บทที่ 90: คำสอนของผู้อาวุโส

ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END

บทที่ 90: คำสอนของผู้อาวุโส

โรเอลรู้สึกถึงความขัดแย้งบางอย่างภายในใจ หากจะพูดให้ถูก คำว่าอับอายน่าจะเหมาะสมกว่า? นี่คงเป็นความรู้สึกเดียวกันกับเด็กที่เพิ่งได้รู้ว่าพ่อของเขาแอบเป็น VTuber[1]​ สาว

การอุปมาอุปมัยอาจจะดูสมจริงเกินไปหน่อย แต่ความรู้สึกอับอายที่โรเอลรู้สึกในขณะนี้นั้นใกล้เคียงกันกับกรณีดังกล่าวอย่างแน่นอน!

「9 มีนาคม วันนี้มีแดดจัด

ในวันนี้ วิกตอเรียสวมชุดของแม่ชี รักษาบาดแผลให้กับเด็ก ๆ เธอน่ารักมาก แม้ว่าขนาดทรวดทรงของเธอจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงเลยตลอดสามปีที่ผ่านมาก็ตาม 」

โรเอลจ้องมองไปยังชายผู้กำลังเขียนบันทึกอันบัดสีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรังเกียจ ราวกับว่าเขากำลังมองดูเศษขยะที่ต่ำตมที่สุดในสังคม จนสงสัยว่าเขาควรจะถ่มน้ำลายใส่อีกฝ่ายเพื่อแสดงความดูถูกหรือไม่

“อา เรื่องนี้ ฮ่าฮ่าฮ่า… มันเป็นค่าใช้จ่าย สำหรับคาถาเวทของข้า เจ้าอย่าไปสนใจมันเลย”

เมื่อสังเกตเห็นแววตาดูถูกเหยียดหยามของโรเอล พอนเต้ผู้เขินอายก็รีบอธิบายแก้ตัวอย่างรวดเร็ว

เส้นทางวิวัฒนาการของพอนเต้ คือ ผู้บันทึกเรื่องราว คุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด ภูมิปัญญา จากอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนล มันเป็นนวัตกรรมทางคาถาเวทของสมาคมเวทหกแฉก ที่ทำให้พอนเต้สามารถต่อกรกับศัตรูของเขาได้อย่างใจเย็นในสนามรบราวกับว่าสามารถควบคุมสถานการณ์ทั้งหมดเอาไว้ได้

ทว่าพลังอันแข็งแกร่งนั้นก็ต้องแลกมาด้วยราคาอันขมขื่น คือเขาต้องคอยจดบันทึกอันน่าอับอายผิดศีลธรรมนี้

ที่เลวร้ายยิ่งไปกว่านั้นก็คือ เขาต้องเขียนมันต่อหน้าต่อตาคนอื่น และไม่ได้รับอนุญาตให้ทำลายบันทึกที่เขียนไป

ในอดีต พอนเต้มักจะเขียนมันต่อหน้าวิกตอเรียผู้เป็นศิษย์ ทำให้เธอรู้ถึงจุดอ่อนของเขา โชคดีที่วิกตอเรียเป็นคนประเภทที่แม้จะดูแข็งกร้าว แต่ภายในนั้นอ่อนโยน อีกทั้งยังชื่นชอบพอนเต้ ดังนั้นเขาจึงสามารถไว้วางใจเธอเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ว่าอีกฝ่ายจะไม่เอามันไปแพร่งพรายที่ไหน

เมื่อได้ฟังความทุกข์ใจของพอนเต้ โรเอลก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงสมุดบันทึกทั้งหมดที่ตัวเองพบในคฤหาสน์เขาวงกต ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเห็นอกเห็นใจบรรพบุรุษของตนเป็นอย่างมาก พอนเต้คงไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าบันทึกอันน่าอับอายของเขาจะได้รับการปกป้องอย่างปลอดภัยเอาไว้ในห้องสมุดแห่งนี้ แม้ว่าจะผ่านไปกว่าร้อยปีแล้วก็ตาม

หลังจากจบการสนทนาลง โรเอลและพอนเต้ก็พักดื่มชาให้เรียบร้อย ก่อนจะกลับไปหาวิกตอเรียและนอร่า น่าแปลกใจที่พวกเขาได้ยินบทสนทนาบางอย่างที่ไม่ดีสักเท่าไหร่

“อันที่จริง ข้าเองก็ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรมากเช่นกัน”

“เฮอะ การหวังให้พวกเขาเคลื่อนไหวด้วยตัวเอง ไม่ต่างอะไรไปจากการหวังให้หมูบินได้หรอกนะ ฟังข้าให้ดี เจ้าต้องใช้กำลังบังคับ… อา พวกเจ้ากลับมาแล้วสินะ”

เมื่อชายทั้งสองของตระกูลแอสคาร์ดเดินกลับเข้ามาในห้อง วิกตอเรียก็รีบหยุดคำสอนของเธอพร้อมยิ้มให้กับทั้งคู่ แต่ทั้งพอนเต้และโรเอลต่างก็รู้สึกได้ถึงเหงื่อเย็น ๆ ไหลผ่านกระดูกสันหลังของพวกเขาไป

“พวกเจ้าสองคนคุยเรื่องอะไรกันน่ะ?”

“ไม่มีอะไรมากหรอก… ก็แค่เรื่องอนาคตเกี่ยวกับสายเลือดของพวกเรา”

คำตอบของวิกตอเรียทำให้นอร่าหน้าแดงก่ำ ส่วนโรเอลและพอนเต้ ก็ตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับสิ่งที่ตนเองได้ยินอีกครั้ง

ใช่แล้ว พวกเราคงหูฝาดกันไปเอง ไม่มีทางที่สมาชิกราชวงศ์ผู้สูงส่งจะเสียเวลาอันมีค่ามาพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องธรรมดา ๆ เช่นนั้นแน่!

โรเอลคิดกับตัวเองด้วยรอยยิ้ม ส่วนพอนเต้ก็ทำใจให้สงบ

อีกไม่นานก็จะถึงเวลาอาหารกลางวันแล้ว แน่นอนว่าวิกตอเรียและพอนเต้อยากจะทานอาหารดี ๆ กับญาติที่พวกเขาเพิ่งจะได้พบ แต่ด้วยความที่พวกเขากำลังอยู่ในช่วงสงคราม มันจึงไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะหาอาหารอันหรูหรามาวางบนโต๊ะ แต่พวกเขาก็มีอาหารมากพอที่จะเติมเต็มให้เด็ก ๆ ทั้งสองคนอิ่มท้องได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับโรเอลที่ได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้

พวกเขาพูดคุยกันอย่างเป็นกันเองระหว่างรับประทานอาหาร ซึ่งโรเอลก็มีโอกาสที่จะได้ถามวิกตอเรียเกี่ยวกับเหตุผลของเธอในการต่อต้านองค์ชายเวต น่าแปลกใจมากที่แรงจูงใจของเธอไม่ใช่ความเมตตาอันยิ่งใหญ่ต่อมนุษยชาติ หรือเหตุผลอันชอบธรรมอื่น ๆ กลับกันแล้ว เธอมีเหตุผลที่ชัดเจนและเข้าใจได้ง่ายอยู่เบื้องหลัง

หากจะให้อธิบายง่าย ๆ ก็คือ องค์ชายเวตนั้นมีความฝันที่จะสร้างอาณาจักรขนาดใหญ่คล้ายคลึงกับจักรวรรดิออสทีนโบราณในอดีตเพื่อรวมขุมกำลังของมนุษยชาติ เพื่อต่อสู้กับภัยคุกคามจากภายนอก แต่ วิกตอเรียคิดว่าโอกาสที่มันจะสำเร็จได้นั้นน้อยเกินไป

“จักรวรรดิเซนต์เมซิทอาจจะแข็งแกร่งมากก็จริง แต่อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์และจักรวรรดิออสทีนเองก็ไม่ได้อ่อนแอ แม้ว่าอาณาจักรแห่งการศึกษาโบรเนลจะใกล้ชิดกับจักรวรรดิเซนต์เมซิท แต่ถ้าจักรวรรดิเซนต์เมซิทเข้ารุกรานประเทศอื่น ๆ มันก็มีโอกาสที่โบรเนลจะเปลี่ยนจุดยืนได้เช่นกัน”

“สำหรับหลักการที่เวตหวังจะหลอมรวมพวกลัทธินอกรีตเข้าสู่จักรวรรดิเซนต์เมซิทเพื่อสร้างโลกที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ข้าไม่มีข้อโต้แย้งใด ๆ เกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่วิธีการสุดโต่งของเขามันมีความเสี่ยงสูงเกินไป เวลาได้ล่วงเลยผ่านมานานมากแล้วนับจากสงครามศักดิ์สิทธิ์ครั้งล่าสุด ทำให้โอกาสที่พวกกลายพันธุ์จากทางตะวันตกของทวีปเซียจะหวนกลับมารุกรานอีก มีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในทุก ๆ ปี หากริเริ่มทำสงครามตอนนี้ มันก็มีแต่จะลดความแข็งแกร่งโดยรวมของมนุษยชาติเท่านั้น”

“แม้ข้าจะไม่อยากเห็นโศกนาฏกรรมที่เกิดกับมารดาของข้าไปเกิดขึ้นกับคนอื่น แต่ข้าเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงควรจะค่อย ๆ ทำไปทีละขั้น เราควรเริ่มต้นด้วยการหลอมรวมกลุ่มผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่ไม่มีศาสนาเข้าด้วยกันก่อนจะไปหาพวกนอกรีต แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงจากภายในอาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็สามารถลดความเสี่ยงและความเสียหายให้น้อยลงได้”

หลังจากได้ยินจุดยืนของวิกตอเรีย โรเอลก็รู้สึกว่ามันยากสำหรับเขาที่จะประเมินถึงจุดยืนของเธอ วิกตอเรียและเวตดูเหมือนจะมีเป้าหมายคล้าย ๆ กันอยู่ในใจ แต่วิธีการที่พวกเขาเลือกนั้นกลับต่างกันออกไป วิกตอเรียเป็นบุคคลที่มีหัวคิดอนุรักษ์นิยมมากกว่า ในขณะที่เวตเป็นนักปฏิวัติ ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาถึงขัดแย้งไม่ลงรอยกันในท้ายที่สุด

นอกจากนี้ ความกังวลของวิกตอเรียเกี่ยวกับการบุกรุกทวีปเซียของพวกกลายพันธุ์ก็เกิดขึ้นจริง ๆ อย่างที่เธอได้คิดเอาไว้ เพียงแต่มันเกิดขึ้นหลังจากนี้หนึ่งศตวรรษต่อมา เธออาจจะพูดถูกแต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นซะทีเดียว

เมื่อหันมองไปทางวิกตอเรียและพอนเต้ โรเอลก็อดคิดไม่ได้ว่า โลกนี้ที่เขาอยู่คืออะไรกันแน่? เขาและนอร่าย้อนกลับมาในอดีตจริง ๆ งั้นหรือ?

โดยส่วนตัวแล้ว โรเอลไม่เชื่อเรื่องการเดินทางข้ามเวลา เนื่องจากมันมีความขัดแย้งมากมายที่อาจจะเกิดขึ้นหากมีการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ แต่เด็กชายนั้นเชื่อเรื่องจักรวาลคู่ขนาน หากมีใครย้อนเวลากลับไปในอดีตเพื่อเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ แทนที่จะบอกว่าเขาได้เปลี่ยนอดีตไปแล้ว มันก็จะกลายเป็นการสร้างจักรวาลคู่ขนานอีกแห่งขึ้นมาเสียมากกว่า

บางทีเขาอาจจะกำลังอยู่ภายในภาพลวงตาคล้าย ๆ กับความฝันรึเปล่า?

นี่เป็นคำอธิบายที่ตรงที่สุดเท่าที่โรเอลจะคิดได้ แต่เมื่อลองพิจารณาเพิ่มเติมดูแล้ว เด็กชายรู้สึกว่านั่นอาจจะเป็นความคิดที่เรียบง่ายเกินไป เนื่องจากเขามีหลักฐานมากมายที่จะยกเลิกแนวคิดนั้น ยกตัวอย่างเช่น วิกตอเรียและพอนเต้ต่างก็สมจริงเกินกว่าจะเป็นเพียงเศษเสี้ยวของความฝัน

สิ่งที่โรเอลคิดว่าน่าจะเป็นไปได้มากกว่า ก็คือเขาถูกส่งตัวมายังโลกมิติอิสระที่แสดงภาพเหตุการณ์​ในประวัติศาสตร์ ชวนให้นึกถึงโลกในกระจก

ด้วยทฤษฎีดังกล่าว พลังสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ด เปรียบเสมือนตั๋วเข้าสู่โลกใบนี้ ทำให้โรเอลเป็นเหมือนผู้เฝ้ามองจุดเปลี่ยนที่สำคัญของโลก ไม่ก็จิตวิญญาณอันไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคของบุคคล หรือความจริงบางอย่างที่ซ่อนอยู่ในบันทึกประวัติศาสตร์ แม้เด็กชายจะไม่รู้แน่ชัดว่ามันคืออะไร แต่นี่เป็นหน้าที่ของเขาที่จะต้องเฝ้ามองเรื่องทั้งหมดนี้

โรเอลรู้สึกว่าประสบการณ์อันไม่เหมือนใครนี้จะกลายเป็นแรงผลักดันที่ประเมินค่าไม่ได้สำหรับการเติบโตของเขาและนอร่าในอนาคต ทั้งในแง่ของวุฒิภาวะและพลังเหนือธรรมชาติ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือพวกเขาจะต้องเอาชนะภัยอันตรายของที่นี่ให้ได้เสียก่อน

เด็กชายพอจะเข้าใจได้แล้วว่าทำไมผู้นำตระกูลทั้งสองรุ่นก่อนถึงไม่สามารถอธิบายพลังทางสายเลือดของตระกูลแอสคาร์ดให้ใครเข้าใจได้ แม้จะได้ประสบกับมันเป็นการส่วนตัวแล้วก็ตาม

เพราะโรเอลเองก็คงไม่สามารถถ่ายทอดประสบการณ์ของเขาออกมาเป็นคำพูดได้อย่างเหมาะสมเช่นกัน มันค่อนข้างคล้ายกับเกมที่เขาเคยเล่นในชาติก่อน ที่จะมีเหตุการณ์บางอย่างพาผู้เล่นกลับไปสู่ยุคในประวัติศาสตร์เพื่อทำความเข้าใจเบื้องหลังของโลกให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น แต่นั่นก็อาจจะไม่ใช่ซะทีเดียว

โรเอลยังคงกินต่อไปพลางคิดไตร่ตรองถึงเรื่องนี้ จังหวะนั้นเอง จู่ ๆ วิกตอเรียก็ทิ้งระเบิดใส่เขา

“ในเมื่อพวกเจ้าอยู่ที่นี่แล้ว พวกเราก็จะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องพวกเจ้า การต่อสู้มีแนวโน้มว่าจะรุนแรงขึ้นไปอีกในสองวันข้างหน้า แต่พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลไป พวกเราจะส่งคนมาคุ้มครองพวกเจ้าให้ปลอดภัยเอง”

“การต่อสู้? ทำไมล่ะ?”

โรเอลและนอร่าต่างประหลาดใจกับคำพูดของวิกตอเรีย ตามบันทึกในประวัติศาสตร์แล้ว กองทัพของวิกตอเรียจะยังคงซ่อนตัวอยู่ในคฤหาสน์เขาวงกตต่อไปจนกระทั่งพระสังฆราชไรอันเดินทางกลับมาเพื่อกอบกู้สถานการณ์ทั้งหมด ดังนั้นพวกเขาจึงไม่คิดว่าจะมีการต่อสู้เกิดขึ้นก่อนหน้านั้นอีก

ความเงียบสงบดำเนินต่อไปครู่หนึ่ง ก่อนที่พอนเต้จะอธิบายสถานการณ์ให้พวกเขาฟังในที่สุด

ทั้งหมดเป็นเพราะพวกเขาได้ออกไปช่วยนอร่าและโรเอล การต่อสู้ครั้งใหญ่ระหว่างกองทัพของวิกตอเรียกับกองทัพของเวต ทำให้อีกฝ่ายมีโอกาสที่จะสะกดรอยตามทหารของพวกเขามาได้

ด้วยเหตุนี้ ช่วงหลายวันที่ผ่านมากองทัพของเวตจึงมีความคืบหน้าอย่างมากในการตามหาตัว คฤหาสน์เขาวงกต ด้วยความเร็วดังกล่าว การต่อสู้จึงน่าจะเกิดขึ้นในวันพรุ่งนี้

มันเป็นข่าวอันน่าตกใจที่ทั้งโรเอลและนอร่าต่างก็ไม่คาดคิดว่าสิ่งต่าง ๆ จะกลายมาเป็นแบบนี้ แต่มันก็สมเหตุสมผลพอสมควร

“พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องโทษตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ ข้ากับพอนเต้ได้ตัดสินใจไปแล้วแม้จะรู้ว่ามันเสี่ยงแค่ไหน หากพวกเราแพ้ในการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเจ้าจะต้องหนีไปซ่อนตัวให้แนบเนียน เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์นั้นกว้างใหญ่เพียงพอสำหรับการซ่อนตัวอยู่แล้ว ตราบใดที่พวกเจ้าใช้อุปกรณ์เวทปกปิดตำแหน่งเอาไว้ พวกเจ้าก็น่าจะสามารถหลบหนีการตรวจจับของเวตไปได้ในระยะสั้น ๆ”

วิกตอเรียพูดด้วยน้ำเสียงที่สุขุมและอ่อนโยน ซึ่งพอนเต้ก็เห็นด้วยกับความคิดเห็นของเธอ ด้วยทัศนคติของพวกเขาในตอนนี้ เห็นได้ชัดว่าทั้งคู่ไม่มีความมั่นใจว่าตัวเองจะชนะการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น สิ่งที่พวกเขากังวลก็คือ โรเอลและนอร่าอาจจะขอยืนกรานอยู่ที่นี่เพราะวัยที่กำลังเลือดร้อน ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่พวกเขาต้องการหลีกเลี่ยงมากที่สุด

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา เห็นได้ชัดว่าทั้งโรเอลและนอร่าต่างก็มีพรสวรรค์อันยอดเยี่ยม เด็ก ๆ ทั้งสองมีศักยภาพมากพอที่จะแซงหน้าพวกเขาไปได้ในอนาคต วิกตอเรียและพอนเต้จึงไม่อยากจะเสียเด็ก ๆ ทั้งสองคนไปในการต่อสู้ครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของทั้งตระกูลพวกเขาและจักรวรรดิเซนต์เมซิทอย่างใหญ่หลวง

ทว่าโรเอลและนอร่าไม่ได้ตอบสนองต่อคำแนะนำของวิกตอเรียและพอนเต้ในทันที

ไม่นานการรับประทานอาหารกลางวันก็จบลง วิกตอเรียและพอนเต้ต่างก็ออกไปจัดระเบียบกองทหาร เตรียมพวกเขาให้พร้อมสำหรับการสู้รบที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่วนโรเอลและนอร่าก็กลับมาที่ห้องเพื่อพักผ่อน ใช้ช่วงเวลาอันเงียบสงบนี้อย่างเต็มที่ ทบทวนสิ่งที่พวกเขาได้ยิน

【เวลานับถอยหลังสู่จุดสิ้นสุดของสถานะผู้เฝ้ามอง : 32 ชั่วโมง 45 นาที】

โรเอลเปิดดูการแจ้งเตือนของระบบ และเห็นว่าเขาเหลือเวลาอีกเพียงหนึ่งวันกับอีกครึ่งวันเท่านั้น ก่อนที่สถานะผู้เฝ้ามองจะสิ้นสุดลง หากพวกเขาเลือกที่จะตั้งรับล่ะก็ ทั้งสองน่าจะซื้อเวลาได้เพียงพอสำหรับการเอาชีวิตรอด แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่โรเอลคิดจะทำ

ผู้เฝ้ามอง ผู้แสวงหาราชา กรันด้า ความก้าวหน้าในการปลุกพลังสายเลือดของเขา… มีหลายสิ่งหลายอย่างถูกเดิมพันไว้ที่นี่ สิ่งเหล่านั้นได้ทำให้โรเอลรู้สึกว่าเขาไม่ควรคิดที่จะหนี

สถานการณ์ความเป็นความตายทั้งสองครั้งที่เขาได้เผชิญมา เปลี่ยนผลการประเมินของเขาอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งทำให้เด็กชายตระหนักได้ว่าเขาต้องละทิ้งบางสิ่งบางอย่างเพื่อที่จะได้รับบางสิ่งบางอย่างกลับมา

【การประเมินอย่างละเอียด : สูง (87 %)】

โรเอลมองไปที่ตัวเลขการประเมินที่เพิ่มขึ้นมาอย่างมาก ไม่จำเป็นต้องพูดว่าเด็กชายมีความสุขกับมันแค่ไหน ทว่ามีประเด็นหนึ่งที่เขาคิดว่าจำเป็นจะต้องได้รับการชี้แจง

“ระบบ เป็นไปได้ไหมที่ผลการประเมินจะลดลง?”

【การประเมินของระบบจะเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องตามการกระทำของผู้ใช้ มันจึงเป็นไปได้ที่ผลการประเมินของผู้ใช้จะลดลง】

การตอบสนองของระบบทำให้โรเอลสะดุ้งเล็กน้อย ความจริงที่ว่ามันเป็นไปได้สำหรับเขาที่ผลการประเมินจะลดลง ย่อมหมายความว่าการหลบหนีนั้นไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไปแล้ว

มันไม่ง่ายเลยสำหรับเด็กชายที่จะเพิ่มผลการประเมินให้มาถึงจุดนี้ได้ โรเอลคงจะต้องเสียใจไปตลอดชีวิตแน่หากเขาปล่อยให้ผลการประเมินตกลงเพียงเพราะความขี้ขลาด

ขณะที่โรเอลกำลังตัดสินใจว่าจะอยู่ต่อ เด็กชายก็รู้สึกว่าเขาควรจะบอกนอร่าให้หนีออกไปก่อน นอร่านั้นไม่ได้ต้องผ่านการประเมินเหมือนกับเขา ดังนั้นเธอไม่ควรจะต้องมารับความเสี่ยงนี้ไปด้วย

โรเอลเข้าไปหานอร่าที่ห้องของเธอเพื่อคุยเกี่ยวกับเรื่องนี้ ทว่าการตัดสินใจของนอร่ากลับไม่เป็นไปตามที่เขาคาดเอาไว้

“เธอต้องการที่จะอยู่ที่นี่งั้นเหรอ? ทำไมล่ะ? อีกไม่ถึงสองวันพวกเราก็จะได้กลับสู่โลกของเราแล้วไม่ใช่เหรอ เธอจะพาตัวเองมาเสี่ยงด้วยโดยไม่มีเหตุผลทำไมกันล่ะ!”

โรเอลไม่สามารถยอมรับความดื้อรั้นของนอร่าได้ แต่เด็กสาวก็มีตรรกะมาสนับสนุนทางเลือกของเธอเช่นกัน

“มันขัดกับหลักการและคุณสมบัติต้นกำเนิดของข้าที่จะหันหลังให้กับผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิต นอกจากนี้พวกเขาก็ยังเป็นบรรพบุรุษของข้า หากข้าทำอะไรขัดกับคุณสมบัติแก่นแท้ต้นกำเนิด มันจะส่งผลให้เกิดความขัดแย้งในพลังทางสายเลือดของข้า แล้วเจ้าเองก็อยู่ด้วยไม่ใช่เหรอ?”

“สำหรับฉันมันไม่เหมือนกัน! ฉันมีเหตุผลอยู่เบื้องหลัง…”

โรเอลบอกนอร่าเกี่ยวกับพลังทางสายเลือด หวังว่าเธอจะเปลี่ยนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่เด็กสาวยังคงแน่วแน่ไม่เปลี่ยนแปลง ด้วยสายตาอันแหลมคมในดวงตาสีไพลินนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีอะไรที่โรเอลจะสามารถพูดเพื่อเปลี่ยนความคิดของนอร่าได้

“ท่านปู่ส่งข้ามาที่นี่เพื่อเป็นสักขีพยาน มันจึงเป็นหน้าที่ของข้าที่จะต้องดูแลบรรพบุรุษจนถึงที่สุด… และข้าเองก็ไม่อยากจะแยกทางกับเจ้าด้วย”

นอร่าเอื้อมมือไปจับมือของโรเอล ความมุ่งมั่นและความอ่อนโยนในดวงตาของเธอทำให้โรเอลถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ ใบหน้าอันผิดหวังของเขาดูเหมือนจะสร้างความบันเทิงให้นอร่า ส่งผลให้เธอหัวเราะออกมาเบา ๆ พลางจิ้มแก้มของเขาอย่างซุกซน

จู่ ๆ โรเอลก็หันศีรษะไปพร้อมอ้าปากกว้าง ราวกับว่ากำลังจะกัดนิ้วของเธอ แต่แทนที่นอร่าจะดึงนิ้วกลับ เธอกลับดันมันเข้าไปใกล้เขามากขึ้นแทน

“ไม่กลัวฉันกัดเธอเหรอ?”

“เจ้าน่ะเหรอจะทำร้ายข้า? ไม่มีทางหรอก”

“ฮึ่ม มั่นใจเกินไปแล้ว”

โรเอลหันหน้าหนี เนื่องจากไม่อยากจะรับมือกับเด็กสาวซาดิสม์คนนี้ต่อ

การตัดสินใจของนอร่าที่จะปฏิบัติตามคำสั่งของพระสังฆราชจอห์นในฐานะสักขีพยาน ณ จุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์นี้ ถือได้ว่าเป็นเรื่องภายในราชวงศ์เซไซต์ ซึ่งหมายความว่าโรเอลไม่มีสิทธิ์ไปห้ามอะไรเธอได้ แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาจะต้องพานอร่าออกไปจากเรื่องนี้อย่างปลอดภัยให้ได้

ขณะที่เด็กทั้งสองในคฤหาสน์เขาวงกตกำลังยืนยันความมุ่งมั่นของพวกเขา วิกตอเรียและพอนเต้เองก็ได้จัดขบวนกองทัพของพวกเขาจนเสร็จสิ้น อีกด้านหนึ่งท่ามกลางม่านหมอก องค์ชายเวตและอัศวินของเขาก็กำลังลับคมดาบ ทุกคนต่างเตรียมการขั้นสุดท้ายสำหรับการต่อสู้ที่กำลังจะเกิดขึ้น

ราวกับความสงบก่อนพายุโหม รอคอยการมาถึงของวันใหม่

[1]​ VTuber หรือ Virtual Youtuber คือผู้สร้างสรรค์ / ครีเอเตอร์คอนเทนต์บนแพลตฟอร์มYouTube ที่ใช้ภาพดิจิทัลกราฟิกโชว์ใบหน้าและร่างกายเป็นตัวละครสมมุติ แทนการโชว์ใบหน้าคนจริง ซึ่งส่วนใหญ่ตัวละคร VTuber จะมีลายเส้นเป็นการ์ตูนอนิเมะ มีประวัติตัวละครส่วนตัว ไม่มีการเปิดเผยตัวตนที่แท้จริง