การต่อสู้ระหว่างเริ่นเสี่ยวซู่และตัวทดลองดึงดูดความสนใจคนของสมาคมตระกูลชิ่งเข้า อย่างไรเสียในการต่อสู้เข้มข้น ก็ต้องเกิดเสียงโหวกเหวกไม่น้อย ถึงทหารสมาคมตระกูลชิ่งจะหาร่องรอยของเริ่นเสี่ยวซู่ไม่เจอ พวกเขาก็ยังคงมุ่งค้นหาในป่าต่อไป
พอมีคนได้ยินเสียงว่ามีการต่อสู้เกิดขึ้น อย่างแรกที่ทำคือส่งข้อความเรียกทุกคนมารวมกลุ่มผ่านอุปกรณ์สื่อสาร
เหมือนทรายเหล็กดำที่โดนแม่เหล็กดูดมา สู่หมานนำกำลังทหารไปยังจุดที่เกิดการต่อสู้ ทว่าก็ต้องผิดหวัง เพราะพอมาถึงการการต่อสู้ก็จบลงไปแล้ว และไม่เห็นตัวเป้าหมายแล้วด้วย
ตอนแรกเข้าใจสูเสี่ยนฉู่ผิดเป็นเริ่นเสี่ยวซู่ก็หนักแล้ว ตอนนี้ยังมาหาสูเสี่ยนฉู่ไม่เจออีก สูหม่านหัวฟัดหัวเหวี่ยง
สู่หมานได้เจอเรื่องเหนือความคาดหมายซ้ำแล้วซ้ำเล่าระหว่างการทำภารกิจเช่นนี้ เป็นครั้งแรกในรอบหลายปีของเขาเลย
สู่หมานมุ่งฝ่าเข้าป่าไปอย่างลำบากลำบน พวกเขาเหยียบลงบนซากใบไม้เศษกิ่งไม้จนเกิดเสียงกรอบแกรบ สู่หมานลดแว่นตานิรภัยลง สำรวจมองไปรอบๆ ด้วยความตกตะลึง
เขาเห็นซากศพของตัวทดลองถูกของมีคมอะไรบางอย่างตัดแยกส่วน เลือดสีเหลืองอ่อนของตัวทดลองไหลนองไปทั่วพื้นไม่ได้เห็นชัดเห็นเจนอะไรนัก แต่ซากศพถูกแยกส่วนนั้นทำให้ทุกคนตะลึงพรึงเพริด
สู่หมานเอ่ย “นำส่วนต่างๆ ของร่างกายตัวทดลองมาต่อกัน จะได้รู้ว่ามีตัวทดลองที่เขาเพิ่งสู้ไปทั้งหมดกี่ตัว”
จากที่สู่หมานคาดเดา พอสูเสี่ยนฉู่ล่าถอยก็คงไปเจอกับตัวทดลองเข้า จากนั้นก็เกิดการต่อสู้ขึ้น
ตอนนี้พวกทหารเข้าไปหยิบชิ้นส่วนร่างกายของตัวทดลองมาต่อกันเรียบร้อยแล้ว
“ตัวทดลองสี่ตัว” มีคนเอ่ย “ตัวทดลองตัวหนึ่งขาดแขนไปข้าง แต่คงอยู่แถวๆ นี้”
“มีรอยรองเท้าของมนุษย์หนึ่งคน พวกตัวทดลองไม่ได้ใส่เสื้อผ้า อนุมานได้ว่าจำนวนมนุษย์ในการต่อสู้น่าจะเป็นแค่สูเสี่ยนฉู่คนเดียว” มีคนวิเคราะห์
สู่หมานพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยในช่องสื่อสารรวม “เจ้านาย พวกเราน่าจะต้องประเมินระดับความอันตรายของสูเสี่ยนฉู่ใหม่ เขาฆ่าตัวทดลองสี่ตัวได้ด้วยตัวเขาเพียงคนเดียว” สู่หม่านมองไปยังใบไม้บนพื้น แล้วว่า “แต่สูเสี่ยนฉู่ก็บาดเจ็บเหมือนกัน มีรอยเลือดอยู่”
ชิ่งเจิ่นยืนอยู่ภายใต้แสงสปอตไลต์ ที่นี่สว่างราวกับกลางวัน เขาคิดอยู่พักใหญ่ ก่อนจะกล่าว “รับมือตัวทดลองสี่ตัวได้ แถมยังฆ่าได้หมดอีกเป็นเรื่องน่าตกตะลึงมาก เลื่อนความอันตรายของสูเสี่ยนฉู่เป็นระดับ…B แล้วกัน และก็อย่าลืมเอาตัวอย่างเลือดของสูเสี่ยนฉู่กลับมาบันทึกด้วย”
“รับทราบ” สู่หมานสั่งให้คนไปเก็บตัวอย่างเลือดตามใบไม้บนพื้น
ในยุคสมัยนี้ ดีเอ็นเอที่อยู่ในเลือดสำคัญมาก
ชิ่งเจิ่นยืนเอามือไพล่หลัง ยืนนิ่งกับที่พร้อมเกิดข้อสงสัย “สูเสี่ยนฉู่กับหยางเสียวจิ่นโผล่มาแล้ว ลั่วซินอวี่ก็เปิดเผยตัวว่าเป็นสมาชิกขององค์กรผู้ก่อจลาจล แล้วเริ่นเสี่ยวซู่ล่ะ มีใครเห็นตัวเริ่นเสี่ยวซู่หรือเปล่า!”
พวกเขาไม่รู้เลยว่าเริ่นเสี่ยวซู่ทำให้สูเสี่ยนฉู่กลายเป็นแพะรับบาปได้อย่างสิ้นเชิงแล้ว ผู้มีพลังพิเศษที่ได้รับการประเมินเป็นระดับ B นั้นที่แท้ก็คือตัวเริ่นเสี่ยวซู่เองนั่นแหละ
ความอันตรายระดับ B สื่อถึงอะไร ผู้ที่ได้ประเมินเป็นระดับ B ล้วนคือผู้มีพลังพิเศษที่มีความอันตรายระดับสูงลิบ
สู่หมานตอบผ่านช่องสื่อสาร “พวกเราไม่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่เลย อาจจะเป็นไปได้ว่าเขาไม่ได้ฝ่าแนวรบที่เรากั้นไว้เข้ามา”
“ก็เป็นไปได้” ชิ่งเจิ่นพยักหน้า ถ้านึกย้อนไปที่การประเมินแรก เริ่นเสี่ยวซู่เป็นแค่ตัวอันตรายระดับ F ที่ไม่มีภัยใด กรณีนี้ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาตัดสินใจจะล่าถอย หลังเห็นว่าสมาคมตระกูลชิ่งตั้งแนวรบกั้นไว้
หลิวปู้ก็เคยพูดก่อนหน้านี้ว่าเริ่นเสี่ยวซู่ยืนกรานอยู่ตลอดให้หลบคนจากสมาคม
ชิ่งเจิ่นยิ้ม ถ้าจับเริ่นเสี่ยวซู่ได้คงดีมากเลย เขาอาจจะเป็นเบี้ยที่เอามาใช้ต่อรองกับจางจิ่งหลินในอนาคตได้
ชื่อเสียงความยึดมั่นในมิตรภาพของจางจิ่งหลินนั้นโด่งดังมากที่นอกด่าน
แต่จับตัวมาไม่ได้ก็ไม่เป็นไร จะป้อมปราการ 112 หรือป้อมปราการ 113 ก็ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของสมาคมตระกูลชิ่ง พอเริ่นเสี่ยวซู่กลับไปแล้ว สมาคมตระกูลชิ่งจะไปรวบเขาตอนไหนก็ได้หมด
สู่หมานมองเข้าไปในป่า รอยเท้าของเริ่นเสี่ยวซู่ตรงไปยังภูเขาไฟ ดูเหมือนเขาว่าหลบหนีไปทางเหนือแล้ว
เขาไม่ได้ตามต่อ เพราะดูจากรอยเลือดในสถานที่ต่อสู้แล้ว ‘สูเสี่ยนฉู่’ ไม่น่าจะบาดเจ็บสาหัสอะไรมากนัก ต่อให้ตามไปก็คงตามไม่ทันอยู่ดี
แต่สู่หมานก็ยังตะลึงอยู่ไม่น้อย ตอนกลางวันใช้ทหารตั้งหลายนายเพื่อรับมือตัวทดลองเพียงตัวเดียว มีทหารสามนายตาย อีกสิบสามนายบาดเจ็บ แต่ตอนนี้กลับมีคนฆ่าตัวทดลองสี่ตัวได้ด้วยตัวคนเดียว!
แถมรอยแผลที่ปรากฏบนตัวทดลองนั้นคล้ายคลึงกันหมด พวกเขาลองทดสอบแล้ว และพบว่าเกิดจากการใช้พละกำลังมหาศาลตวัดมีดทหารซึ่งคมกริบเป็นอย่างยิ่งจนสามารถตัดผ่านเนื้อหนังของตัวทดลอง
ความลึกลับของ ‘สูเสี่ยนฉู่’ นี้ดูลึกล้ำกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก สู่หมานคาดโทษพวกเจ้าหน้าที่ระดับสูงในกองกำลังส่วนตัวของป้อมปราการ 113 ไว้แล้ว พวกเขาไม่รู้ได้อย่างไรกันว่ามีผู้มีพลังพิเศษที่น่ากลัวมากขนาดนี้อยู่ในกองกำลัง
ตอนนี้สูเสี่ยนฉู่ไม่รู้เลยว่าตัวเองต้องเจอกับอะไร ไม่เหมือนเริ่นเสี่ยวซู่และหยางเสียวจิ่นที่ลอบดอดทะลุแนวรบไปแล้ว กลับเป็นเขานี่แหละที่ไม่ได้ฝ่าแนวรบของสมาคมตระกูลชิ่ง
เดิมทีเขาก็อยากเข้าไปดูอยู่หรอกว่าเกิดอะไรขึ้นบนเขาจิ้งซานกันแน่ แต่หลังจากหาทางฝ่าแนวรบไปไม่ได้ ก็คิดแล้วว่าถึงเข้าไปได้ในที่สุดก็ไม่มีปัญญาออกมาอยู่ดี ดังนั้นสุดท้ายจึงอ้อมแนวรบของสมาคมตระกูลชิ่งไป และมุ่งไปที่ป้อมปราการ 112
เขารีบเร่งเดินทาง และใช้ร่างแยกเงาแบกตัวเองไปตลอดทาง ถึงยามที่เริ่นเสี่ยวซู่ไปเอาทอง สูเสี่ยนฉู่อ้อมเมืองมาอยู่แนวหลังของสมาคมแล้ว ดังนั้นสูเสี่ยนฉู่จึงไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในเมือง เขาไม่รู้เลยว่าตัวเองถูกตั้งอยู่ในรายชื่อบุคคลอันตราย แถมยังอยู่ระดับสูงมากด้วย
ถ้าเขารู้ละก็ อาจจะกลับมาสู้เริ่นเสี่ยวซู่จนตัวตายเลยก็ได้
สูเสี่ยนฉู่ที่กำลังขี่ร่างแยกเงารู้สึกมีลางสังหรณ์ชอบกล แต่ไม่รู้ว่าเป็นอะไร…
“กลับกันเถอะ” สู่หมานว่า “ตั้งแนวป้องกันด้วย ใกล้เวลาที่ตัวทดลองจะออกมาเคลื่อนไหวแล้ว พวกเรายังไม่รู้เลยว่าที่ซ่อนของพวกมันอยู่ตรงไหน”
สู่หมานเหมือนจะทราบว่าแม้ตัวทดลองจะตายไปสี่ ก็ยังไม่ใช่ว่าตายไปหมดสิ้นแล้ว จำนวนตัวทดลองนั้นมีจำนวนมากเกินกว่าที่ทุกคนคิดมาก
ทันใดนั้น สู่หมานพลันได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำถี่รัวดังมาจากหลายร้อยเมตรข้างหน้า ราวกับว่ามีคนกำลังวิ่งหนีมาอย่างร้อนรนอย่างไรอย่างนั้น!
เขาส่องไฟจากไฟฉายยุทธวิธีไปข้างหน้า ก่อนจะประหลาดใจที่เห็นเริ่นเสี่ยวซู่ใช้ร่างแยกเงาต่างม้า ขี่หนีมาอยู่
สู่หมานตะลึง เกิดอะไรขึ้นกัน ทำไม ’สูเสี่ยนฉู่’ ถึงวิ่งกลับมาล่ะ ไม่ใช่ว่าเขาหนีไปแล้วหรอกเหรอ
พอเริ่นเสี่ยวซู่เห็นสู่หมานกับพวกทหารอยู่ไกลๆ ก็เบี่ยงตัวหนีออก คิดจะอ้อมไปทางซ้าย หลบผ่านพวกทหารของสมาคมตระกูลชิ่งไป
แต่สู่หมานไม่รีรอ ดึงคันรั้งปืน เตรียมยิงออกไป
เริ่นเสี่ยวซู่ได้ยินเสียงดึงคันรั้ง ก็รีบพูด “จะมายิงฉันทำบ้าอะไร ดูหน่อยว่าอะไรอยู่ข้างหลัง!”
สู่หมานเลิกคิ้วมองไปข้างหลังเริ่นเสี่ยวซู่ ก่อนจะเห็นเงาสีดำทมิฬเคลื่อนไปมาในป่า ทั้งยังได้ยิงเสียงโซ่ลากพื้นดังบาดหู
สู่หมานเข้าใจในพลันว่าฉิบหายแล้ว เอ็งแม่*ไปแหย่รังตัวทดลองทำไมวะเฮ้ย!