เล่ม 1 ตอนที่ 72 เคล็ดควบคุมสัตว์อสูร

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ชิงอู๋หยาพยักหน้าแล้วพูดว่า “ได้สิ มีบางบริเวณของเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้ที่ค่อนข้างอันตราย บอกพวกเจ้าเอาไว้ พวกเจ้าจะได้ไม่รุกล้ำเข้าไปละกัน”

“พวกเจ้าคุยกันไปก่อนนะ ข้าไปทำอาหารก่อน” ซือหม่าโยวเย่ว์ลุกขึ้นจากม้านั่งพลางเอ่ยขึ้น

ชิงอู๋หยาพูดได้ไม่ผิดเลย ภายในเทือกเขานี้ฟ้าจะมืดค่อนข้างเร็วจริงๆ ดังนั้นจึงต้องกินอาหารเย็นให้เร็วสักหน่อย

ทุกคนต่างรู้ดีว่ารสนิยมด้านอาหารของเธอค่อนข้างประณีต ขอเพียงแค่มีเวลา เธอไม่มีทางกินอาหารแห้ง ดังนั้นทุกคนจึงได้มีลาภปากตามเธอไปด้วย

เธอมาถึงยังพื้นที่ว่างแห่งหนึ่งแล้วหยิบอุปกรณ์ทำอาหารต่างๆ ออกมา ถ้วยชามหม้อไหนานาชนิด ทำเอาคนของกลุ่มทหารรับจ้างชิงซานพากันตกตะลึง

“แค่กๆ ดูท่าทางจะต้องเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่แน่นอน ออกจากบ้านแล้วยังต้องพกเอาของเหล่านี้มาด้วย” ทหารรับจ้างคนหนึ่งมองดูข้าวของของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วอุทานออกมา

“แน่นอนอยู่แล้ว เจ้าดูสิ่งที่คนพวกนั้นสวมก็รู้แล้วว่าจะต้องมิใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน”

“แหวนเก็บวัตถุนี่ต้องใหญ่มากเลยทีเดียว!”

“เอาละ เลิกอิจฉาได้แล้ว มาดื่มเหล้าดีกว่า”

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้สนใจความอิจฉาริษยาที่มีต่อตนเลย เธอหยิบผักจำนวนหนึ่งออกมาจากในมณีวิญญาณ แล้วทำอาหารเย็นขึ้นมาด้วยตัวเอง

ชิงอู๋หยาเองก็ตกตะลึงเพราะซือหม่าโยวเย่ว์เช่นเดียวกัน เขาเพิ่งเคยเห็นคนที่พกแม้กระทั่งอุปกรณ์ทำกับข้าวเอาไว้ติดตัว

“พี่ใหญ่ชิงอย่าได้ตกใจไปเลย เขาเป็นคนที่ค่อนข้างจุกจิกเรื่องกินน่ะ ไม่ชอบกินอาหารแห้ง” เว่ยจือฉีพูด “เมื่อครู่ท่านบอกว่าคนที่มายังเทือกเขาผู่สั่วในระยะนี้ค่อนข้างมากอย่างนั้นหรือ”

ชิงอู๋หยาถอนสายตากลับมาจากอุปกรณ์ทำอาหารของซือหม่าโยวเย่ว์พลางพยักหน้าแล้วเอ่ยว่า “มิผิด ข้าเพิ่งจะเคยพบเห็นเมื่อเร็วๆ นี้เองแหละ ตอนที่พวกเรากลุ่มทหารรับจ้างชิงซานอยู่ในเมืองเหยียนก็นับได้ว่าเป็นกลุ่มทหารรับจ้างอันดับต้นๆ เข้าออกเทือกเขาผู่สั่วแห่งนี้อยู่เป็นประจำ ขอเพียงแค่ที่นี่มีความผิดปกติเพียงเล็กน้อย พวกเราก็ดูออกแล้ว ถึงแม้ว่าคนที่มายังเทือกเขาผู่สั่วจะมีค่อนข้างมากอยู่ตลอด แต่ครึ่งเดือนให้หลังมานี้ คนที่มาที่นี่ก็เพิ่มขึ้นไม่น้อยเลย นอกจากนี้ส่วนมากยังเป็นคนที่มาจากตระกูลใหญ่อีกด้วย”

“หืม เหตุใดจึงมีผู้คนเพิ่มขึ้นมามากมายอย่างฉับพลันได้เล่า” เจ้าอ้วนชวีถามอย่างใคร่รู้

“ตอนแรกพวกเราก็ไม่รู้เช่นกัน ต่อมาเกิดได้ยินคนบางกลุ่มพูดขึ้นมาโดยไม่ตั้งใจ คล้ายว่าจะมีของมีค่าอันใดปรากฏขึ้นมากระมัง แล้วยังมีเครื่องยาแปลกๆ อะไรบางอย่างอีกด้วย แต่จะเป็นสิ่งใดแน่นั้นพวกเราก็ไม่รู้ชัดหรอกนะ” ชิงอู๋หยายักไหล่พูด “เพราะมิได้เกี่ยวข้องกับพวกเรามากสักเท่าใดนัก ดังนั้นพวกเราจึงมิได้สนใจสักเท่าไหร่”

“พี่ใหญ่ชิงไม่รู้สึกสนใจในของสิ่งนั้นเลยหรือ” เว่ยจือฉีถาม

“สนใจหรือไม่มิใช่ปัญหาหรอก หากแต่ว่ากันว่าของสิ่งนั้นหากมิได้อยู่ที่ชั้นในก็ต้องอยู่บริเวณใกล้ๆ ชั้นในสุดแล้วล่ะ นั่นมันใช่บริเวณที่พวกเรากล้าเข้าไปเสียที่ไหนกัน! ดังนั้นพวกเราก็เลยแค่ฟังๆ ไปอย่างนั้นเอง” ชิงอู๋หยาพูด “น้องเว่ย พวกเจ้าอย่าได้ถูกชื่อเสียงของสิ่งล้ำค่านั่นล่อลวงเสียล่ะ สิ่งล้ำค่าถึงแม้จะดี แต่ก็ต้องมีชีวิตอยู่ครอบครองมันด้วยจึงจะใช้ได้”

“ฮ่าๆ เหตุผลนี้พวกเราก็พอเข้าใจได้อยู่หรอก” เว่ยจือฉีหัวเราะ

พื้นที่ชั้นในสุดนั้นเป็นสถานที่ที่สัตว์อสูรทิพย์อาศัยอยู่ ถึงแม้ว่าเมื่อเทียบพลังยุทธ์ของพวกเขาเหล่านี้กับคนรุ่นราวคราวเดียวกันแล้วจะใช้ได้ แต่เมื่ออยู่ในโลกกว้างก็มิอาจนับได้ว่าเป็นยอดฝีมือแต่อย่างใดเลย พวกเขาจึงมิได้หาญกล้าไปต่อสู้กับสัตว์อสูรทิพย์

ซือหม่าโยวเย่ว์ผัดกับข้าวไปพลาง ฟังเรื่องสถานที่ที่พวกชิงอู๋หยาบอกให้พวกเขาระมัดระวังไปพลาง พอได้ยินเขาพูดว่าสิ่งล้ำค่า มือก็หยุดชะงัก

สิ่งล้ำค่าเอ๋ย นางชมชอบมันเป็นที่สุด ถ้าหากมีโอกาส อาจจะไปดูคนเดียวก็ได้

เพียงไม่นานก็ทำกับข้าวเต็มโต๊ะเสร็จ กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วหมู่แมกไม้ ดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนไม่น้อย

“กับข้าวที่น้องซือหม่าทำช่างหอมหวนเสียจริง” ชิงอู๋หยาได้กลิ่นหอมแล้วก็อดชมประโยคหนึ่งมิได้

“ฮ่าๆ ขอบคุณพี่ใหญ่ชิงมากที่เล่าเรื่องราวของเทือกเขาผู่สั่วให้พวกเราฟังมากมายเช่นนี้ ในเมื่อทุกคนก็สนทนากันมาถึงขนาดนี้แล้ว มาดื่มด้วยกันสักจอกหนึ่งมิดีหรือ” เว่ยจือฉีพูด

“เรื่องนี้… คงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่กระมัง” ชิงอู๋หยาเกรงอกเกรงใจอยู่บ้าง

“ข้าทำกับข้าวไว้มากมายพอดูทีเดียว พี่ใหญ่ชิงมากินด้วยกันเถิดน่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูดพร้อมรอยยิ้ม

ชิงอู๋หยาผู้นี้เป็นคนใช้ได้เลยทีเดียว เรื่องเหล่านั้นที่พูดมาเมื่อครู่ก็มีประโยชน์กับพวกเขามากพอดู การเชิญเขามาร่วมกินข้าวดื่มสุราก็ไม่เสียหายอะไรเลย

“ไปกันเถิด พี่ใหญ่ชิง กับข้าวที่โยวเย่ว์ทำนั้นอร่อยอย่าบอกใครเลยเชียว ออกไปข้างนอกอยากกินก็ไม่มีให้กินแล้วนะ มา พวกเรามาดื่มกันหลายๆ จอกเลย!” เว่ยจือฉีพูด

“ในเมื่อพูดขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นอู๋หยาก็ขอรบกวนด้วย” ชิงอู๋หยายิ้มพลางประสานมือ

ความประทับใจของเขาต่อพวกเว่ยจือฉีนั้นก็ไม่เลวเช่นกัน ถึงแม้จะมองออกว่าตัวตนของพวกเขาไม่ธรรมดา แต่กลับไม่มีความหยิ่งยโสของคนตระกูลใหญ่เหล่านั้นอยู่เลย

กับข้าวที่ซือหม่าโยวเย่ว์ปรุงทำให้ทุกคนกินดื่มกันอย่างอิ่มหนำ พอกินหมดแล้วชิงอู๋หยาก็ยังรำพึงอยู่ว่านี่คืออาหารอร่อยที่สุดเท่าที่เขาเคยกินมาเลยทีเดียว

กินมื้อค่ำเสร็จฟ้าก็เกือบจะมืดแล้ว ชิงอู๋หยาก็กลับไปทางกลุ่มทหารรับจ้างของตน ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังช่วยกันเก็บถ้วยชามแล้วยกไปล้างที่ลำธารเล็กๆ ที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกล

“พรุ่งนี้ก็จะเข้าไปในเทือกเขาแล้ว ทุกคนพักผ่อนให้เร็วหน่อยดีกว่า วันนี้ข้าจะเฝ้ายามเอง” พอทุกคนกลับมาแล้วโอวหยางเฟยก็เอ่ยขึ้น

“ไม่ต้องหรอก เจ้าเองก็ไปนอนพักผ่อนเถอะ ยกเรื่องการเฝ้ายามให้เจ้าคำรามน้อยจัดการก็พอแล้ว” ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูเจ้าคำรามน้อยที่ถือน่องไก่อันหนึ่งเคี้ยวกินอย่างเอร็ดอร่อยอยู่

โอวหยางเฟยมองเจ้าคำรามน้อยปราดหนึ่ง เขารู้ถึงความร้ายกาจของมันดีจึงไม่แย่งเฝ้ายามอีก เขาพยักหน้าให้กับทุกคนก่อนจะกลับไปยังกระโจมของตนเอง

“ราตรีสวัสดิ์ทุกคน” เว่ยจือฉีพูดจบก็กลับไปเช่นกัน

“ราตรีสวัสดิ์”

ซือหม่าโยวเย่ว์กลับไปยังกระโจมของตนก่อนจะนั่งขัดสมาธิลงบนเตียง เจ้าคำรามน้อยถือน่องไก่เหาะเข้ามา

“เจ้าคำรามน้อย คืนนี้เจ้าระมัดระวังหน่อยล่ะ”

“ไม่มีปัญหาหรอก! เจ้านอนอย่างสบายใจได้เลย!” เจ้าคำรามน้อยพูดพลางกัดน่องไก่คำหนึ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์พยักหน้าทว่ากลับมิได้นอนหลับ หากแต่หลับตาแล้วเคลื่อนย้ายพลังจิตไปภายในทะเลแห่งความรู้ ซึ่งที่นั่นมีเคล็ดควบคุมสัตว์อสูรและเคล็ดหลอมวิญญาณตั้งอยู่กลางอากาศอย่างเงียบเชียบ

พลังจิตเปลี่ยนแปรเป็นมนุษย์ร่างเล็กขนาดย่อส่วนเหินไปถึงตรงหน้าเคล็ดควบคุมสัตว์อสูร ก่อนจะยื่นมือไปหยิบขึ้นมา

เคล็ดควบคุมสัตว์อสูรมีจำนวนตัวอักษรไม่มากนัก หลักๆ พูดถึงว่าจะฝึกสัตว์อสูรวิเศษได้อย่างไร ทั้งยังมีแนวทางการทำพันธสัญญาแบบต่างๆ ด้วย ดูจากที่พูดในนั้น ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้รู้ว่าที่แท้แล้วแนวทางการทำพันธสัญญาที่แตกต่างกัน ก็ให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันด้วย

โดยทั่วไปแล้วการทำพันธสัญญาแบ่งออกเป็นการทำพันธสัญญาด้วยชีวิต การทำพันธสัญญาวิญญาณและการทำพันธสัญญานายบ่าว

การทำพันธสัญญาด้วยชีวิตนั้นตรงตามชื่อเรียก เป็นการทำพันธสัญญาที่ทั้งสองฝ่ายร่วมเป็นร่วมตายกัน หากฝ่ายหนึ่งตายไป อีกฝ่ายหนึ่งก็ต้องตายตามไปด้วย นี่คือแนวทางการทำพันธสัญญาที่พบเห็นได้บ่อยที่สุด ระหว่างซือหม่าโยวเย่ว์กับไข่ที่ไม่รู้ชื่อเสียงเรียงนามนั้นก็คือการทำพันธสัญญาด้วยชีวิตนี่เอง

การทำพันธสัญญาวิญญาณก็คือแนวทางของการทำพันธสัญญาระหว่างวิญญาณของทั้งสองฝ่าย การทำพันธสัญญาชนิดนี้ถึงแม้ว่าตัวคนจะตายไป ขอเพียงแค่วิญญาณยังคงอยู่ สัตว์อสูรวิเศษก็ไม่มีทางตาย อย่างเช่นการทำพันธสัญญาของเธอกับเจ้าคำรามน้อย

การทำพันธสัญญานายบ่าว คือมนุษย์เป็นเจ้านาย ส่วนสัตว์อสูรวิเศษเป็นข้ารับใช้ การทำพันธสัญญาชนิดนี้ หากสัตว์อสูรวิเศษถึงแก่ความตาย เจ้านายก็ไม่ต้องตายไปด้วย อย่างมากที่สุดก็อาจจะแค่พลังยุทธ์ถดถอยลงบ้างเท่านั้น การทำพันธสัญญาชนิดนี้เป็นแนวทางที่สัตว์อสูรวิเศษมิอาจยอมรับได้มากที่สุด

โดยทั่วไปแล้วการทำพันธสัญญาด้วยชีวิตและการทำพันธสัญญาวิญญาณ ล้วนสามารถทำพันธสัญญาได้เพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ทำให้ในตอนนั้นหลังจากที่ไข่ฟองนั้นสัมผัสได้ถึงการทำพันธสัญญาวิญญาณระหว่างซือหม่าโยวเย่ว์กับเจ้าคำรามน้อยแล้วจึงได้เลือกการทำพันธสัญญาด้วยชีวิตที่ดีรองลงมา

คนในปัจจุบันนี้รู้จักเพียงแค่การทำพันธสัญญาด้วยชีวิตและการทำพันธสัญญานายบ่าวเท่านั้น ส่วนการทำพันธสัญญาวิญญาณนั้นมีคนล่วงรู้น้อยนัก

นอกจากนี้การทำพันธสัญญายังเกี่ยวพันกับพลังจิตของคนอย่างลึกซึ้ง ยิ่งพลังจิตแข็งแกร่ง สัตว์อสูรวิเศษที่ทำพันธสัญญาได้ก็ยิ่งมาก ปรมาจารย์วิญญาณทั่วๆ ไปอาจทำพันธสัญญากับสัตว์อสูรวิเศษได้เพียงแค่ตนเดียวเท่านั้น ผู้ที่พลังยุทธ์แข็งแกร่งขึ้นหน่อยจึงจะสามารถทำพันธสัญญากับตนที่สองได้

ส่วนผู้ที่ทำพันธสัญญาถึงสามตนแล้วอย่างซือหม่าโยวเย่ว์ สำหรับผู้ที่มีพลังยุทธ์เท่าเธอนั้นแปลกยิ่งกว่าแปลกเสียอีก