หมื่นสวรรค์สิ้นโลกา Online Ep.391 – โลกหกวิถี

 

กู่ฉิงซานกับกระบี่ภูติตัดกระดูกขึ้นมาบนฝั่ง

 

เขาเดินไปหลบหลังโขดหิน นั่งยองๆ แล้วสอดส่ายสายตาอย่างระมัดระวัง มองไปรอบๆอย่างรวดเร็ว

 

ที่นี่คือชายฝั่งและมีเนินเขาขนาดใหญ่ขั้นกลางระหว่างวิหาร

 

แต่แล้วจู่ๆกู่ฉิงซานก็พลันตระหนักได้ถึงสิ่งหนึ่งอย่างกระทันหัน

 

เขาก้มหน้าลง มองพื้นที่ตนกำลังเหยียบย่ำอยู่

 

‘ที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็กสินะ ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ในตำนาน ถ้าอย่างงั้นล่ะก็ …’

 

กู่ฉิงซานอดใจไม่ไหว เขาคว้าจับดาบพิภพแล้วลองแทงลงไปบนพื้น

 

บังเกิดประกายไฟสาดออกมาจากพื้นที่เหยียบย่ำ ทว่าบนมันกลับไม่ปรากฏร่องรอยใดๆเลย

 

วิหคขาวกล่าว “นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่? ที่นี่คือภูเขาล้อมเหล็กนะ ไม่มีพลังอำนาจใดสามารถสร้างความเสียหายแก่มันได้หรอก กระทั่งเคลื่อนมันยังไม่ได้เลยแม้แต่น้อย”

 

กู่ฉิงซานมองลงไปยังพื้นหินสีเทาอมเขียวและทนไม่ไหวที่จะเอ่ยถาม “เหตุใดพื้นหินบนภูเขาลูกนี้กับพื้นหินเบื้องล่างสายธารแห่งการหลงเลือนจึงเหมือนกัน?”

 

“นั่นเพราะก้นสายธารเบื้องล่างก็เป็นส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็กด้วยเช่นกัน” วิหคขาวไขปัญหาคาใจให้

 

กู่ฉิงซานชะงักงัน สักพักเลยจึงตอบสนองและเอ่ยถามต่อว่า

 

“ความหมายของเจ้าก็คือ สายธารแห่งการหลงเลือนที่ไหลผ่านภูเขาล้อมเหล็กนี้ แท้จริงแล้วถูกสร้างขึ้นหรือเป็นเพียงส่วนหนึ่งของภูเขาล้อมเหล็กอย่างนั้นหรือ?”

 

“นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าไม่มีพลังอำนาจใดจะสั่นคลอนภูเขาศักดิ์สิทธิ์ได้ กระทั่งสายลมจากทัณฑ์โกลาหลก็ยังไม่มีผลกับมันแม้แต่น้อย!” วิหคขาวกล่าวอย่างภาคภูมิ

 

พอได้ฟัง หัวใจของกู่ฉิงซานก็เต้นตึกตักระรัวราวกับพวกนักวิ่ง

 

ใครมันจะไปคิดกันล่ะว่า แท้จริงแล้วตลอดทั้งปรภพน่ะถูกเป็นส่วนหนึ่งของภูเขา!?

 

ภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่ตั้งอยู่ในปรภพอย่างเงียบๆ เพื่อปกป้องหกวิถีแห่งสังสารวัฏจากสายลมทัณฑ์โกลาหล!

 

“เอาล่ะ ข้าเข้าใจแล้ว ว่าแต่อาวุธเช่นพวกเจ้าน่ะจะหลับไหลลงมันก็ไม่แปลกหรอก แต่เหตุใดจึงถึงขั้นหลับลึกเลยเล่า?”

 

วิหคขาวอธิบาย “ในสหัสวรรษที่ผ่านมา ปรภพได้ก้าวเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม และหลังจากที่มีการถือกำเนิดของ เครื่องจักรปรภพทั้ง 88 เครื่อง ทุกอย่างก็ดูเป็นระบบระเบียบขึ้นอย่างมาก”

 

“ดังนั้น อาวุธโบรารณมากมายจึงหมดหน้าที่ลง และค่อยๆหายไปอย่างช้าๆ”

 

กู่ฉิงซานเอ่ยถาม “แล้วพวกเจ้าทุกคนหายไปไหน?”

 

“ร่างของพวกเราถูกวางไว้ในวิหารสักการะแห่งนี้ แต่จิตอาร์ติแฟคทั้งหมดได้ปลดเปลื้องภาระ ถอดจิตออกจากพวกมันไปกันหมดแล้ว”

 

“เฉพาะเมื่อได้ยินเสียงเรียก หรือสัมผัสได้ถึงภัยพิบัติอันใหญ่ยิ่งของโลกปรภพเท่านั้น พวกเราจึงจะปรากฏตัวออกมาอีกครั้งเพื่อตรวจสอบสถานการณ์”

 

“ดังนั้น กล่าวได้ว่าจึงมีน้อยคนนักที่มายังวิหารสักการะแห่งนี้สินะ?” กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่วิหารพลางกล่าว

 

“ใช่ พวกเราไปกันเถอะ” วิหคขาวกระพือปีกของมัน

 

“ประเดี๋ยวก่อน”

 

กู่ฉิงซานยังคงยืนอยู่บนชายฝั่ง

 

ที่นี่ตั้งอยู่บริเวณขอบชายฝั่งของสายธารแห่งการหลงเลือน และตราบใดที่กู่ฉิงซานต้องการ เขาก็จะสามารถซ่อนตัวได้ตลอดเวลา

 

“สถานที่สำคัญเช่นนี้ ข้ามิอาจทำใจเชื่อได้ว่าเผ่ามารจะปล่อยมือไปจากมัน” เขาเอ่ยเสียงกระซิบ

 

กู่ฉิงซานจ้องมองไปที่วิหารสักการะสิ่งประดิษ์เทวะ ขณะที่การแสดงออกทางสีหน้าของเขาค่อยๆหนักอึ้งขึ้น

 

แม้ว่าสถานที่แห่งนี้จะเงียบสงัด ทว่าก็ยังคงมีความผันผวนของกลิ่นอายอันคลุมเครืออยู่

 

“ข้าได้ปะทะกับเผ่ามารมามากมายในช่วงสองวันที่ผ่านมานี้ ในสมองของพวกมันน่ะมีแต่การสังหารและทำลายเท่านั้นแหละ – ที่จะบอกก็คือหากพวกมันอยู่ที่นี่ วิหารคงถูกพวกมันทำลายไปแล้ว” วิหคขาวกล่าว

 

“มิใช่ พวกที่เจ้าเจอน่าจะเป็นแค่มอนสเตอร์ไม่ใช่มารที่แท้จริง มารจริงๆน่ะมีปัญญาหลักแหลมยิ่งกว่าพวกมอนสเตอร์มากมายนัก”กู่ฉิงซานกล่าว

 

เพียงนึกคิดในจิตใจ ดาบเช่าหยินก็ลอยขึ้นไปกลางเวหา

 

จากนั้นคมก็ฉีกอากาศ มุ่งเป้าตรงไปยังวิหารแห่งการสักการะ

 

“ไปล่อมันออกมา” กู่ฉิงซานตะโกนเสียงต่ำ

 

ฮู้มมมม!

 

ดาบเช่าหยินเปลี่ยนเป็นภาพติดตา และข้ามผ่านเนินเขาไป

 

ดาบบินวนรอบวิหารอย่างรวดเร็ว ก่อนจะทะยานหายขึ้นไปบนท้องฟ้า

 

เฝ้ารอแค่เพียงสามลมหายใจ

 

เบื้องบนวิหารก็เริ่มเกิดการบิดเบือนขึ้น

 

การบิดเบือนนี้เริ่มขยายตัวออกไปรอบๆ และสักพักหลังจากที่มันค้นพบว่าทุกอย่างยังคงปกติดี มันก็เริ่มแพร่กระจายออกเป็นวงกว้าง ขยายพิสัยการสำรวจออกมา

 

“นั่นมันคืออะไรกันน่ะ?” วิหคขาวเอ่ยถาม

 

กู่ฉิงซานขมวดคิ้วและกล่าว “โดยปกติแล้วมารธรรมดาๆจะไม่มีวิชาซ่อนเร้นตัวตนเช่นนี้ ข้าคิดว่าบางทีนั่นอาจเป็นมารระดับสูง”

 

“พวกเราลองไปฆ่ามันดูไหม?”

 

กู่ฉิงซานกล่าวอย่างระมัดระวัง “ไม่ดีกว่า วิชาของมารน่ะช่างผิดแผกและมีมากมายเหลือคณา ถึงเราจะรู้ว่ามีพวกมันอยู่แล้ว แต่เราไม่อาจรู้ได้เลยว่าภายในวิหารจะมีมารดักรออยู่มากขนาดไหน”

 

ณ ขณะนี้ ดาบเช่าหยินได้บินอ้อม วนกลับมาหาพวกเขา

 

ความบิดเบือนที่มองไม่เห็นเบื้องบนวิหารยังคงแพร่กระจายอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆคืบคลานมายังกู่ฉิงซาน

 

“มาเถอะ ตอนนี้พวกเราควรถอยกันก่อน” กู่ฉิงซานกล่าว

 

หลังจากนั้นอีกหนึ่งส่วนสี่ชั่วยามต่อมา

 

เนินเขาก็กลับคืนสู่ความเงียบสงบอีกครั้ง

 

วิหคขาวถอนหายใจ “เผ่ามารคงยึดครองทั้งภูเขาศักดิ์สิทธิ์แล้วจริงๆ นับจากนี้ไป พวกเราคงจะหาที่สงบๆอยู่กันลำบากซะแล้ว ”

 

กู่ฉิงซานเสนอความคิดเห็น “ข้าคิดว่าวิธีที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือ ข้าจะเป็นตัวล่อเผ่ามารออกมา ส่วนเจ้าก็ฉวยโอกาสนั้นลอบเข้าไปปลุกสิ่งประดิษฐ์เทวะซะ”

 

“แบบนั้นไม่ได้หรอก จิตอาร์ติแฟคเช่นข้าน่ะไม่สามารถร่ายคาถาได้ เจ้าต้องเป็นคนร่ายมันด้วยตัวเอง”

 

ขณะกล่าว วิหคขาวก็บินกลับเข้าไปในกระบี่ภูติตัดกระดูก

 

แล้วเปลวไฟสีซีดก็ปะทุออกมาจากใบกระบี่ ก่อนจะถูกดูดซับลงไปในพื้นดิน

 

“นั่นเจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามด้วยความสงสัย

 

“อัญเชิญเหล่าคนตายที่ทรงพลังมาช่วยเหลือ” กระบี่ยาวตอบคำ

 

ไม่นานนัก

 

ก็ปรากฏร่างของหมาป่ายักษ์สีเทากำลังแหวกว่ายมาตามสายธาร

 

หมาป่าสีเทาตนนี้มีขนาดความสูงเทียบเท่ากับมนุษย์ถึง 5 คนยืนเรียงตัวต่อๆกัน และดูเปี่ยมไปด้วยพลัง

 

หมาป่าเทามองกระบี่ภูติตัดกระดูก และอ้าขยับปากที่สามารถกลืนคนเข้าไปได้ทั้งตัวออกมา “เจ้าตามหาตัวเรา มิเรื่องอะไร?”

 

“สวัสดีราชันย์หมาป่า นี่คือกำลังเสริมจากโลก และเขาต้องการที่จะเข้าสู่วิหาร ดังนั้นข้าจึงได้เรียกเจ้ามาช่วยในเวลานี้” กระบี่ภูติตัดกระดูกกล่าว

 

ราชันย์หมาป่าเหลือบมองกู่ฉิงซานวูบหนึ่ง ทว่ามันไม่ได้เอ่ยคำใด

 

หลังจากนั้นอีกไม่นาน คนตายอีกคนก็แหวกว่ายมาจากสายธารแห่งการหลงเลือน และทยอยกันมาทีละคน ทีละคน

 

“นั่นพวกเขามากจากที่ใดกัน?” กู่ฉิงซานเอ่ยถามเสียงกระซิบ

 

“มาจากแต่ละถ้ำในภูเขาที่อยู่ใต้ธารน้ำ – พวกเขามาจากนรกน่ะ” กระบี่ยาวตอบ

 

ราชันย์หมาป่ามาก่อนในทีแรก ตามต่อด้วยสองยักษ์ หนึ่งมนุษย์ปีศาจ และอีกสามมนุษย์ยืนอยู่ตรงข้ามกับกู่ฉิงซานและกระบี่ภูติตัดกระดูก

 

พวกยักษ์จะถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนที่แตกหัก ใบหน้าของพวกมันปกคลุมไปด้วยความดุร้าย ทว่าภายในแววตากลับแลดูสงบ

 

ส่วนมนุษย์ปีศาจเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่ม ทั้งเนื้อทั้งตัวของมันเปล่งแสงสีทองออกมาตลอดเวลา ส่งผลให้มิอาจเห็นเรือนร่างของอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจนนัก

 

ส่วนรูปลักษณ์มนุษย์ที่เหลือ เป็นชายสองและหญิงอีกหนึ่ง

 

คนตายทั้งเจ็ดกำลังจ้องมองมาที่กู่ฉิงซาน และเฝ้าดูอยู่เงียบๆ

 

ขณะนี้ พวกเขาอยู่ด้วยกัน และกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างออกมา

 

“พวกเขาดูจะแข็งแกร่งจริงๆ ข้าสัมผัสได้ถึงแรงกดดันเล็กน้อย น่าประทับใจยิ่ง” กู่ฉิงซานกล่าว

 

วิหคขาวกระโจนออกมาจากกระบี่และเอ่ยว่า “หลังจากการหายตัวไปของเทพวิญญาณ 18 นรกภูมิก็ได้รับคำสั่งให้ถูกควบคุมโดยผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแต่ละนรก และพวกเขาทั้งเจ็ดคือบุคคลที่ว่า”

 

“และทั้งหมดต้องการที่จะสนับสนุนปรภพ ทำการช่วยเหลือ สร้างบุญมาไถ่ถอนบาปที่ติดตัวตนอยู่นี้”

 

“เข้าใจแล้ว”

 

“ว่าแต่ 18 นรกภูมิอย่างงั้นหรือ … หากเป็นแบบนี้ นั่นหมายความว่าอีก 11 ตนสุดแกร่งจากแต่ละนรกที่เหลืออยู่ก็เข้าร่วมกับเผ่ามารเพื่อทำลายปรภพน่ะสิ?”

 

วิหคขาวถอนหายใจ “ถูกต้อง เผ่ามารน่ะแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก ควบคู่ไปกับอีก 11 ผู้ควบคุมนรก ส่งผลให้ปรภพกำลังตกอยู่ในอันตราย”

 

ณ ขณะนี้ 7ผู้คุมนรกที่อยู่ตรงข้ามก็ได้สนทนากันเสร็จเรียบร้อยแล้ว

 

หนึ่งในมนุษย์ที่ดูชราเดินออกมาทักทายกับกู่ฉิงซาน

 

“สวัสดีสหายร่วมชาติพันธุ์เพียงหนึ่งเดียวของข้า” ชายชรากล่าว

 

“สหายร่วมชาติเพียงหนึ่ง?” กู่ฉิงซานเอ่ยทวนซ้ำ

 

“ฟังไม่ผิดหรอก  ก็ในบรรดาผู้คุมนรกทั้ง 7 น่ะ มีข้าเพียงคนเดียวที่เป็นมนุษย์นี่นา ดังนั้นหน้าที่เจรจานี้จึงถูกมอบหมายให้โดยข้า เพื่อที่จะได้ตกลงกันให้มันชัดเจน” ชายชรากล่าว

 

กู่ฉิงซานเบนสายตามองข้ามชายชราไป ก่อนจะตกลงที่สองชายหญิงซึ่งอยู่ไกลออกไป

 

ชายชราโบกมือและกล่าว “ไม่ต้องดูหรอก ทั้งสองคืออาชูร่า มิใช่มนุษย์ในโลกของเรา”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็ตกตะลึง แต่เขาก็ยังคงเลือกที่จะสังเกตรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายอยู่ดี

 

ฝ่ายชายมีรูปร่างสูงและกำยำ แต่ด้วยลักษณะและหน้าตาของเขานั้นดุร้ายยิ่ง คนส่วนใหญ่จะรู้สึกหวาดเกรงยามเมื่อมองไปยังเขาในทีแรก

 

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายหญิงนั้นมีลักษณะหน้าตาที่ดี ดูสง่าและงดงาม

 

‘ไม่คาดคิดเลยว่า นี่มันจะเป็นเหมือนดั่งที่ว่าไว้ในตำนานทุกประการ’ กู่ฉิงซานลอบพูดอย่างลับๆ

 

ในตำนานโบรารณของมนุษยชาติกล่าวเอาไว้ว่า เผ่าพันธุ์อาชูร่าน่ะ เพศชายจะดูธรรมดา ในขณะที่เพศหญิงจะงดงามยิ่ง

 

ฉะนั้นในอาณาจักรแห่งอาชูร่า จึงคราคร่ำไปด้วยหญิงงามอันหาที่ใดเปรียบ นับไม่ถ้วน

 

และสิ่งนี้เองที่ได้นำไปสู่ความริษยาและโลภของอาณาจักรสวรรค์ และมักจะนำไปสู่ความขัดแย้งและสงครามระหว่างอาณาจักรสวรรค์กับอาณาจักรอาชูร่า

 

วันนี้ ดูเหมือนว่าตำนานจะไม่ใช่เรื่องเหลวไหล

 

นอกจากนี้ กู่ฉิงซานยังได้รู้เรื่องราวเพิ่มเติมอีกด้วยว่า หกวิถีแห่งสังสารวัฏน่ะ แต่เดิมมิได้รับแค่เพียงวิญญาณจากโลกมนุษย์ แต่ยังรับวิญญาณจากในโลกอื่นๆมาอีกด้วย

 

“พอจะเข้าใจแล้ว ปรภพแห่งนี้น่าจะรับเอาคนตายมาจากทั้งสี่โลกอันได้แก่ อาณาจักรผีโหย อาณาจักรสวรรค์ อาณาจักรอาชูร่า และอาณาจักรเดรัจฉานนี่เอง ” กู่ฉิงซานเอ่ยพึมพำ

 

ทว่าทันทีหลังจากที่เขาพูดจบ หูของราชันย์หมาป่าก็ยกสูงขึ้นทันที

 

“เฮ้สหายร่วมชาติ เจ้าไม่สามารถเรียกว่าอาณาจักรเดรัจฉานได้นะ นั่นมันหยาบคาย พวกเราน่ะเรียกโลกที่เขาจากมาว่าอาณาจักรจ้าวอสูร” ชายชราที่เป็นมนุษย์เร่งกล่าว

 

“เอาล่ะๆ อาณาจักรจ้าวอสูร” กู่ฉิงซานรีบเปลี่ยนคำทันที

 

แล้วชายชราจึงค่อยผ่อนคลายลง

 

เขาอธิบายกับกู่ฉิงซานต่อ “เทพจากอาณาจักรสวรรค์น่ะไม่ค่อยมีมากนักหรอกในปรภพ ส่วนอาณาจักรผีโหยน่ะ ทุกคนล้วนโปรดปรานในการทำลายล้าง พวกเขาทั้งหมดจึงสนับสนุนในการทำลายปรภพ – จริงๆแล้วพวกเขาเป็นการดำรงอยู่อันมืดมิดและเลวร้ายที่สุดในหกวิถีเลยล่ะ สมควรจะเรียกว่าอาณาจักรปีศาจร้ายด้วยซ้ำ”

 

“ราชันย์หมาป่า มาจากอาณาจักรจ้าวอสูร , ยักษ์กับมนุษย์ปีศาจและข้ามาจากโลก ส่วนชายหญิงทั้งสองมาจากอาณาจักรอาชูร่า”

 

“และตอนนี้ พวกเราทั้งเจ็ดก็ได้แนะนำตัวเองแล้ว”

 

ผู้คุมนรกทั้งเจ็ดมองไปทางกู่ฉิงซานเป็นสายตาเดียว

 

“ผู้น้อยกู่ฉิงซาน เผ่าพันธุ์มนุษย์ และเป็นผู้ฝึกดาบ” กู่ฉิงซานหนึ่งกำปั้นประสานหนึ่งฝ่ามือหันไปทางอีกฝ่ายและกล่าว

 

ชายชราพยักหน้าและเอ่ยต่อ “เช่นนั้นกู่ฉิงซาน ข้าจะพูดเพียงสั้นๆนะว่าสถานการณ์ในนรกตอนนี้น่ะมันอยู่ในภาวะวิกฤต และแม้ว่าพวกเราจะถูกเรียกมาโดยกระบี่ภูติตัดกระดูกก็ตามที แต่เราก็ยังอยากจะยืนยันว่าเจ้ามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสถานการณ์นี้หรือไม่ และแน่นอนว่าหากไม่ ทุกคนก็ไม่ยินดีเสียเวลาเพื่อเจ้า”

 

“เชิญกล่าวต่อ”

 

“เจ้าเป็นมนุษย์ และไม่ได้มีความสามารถในการฟื้นคืนชีพในนรก ดังนั้นเพื่อเห็นแก่หน้าตาของกระบี่ภูติตัดกระดูก เราจะไม่ทำร้ายเจ้า – แต่จะให้เจ้าแสดงความแกร่งของตนออกมา” ชายชรากล่าว

 

เขาเอ่ยปากอีกครั้งด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาราวกระซิบ “พวกเพื่อนๆของข้าน่ะหยิงผยองนัก พวกเขาไม่เต็มใจที่จะมาสนทนากับเจ้า ดังนั้นในฐานะที่เป็นเผ่าพันธุ์เดียวกัน ข้าขอเตือนให้เจ้าสำแดงพลังดีๆออกมาด้วยล่ะ”

 

กู่ฉิงซานพอได้ฟังก็แค่ยิ้ม

 

“ดาบพิภพ”

 

“ข้าอยู่นี่”

 

“ข้าขอมอบหน้าที่นี้ให้เจ้า”

 

“น้อมรับคำสั่ง”

 

ดาบพิภพตอบรับและผุดออกมาจากความว่างเปล่า

 

มันบินไปอยู่เบื้องหน้าเหล่าผู้คุมนรกและลอยอยู่บนพื้น

 

หลากหลายคนตายที่ทรงพลังหันมามองหน้ากัน และไม่ทราบว่าเจ้าจิตวิญญาณเผ่ามนุษย์ที่ยืนอยู่ตรงข้ามต้องการจะสื่อถึงสิ่งใด

 

“หากผู้ใดก็ตามที่สามารถเคลื่อนย้ายดาบของข้าได้แม้เพียงน้อย ข้าก็จะจากไปทันทีโดยไม่คิดรบกวนพวกท่านทั้งหลายอีกเลย” กู่ฉิงซานกล่าว

 

สองอาชูร่าพอได้ฟัง ก็รู้สึกสนอกสนใจเป็นอย่างมาก

 

เพราะเผ่าพันธุ์อาชูร่าน่ะเข้มแข็ง พวกเขารักในการต่อสู้และเดิมพันเป็นอย่างยิ่ง

 

อาชูร่าเพศชายก้าวออกมาข้างหน้าเป็นคนแรก ยื่นมือข้างหนึ่งออกไปคว้าจับด้ามดาบ และพยายามกระชากอย่างแรง!

 

ทว่าดาบพิภพกลับไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ

 

ชายอาชูร่าไม่เชื่อสายตา ปากของเขาเริ่มเอ่ยท่องคาถางึมเงา ขณะที่สองมือคว้าจับดาบพิภพและพยายามยื้อยุทธดึงมันสุดกำลัง

 

แต่ดาบพิภพก็ยังมิอาจเคลื่อนไหว

 

“ขอข้าเองเจ้าตัวจ้อย” เสียงที่ลึกและแหบห้าวของยักษ์ดังขึ้น

 

เขาผลักอาชูร่าชายออกไป และคว้าจับดาบพิภพ จากนั้นก็เริ่มออกแรงบ้าง

 

“ฟู่ววว ฟู่วว …”

 

เสียงยักษ์ใหญ่ปล่อยลมหายใจยาว

 

แต่ดาบพิภพก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหว

 

เมื่อไม่ได้ผล ยักษ์ใหญ่ก็ไม่รู้ว่าไปคว้าจับเอาก้อนหินขนาดใหญ่มาจากที่ไหน มันยกสูงขึ้นเหนือหัว เกร็งลำแขนเต็มกำลัง และ–

 

“ฮว๊ากกก!” คำรามออกมา

 

หินใหญ่ราวกับค้อนขนาดมหึมา ทุบตอกดาบพิภพอย่างรุนแรง บังเกิดเสียงลมพัดกระพือไปทั่ว

 

ตูมมมม!

 

เท้าของยักษ์ถูกเป่าจนยกสูงขึ้นจากพื้นดิน ขณะที่หินใหญ่ที่ใช้ทุบแหลกเป็นก้อนเล็กๆกระจายตกลงไปทั่วบริเวณ

 

ทว่าดาบพิภพก็ยังไร้ซึ่งการเคลื่อนไหวใดๆ