีผู้ใดยังจะมิเห็นด้วยอีก ? ”

มู่จวินฮานเอ่ยตอบกลับไปด้วยท่าทีผ่อนคลาย ในแววตาหงส์นั้นพราวเสน่ห์  ราวกับน้ำพุที่ลึกล้ำ ดึงดูดผู้คนให้จมลง

อันหลิงเกอเมื่อได้ฟังเยี่ยงนั้นเสียงเหอะออกมาอย่างมิพอใจ และมิอยากสนใจเขาอีก มิว่านางจะกล่าวอันใดออกมา มู่จวินฮานก็สามารถหาข้ออ้างที่จะมาเอ่ยหักล้างได้เสมอ

เมื่อมู่จวินฮานเห็นว่าอันหลิงเกอมีอาการข้ามิอยากสนใจเจ้า ทำเขาหมดสนุก เขาได้แต่จ้องมองท่าทีของนางในตอนนี่ราวกับลูกแมวที่มีขนชี้ฟูขึ้น เมื่อคิดได้เช่นนั้นพลันริมฝีปากก็หยักขึ้นโดยมิรู้ตัว

“ท่านมู่ซื่อจื่อมีธุระสำคัญอันใดถึงมาหาข้า ? ”

อันหลิงเกอเอ่ยถามขึ้นเมื่อเห็นว่ามีความเงียบเกิดขึ้นระหว่างเขาทั้งสองคน

เขาหยอกล้ออันหลิงเกอและกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม ใบหน้าหล่อเหลาของชายหนุ่มมีความเคร่งขรึมและสายตาที่เย็นยะเยือกแสดงออกมา

เมื่ออันหลิงเกอเห็นท่าทีที่เคร่งขรึมของเขา  ก็อดมิได้ที่จะสงสัย

จากนั้นเขาก็เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มลึกไพเราะดังเข้าหูของอันหลิงเกอ

“สามวันต่อจากนี้ จะมีงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง หากเจ้าต้องการเปลี่ยนสถานะของอันหลิงอี

 บางทีเจ้าอาจจะฉวยโอกาสตอนนี้ก็ได้”

งานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิงั้นหรือ ?

อันหลิงเกอรู้เรื่องนี้ดี  แต่เมื่อนึกถึงชาติก่อนอี๋เหนียงมักจะให้นางแกล้งป่วย  เพื่อมิให้ตนไปเข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ แต่นางกลับพาอันหลิงอีไปกับตัวเอง  เพื่อไปสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับพวกฮูหยินและคุณหนูเหล่านั้น เมื่อนึกถึงอาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นอย่างมิมีสาเหตุของนางเหล่านั้น

แววตาของอันหลิงเกอก็ฉายแววเย็นชาขึ้นมาทันที

บังเอิญโชคดีที่นางได้เรียนรู้ศาสตร์แห่งการแพทย์มา มิเช่นนั้นก็ยังมิรู้ว่าครั้งนี้อี๋เหนียงจะลงมือจัดการกับตัวเองเยี่ยงไร มิว่าจะเกิดอันใดขึ้น นางจะมิมีวันปล่อยให้อี๋เหนียงทำสำเร็จอีก

“มู่ซื่อจื่อมาหาข้าแค่เรื่องเพียงเท่านี้หรือเจ้าคะ ? ”

นางมิอยากจะเชื่อว่ามู่จวินฮานกระโดดข้ามกำแพงลอบเข้ามาหานางเพื่อกล่าวเพียงประโยคนี้

เป็นไปอย่างที่คาดการไว้ ทันทีที่นางเอ่ยปาก ดวงตาของมู่จวินหานก็แฝงไปด้วยรอยยิ้ม

“แน่นอนว่ามิใช่ ”

จู่ ๆ มู่จวินหานก็เดินเข้ามาใกล้อันหลิงเกอ ลมหายใจอันร้อนผ่าวของชายหนุ่มทำให้หลิงเกอถอยหลังไปโดยมิรู้ตัว จากนั้นมู่จวินฮานก็จับมือนางเอาไว้  จากนั้นสิ่งที่เขากล่าวออกมา เป็นเหตุให้อันหลิงเกอรู้สึกตกตะลึงงัน และอดมิได้ที่จะดึงมือของตนกลับ

รอจนมู่จวินฮานจากไป อันหลิงเกอจึงปลุกปี้จู

ปี้จูตื่นขึ้นมาอย่างสะลึมสะลือ  รู้สึกเพียงแค่เจ็บตรงลำคอ นางใช้มือลูบคลำลำคอด้วยสีหน้างุนงง แล้วเอ่ยถามอันหลิงเกอขึ้นด้วยความสงสัย

“คุณหนูเจ้าคะ เหตุใดบ่าวถึงได้มานอนอยู่ตรงนี้ได้ล่ะเจ้าคะ ? ”

เพียงครู่หนึ่งเมื่อนางตั้งสติได้ ความทรงจำของนางเริ่มหวนกลับมา  ปี้จูก็มีสีหน้าท่าทีที่เปลี่ยนไปในทันใด

“คุณหนู เมื่อกี้นี้เพิ่งมีขโมยเข้ามาใช่หรือไม่เจ้าคะ ? ”

นางจำได้ว่ามีคนเอามีดมาจ่อที่คอตัวเอง จากนั้นนางก็สลบไป

อันหลิงเกอมองแววตาที่ห่วงใยและไร้เดียงสาของปี้จู้ แล้วกล่าวปฏิเสธออกไปเพื่อให้นางสบายใจ “มิมีนี่  เจ้าแค่เพลียแล้วเป็นลมไปเพียงเท่านั้น วันหลังก็พักผ่อนให้มาก ๆ ข้ายังรอให้เจ้ามาดูแลข้าอยู่นะ”

มิมีใครมาที่นี่จริงหรือเจ้าคะ ?

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าวออกมาเช่นนั้น แววตาที่งุนงงของปี้จูหันไปทางอันหลิงเกอ แต่เหตุใดนางถึงรู้สึกว่าวันนี้คุณหนูผิดปกติไป ?

อันหลิงเกอยังคงนิ่งมิไหวติงเหมือนภูเขา

“วันนี้มิมีคนนอกมาที่นี่ เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก”

อันหลิงเกอกล่าวย้ำบอกปี้จูออกไปอีกครั้ง พร้อมกับเปลี่ยนเรื่องคุย

“ดีเลยที่อี๋เหนียงคืนโฉนดที่ดินและโฉนดบ้านเหล่านี้ให้ทั้งหมด เราถือโอกาสตอนที่ยังเช้าอยู่ ไปดูร้านค้าเหล่านั้นกัน ส่วนหมู่บ้านนอกเมืองที่อยู่ไกลเกินไปนั้นยังมิต้องไปหรอก”

เมื่อได้ฟังอันหลิงเกอกล่าว ปี้จูก็ละสงสัยที่ว่ามีบุคคลภายนอกมาที่นี่ จากนั้นก็ตามอันหลิงเกอไปขอป้ายจวนจากฮูหยินผู้เฒ่า และทั้งสองก็เปลี่ยนมาสวมเสื้อผ้าเรียบง่าย ขึ้นรถม้าและมุ่งหน้าไปที่ถนนฉางอาน

ถนนฉางอานพลุกพล่านคึกคักไปด้วยผู้คน  มีร้านค้าเรียงรายมากมายอยู่สองข้างทาง แผงขายของต่าง ๆ มากมายริมถนน พ่อค้าแม่ค้าต่างส่งเสียงร้องตะโกนขายของ  หญิงสาวพูดคุยต่อกระซิบเล่นกันในร้านเครื่องประดับ เด็ก ๆ ถือกังหันลมของเล่นวิ่งไปมา นักกายกรรมกำลังแสดงกวัดแกว่งดาบ และขวานไปมา

เสียงเจื้อยแจ้วมากมายดังเข้าหูของอันหลิงเกอ เป็นเหตุให้อันหลิงเกอรู้สึกตื่นตาตื่นใจมิน้อย

จนเผยรอยยิ้มหยักตรงมุมปากออกมาอย่างมีความสุข แต่จู่ ๆ ก็มีเสียงกรีดร้องเสียงแหลมดัง  จากนั้นรถม้าก็หยุดลงอย่างกะทันหัน