ตอนที่ 103 จิ้งจอกน้อยที่น่ารัก

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 103 จิ้งจอกน้อยที่น่ารัก

‘มิผิดแน่!’

‘นั่นคือร่างเดิมของจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำ ! ’

เพียงแต่ร่างเดิมจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำในตอนนี้กลับแผ่กลิ่นคาวเลือดและกลิ่นอายแห่งความตายออกมาอย่างรุนแรง มิได้มีสัญญาณของการมีชีวิตอีก

ชัดเจนว่าจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำนั้นสิ้นวิญญาณ ณ ที่นี่เสียแล้ว

ขณะที่เจ้าสำนักต้าหลัวกำลังตื่นตกใจอยู่นั้น

เสียงลึกลับเสียงหนึ่งพลันดังขึ้นที่ข้างหูของเจ้าสำนักต้าหลัว

“ไปจากที่นี่เสีย อย่าได้มารบกวนความสงบของนายท่าน”

เสียงนี้แยกมิออกว่าเป็นชายหรือหญิง ดูลึกลับยิ่งนัก

แม้เสียงจะเรียบนิ่ง แต่กลับเต็มไปด้วยอำนาจที่มิอาจต่อต้านได้

‘นายท่าน ? ’

‘หรือว่าที่นี่จะยังมีผู้ที่น่ากลัวกว่านี้อยู่อีกเยี่ยงนั้นหรือ ? ’

ทันใดนั้นผู้นำของเหล่าผู้บำเพ็ญเพียรแห่งจงหยวน เช่นเจ้าสำนักดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัว

กลับรู้สึกว่าทุกอย่างมันเหนือความจริงเกินไป

ผู้บำเพ็ญเพียรมาหลายพันปีเช่นเขากลับมิเคยรู้เลยว่าจะมีพลังที่น่ากลัวเช่นนี้อยู่บนโลกแห่งนี้ด้วย

‘สามารถสังหารจ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำได้ง่ายดายเพียงนี้ อีกทั้งเบื้องหลังของผู้ที่ลึกลับกลับยังมีเจ้านายอีกคนด้วยงั้นหรือ ? ’

‘หรือว่าเจ้านายของผู้ลึกลับท่านนี้จะมาจากสวรรค์’

‘นี่ ! ’

‘นี่มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก’

“สูด ! ”

เจ้าสำนักต้าหลัวได้สติอีกครั้ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดอย่างแรง

“ผู้อาวุโส… ขออย่าได้โมโหไปเลย ผู้น้อยจะไปเดี๋ยวนี้ขอรับ”

เจ้าสำนักต้าหลัวที่ยืนอยู่กลางอากาศ รีบโค้งคำนับอย่างนอบน้อมด้วยท่าทางหวั่นเกรงแทบจะทันที

หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นอีกฝ่ายมิตอบกลับมา อีกทั้งตัวเขาก็มิได้มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น

เจ้าสำนักต้าหลัวจึงผ่อนลมหายใจออกมา ก่อนจะหมุนตัวปล่อยพลังวิเศษรุนแรงออกมา พร้อมกับใช้เคล็ดวิชาโบราณสำหรับหลบหนีของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ต้าหลัวเพื่อไปจากที่นี่

“ฟิ้ว ! ”

ลำแสงหนึ่งได้พาดผ่านไปยังขอบฟ้า เหาะหนีไปอย่างรวดเร็ว

อึดใจต่อมา ระหว่างที่เหล่าผู้อาวุโสของสำนักที่เหลือกำลังสำรวจรอบ ๆ อยู่นั้น ก็เห็นเจ้าสำนักต้าหลัวเหาะกลับมา

ทั้งยังมิมีทีท่าว่าจะหยุดแต่อย่างใด

เจ้าสำนักหยินหยางต้วนฉางเต๋อเห็นเจ้าสำนักต้าหลัวเหาะผ่านพวกเขาไป ก็ตะโกนตามหลังไปทันทีว่า “ตาเฒ่า กระจกหยินหยางของข้าเล่า ? ”

ประมุขนิกายกระดูกเหล็กก็มีท่าทีร้อนรนเช่นเดียวกัน “พี่หลัว วัชระหุนหยวนของนิกายกระดูกเหล็กของข้าเล่า ? ”

มินานเจ้าสำนักต้าหลัวก็เอ่ยกับทุกคนว่า “หากมิอยากตายที่นี่ ก็รีบไปจากที่แห่งนี้เดี๋ยวนี้ ! ”

ทุกคนที่ได้ยินต่างตกตะลึงไปตาม ๆ กัน ก่อนจะใช้สุดยอดเคล็ดวิชาในการหลบหนีของสำนักตนอย่างมิลังเล

เพียงพริบตาลำแสงมากมายก็ทะยานสู่ท้องฟ้า ก่อนจะเหาะไปทางใต้อย่างรวดเร็ว

หากเย่ฉางชิงได้เห็นภาพตรงหน้าคงจะพูดว่า

“เหมือนการแสดงอากาศยานบนท้องฟ้าเลยแฮะ ? ”

……………………………………

อีกด้านหนึ่ง

หลังเห็นกับตาว่าจ้าวปีศาจแห่งยุคถูกสังหารเช่นไร

ทั้งราชันทมิฬและถูสือซาน ต่างมิอาจที่จะสงบจิตใจลงได้

ปีศาจตนนั้นเป็นถึงจ้าวปีศาจที่บำเพ็ญเพียรมาหลายแสนปี !

การบำเพ็ญเพียรของมนุษย์และปีศาจนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ปีศาจต้องสรรค์สร้างกายเนื้อก่อน จากนั้นก็รอจนกระทั่งกายเนื้อสมบูรณ์ จึงจะเริ่มสร้างรากฐานปราณได้

เมื่อเทียบกับมนุษย์ที่สามารถสร้างรากฐานปราณได้ทันที กระบวนการนี้ใช้ระยะเวลายาวนานกว่าหลายร้อยเท่าหรือพันเท่าเลยก็ว่าได้

แต่วิธีการบำเพ็ญเพียรเช่นนี้ของเผ่าปีศาจก็มีข้อดีของมันอยู่

กล่าวคือหากเป็นผู้ที่บำเพ็ญเพียรในระดับเดียวกัน แต่หากมนุษย์มิมีสมบัติวิเศษติดกายคอยช่วย ก็ยากที่จะเทียบเคียงกับผู้แข็งแกร่งของเผ่าปีศาจได้

ราชันทมิฬเองเวลานี้แม้จะมีตบะบารมีอยู่จุดสูงสุดของระดับราชาปีศาจ แต่กลับมิอาจแปลงกายเป็นมนุษย์ได้ นั่นก็เพราะเหตุผลนี้เช่นกัน

วิธีการบำเพ็ญเพียรของเขาต่างจากปีศาจตนอื่นอย่างสิ้นเชิง

“ราชันทมิฬ…”

ถูสือซานเอ่ยขึ้นหลังเงียบอยู่นาน แต่ภายในใจกลับสับสนและว้าวุ่นจนมิรู้ว่าควรจะเอ่ยเช่นไร

เพราะเมื่อครู่จ้าวปีศาจพยัคฆ์ดำเพิ่งจะถูกลิ่วล้อผู้หนึ่งของยอดฝีมือท่านนั้นสังหารไป

แต่ตอนนี้ราชันทมิฬกลับกำลังพานางไปพบกับยอดฝีมือท่านนั้น

แค่คิดก็รู้แล้วว่ายอดฝีมือท่านนั้นน่ากลัวเพียงใด

เช่นนั้นเวลานี้ถูสือซานจึงสับสนและว้าวุ่นใจเป็นอย่างมาก

ราชันทมิฬแบกถูสือซานที่อยู่ในร่างเดิม เดินอยู่กลางเมืองเสี่ยวฉืออย่างมิยี่หร่า

เมื่อได้ยินเสียงถูสือซาน

เขาจึงหันมาฉีกยิ้มจนเผยให้เห็นเขี้ยวอันแหลมคม พลางตอบว่า “ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าตอนนี้ดี แต่เจ้ามิต้องกังวลไปหรอก นายท่านเป็นคนที่สุภาพและมีมารยาทพอ มิชอบต่อสู้กับผู้ใด”

“แม้ว่านายท่านจะเป็นคนใจกว้าง แต่ผู้น้อยเช่นเราก็ควรต้องเคารพนอบน้อมอยู่ตลอดเวลา เช่นนั้นหลังจากพบนายท่านแล้ว เจ้าก็ควรจะมีความเคารพนอบน้อมอยู่ตลอดเวลาเช่นเดียวกัน”

ถูสือซานได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปทันที ดวงตาดำขลับคู่นั้นส่องประกายระยิบระยับแปลก ๆ พลางตอบรับว่า “ราชันทมิฬ ท่านวางใจได้ สือซานจะเคารพนอบน้อมต่อท่านยอดฝีมือตลอดเวลา”

“ดีมาก ทีนี้ก็มิต้องกังวลแล้ว”

มินานราชันทมิฬก็เดินมาตามทางที่คุ้นเคย ก่อนที่หนึ่งสุนัข หนึ่งจิ้งจอก จะปรากฏตัวอยู่ที่ประตูร้านของชำฉางชิง

“ฟู่ ! ”

ตอนนั้นเองพลังปราณอันบริสุทธิ์ก็พวยพุ่งออกมา ให้ความรู้สึกเบาสบายอย่างน่าพิศวง

ราชันทมิฬที่ถูกเย่ฉางชิงเลี้ยงดูมาตั้งแต่เด็กจึงรู้สึกเฉย ๆ ต่อทุกอย่างที่เกิดขึ้น

แต่สำหรับถูสือซานกลับเสมือนได้พบดินแดนแห่งวาสนาก็มิปาน

ดวงตาดำขลับเบิกโพลง ท่าทางเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกอย่างหาที่เปรียบมิได้

“นี่มัน…”

ถูสือซานอดที่จะใจสั่นมิได้ นางแสดงท่าทางตื่นเต้นและดีใจออกมา

‘น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ! ’

‘หรือว่าที่นี่คือสถานที่บำเพ็ญเพียรของยอดคนผู้นั้นงั้นหรือ ? ’

ราชันทมิฬหยุดเท้าลง พร้อมกับกำชับอีกครั้งว่า “เด็กน้อย จำไว้ว่าเจ้าต้องมีความเคารพและนอบน้อมอยู่ตลอดเวลา”

ถูสือซานได้สติอีกครั้ง ก่อนจะพยักหน้ารับในทันที

จากนั้นราชันทมิฬก็ได้พานางเดินเข้าไปด้านในของร้านขายของชำ จนถึงลานด้านหลัง

ลานแห่งนี้ดูธรรมดาและเรียบง่ายยิ่งนัก

มีเพียงต้นหลิว กระดานหมากล้อม พิณ ชุดน้ำชา…

แต่เห็นได้ชัดว่าทุกสิ่งทุกอย่างในลานแห่งนี้ ล้วนปกคลุมไปด้วยพลังปราณที่บริสุทธิ์ลึกล้ำ

‘เป็นดินแดนแห่งวาสนาจริง ๆ ด้วย’

ถูสือซานที่อยู่บนหลังของราชันทมิฬสำรวจรอบ ๆ ทันทีที่มาถึง ก่อนดวงตาจะเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก

สุดท้ายสายตาของนางก็จ้องเขม็งไปที่บุรุษหนุ่มผู้หนึ่งที่มีใบหน้างดงามราวกับหยก สวมชุดยาวสีเขียว กำลังยืนอยู่หน้าโต๊ะตัวหนึ่ง

เพียงแต่ภาพตรงหน้าช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก

บุรุษหนุ่มที่มือข้างหนึ่งถือพู่กันไว้ และสมาธิทั้งหมดกำลังจดจ่ออยู่กับการเขียนอะไรบางอย่าง

ด้านหลังของเขามีแสงจาง ๆ เป็นรูปกระบี่สีขาวดำมากมายที่แผ่ไอพลังทำลายล้างออกมา ราวกับท่องอยู่ในโลกอันลึกลับ

แม้จะดูเหมือนสับสนวุ่นวาย ทว่ากลับเต็มไปด้วยพลังกระบี่ราวกับปลานับหมื่นตัวที่แหวกว่ายอยู่

‘นี่… นี่… นี่คือยอดฝีมือท่านนั้นใช่หรือไม่ ? ’

‘แต่นี่เป็นตบะบารมีระดับไหนกันแน่ ถึงมีอิทธิฤทธิ์เพียงนี้ ? ’

‘น่าเหลือเชื่อ ช่างน่าเหลือเชื่อจริง ๆ ’

‘……’

ขณะที่ภายในใจของถูสือซานกำลังเกิดความรู้สึกมากมายอยู่นั้น พลันก็มีเสียงราบเรียบดังขึ้น

“ราชันทมิฬ เจ้าหายไปก่อเรื่องที่ไหนมาอีก หือ ? ”

“โอ๊ะ ? ”

“จิ้งจอกน้อยที่น่ารัก”

ดวงตาเรียวยาวของเย่ฉางชิงที่กำลังเขียนหนังสืออยู่พลันเปล่งประกายขึ้นแวบหนึ่ง หลังจากเหลือบเห็นถูสือซานที่อยู่บนหลังของราชันทมิฬ ใบหน้าพลันปรากฏรอยยิ้มขึ้น