ตอนที่ 195 เสี่ยวเฟิงหิวแย่แล้ว จะทำอย่างไรดี? / ตอนที่ 196 ยืมข้าว

คู่มือเศรษฐีของหมอหญิงบ้านนา

ตอนที่ 195 เสี่ยวเฟิงหิวแย่แล้ว จะทำอย่างไรดี?

หลิวซื่อกล่าวเสียงแหลม “ไป๋จื่อ เจ้ายังมีศีลธรรมอยู่หรือไม่ นั่นเป็นท่านลุงใหญ่ของเจ้า เจ้าจะทำเป็นไม่รู้จักเช่นนี้หรือ เขาเป็นพี่ชายแท้ๆ ของพ่อเจ้านะ”

ไป๋จื่อหัวเราะเสียงเย็น “อย่าได้นำคำพูดสวยหรูมาดักคอข้า ข้าไป๋จื่อไม่ติดกับหรอก”

ตอนที่นางกับท่านแม่ได้รับความลำบากยากเข็ญ พวกเขาสกุลไป๋มีใครเคยเห็นพวกนางสองแม่ลูกเป็นคนในครอบครัวเดียวกันบ้างหรือไม่ เจ้าใหญ่สกุลไป๋เคยเห็นใจภรรยาและบุตรชายของน้องชายคนสุดท้องบ้างหรือไม่

พี่ชายแท้ๆ หรือ? เหอะ ช่างหน้าหนานัก!

จางซื่อคาดเดาผลลัพธ์เช่นนี้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว นางจึงไม่ยี่หระเลยสักนิด ย่อมไม่ได้โมโหเหมือนกับหญิงชราและหลิวซื่อ มีอะไรน่าโมโหกัน นี่เป็นผลลัพธ์อย่างที่ควรจะเป็นแล้ว หากเปลี่ยนเป็นนาง นางจะไม่ทำเช่นนี้เหมือนกันหรือไร

นางกล่าวเสียงเบากับแม่สามี “ดูท่าขอให้นางให้เปล่าๆ คงจะไม่ได้ เช่นนั้นขอให้นางขายให้พวกเราดีกว่านะเจ้าคะ ได้ยินว่าราคาข้าวข้างนอกขึ้นสูงอย่างบ้าคลั่งแล้ว ขืนไม่ซื้ออีก เกรงว่าเงินเล็กน้อยของพวกเรานี้จะซื้ออะไรไม่ได้เลย”

หญิงชรานำเงินออกจากบ้านมาด้วย ด้วยกลัวว่านางเด็กน่าตายไป๋จื่อผู้นี้จะไม่ยอมให้เสบียงอาหารกับพวกนาง และผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นเช่นที่นางคาดไว้

ฝ่ายหญิงชรากระแอมสองเสียง แล้วตะโกนว่า “ตกลง ในเมื่อเจ้าจะไม่เห็นใจท่านลุงใหญ่ของเจ้า ข้าก็จะขอซื้อข้าวจากเจ้า เจ้าคงจะยอมขายกระมัง”

“ข้าไม่ได้เปิดร้านขายข้าว ข้าไม่ขายข้าวแปลกมากเลยหรือไร” ไป๋จื่อกล่าว

ประโยคนี้ของไป๋จื่อแทบจะทำให้หญิงชรากระอักเลือด “ไป๋จื่อ เจ้าทำเกินไปแล้ว ท่านลุงใหญ่ของเจ้ามีสภาพเป็นเช่นนี้ เจ้าไม่เห็นใจก็ช่างเถิด ตอนนี้ข้านำเงินมาซื้อข้าว เจ้ากลับไม่ขาย เจ้าต้องการจะทำให้ทั้งครอบครัวของพวกข้าอดตายจริงๆ สินะ”

ไป๋จื่อลงจากเตียง สวมรองเท้าผ้า แล้วเดินไปที่หน้าประตูทีละก้าว ทว่ายังคงไม่ได้เปิดประตู เพียงพูดกับบานประตูสีดำสนิท “ข้าทำให้พวกเจ้าอดตาย? เจ้าคิดดูให้ดีๆ เสียดีกว่า ว่าแท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่ที่ทำให้พวกเจ้าอดตาย ข้าเพียงโชคดีรอดตายมาได้ วันนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องใดกับพวกเจ้าสกุลไป๋แล้ว เจ้าเดินทางแห่งศีลธรรมไป ส่วนข้าก็จะเดินทางอันนอบน้อมของข้า ต่างฝ่ายต่างไม่ยุ่งเกี่ยวกัน”

“บุตรชายของเจ้าถูกคนซ้อมจนบาดเจ็บ ก็ไม่ใช่ฝีมือของข้า สกุลไป๋ของพวกเจ้าไม่มีข้าวลงหม้อ ข้าก็ไม่ได้เป็นคนไปหยิบฉวยมา สภาพของพวกเจ้าในตอนนี้ เกี่ยวอะไรกับข้ากัน”

หลิวซื่อกล่าวด้วยความโมโห “พูดจามากความ เจ้าจะไม่ยอมใช่หรือไม่”

ไป๋จื่อคร้านจะกล่าวนัก “ถูกต้อง ข้าไม่ยอม ข้าวของข้า จะเป็นเงินเท่าไรข้าก็ไม่ขาย พวกเจ้าไปหาคนอื่นเถอะ ขอเพียงเงินมากพอ จะยังกลัวซื้อข้าวไม่ได้อีกหรือไร”

กลัวสิ เพราะเงินของพวกเขาไม่พอ

หญิงชราโกรธเคืองอย่างยิ่ง “ดี นางเด็กน่าตายอย่างเจ้าจงจำเรื่องวันนี้ไว้ให้ดี ต้องมีสักวันที่ยายแก่อย่างข้าจะทำให้เจ้ากลับมาคุกเข่าขอร้องข้าให้ได้”

ไป๋จื่อหัวเราะอย่างเฉยชา “ข้ารอให้ถึงวันนั้นใจจะขาด”

ฝ่ายหญิงชราและหลิวซื่อโกรธจนตัวสั่น แต่แล้วจะทำอย่างไรได้ สิ่งที่พวกนางทำได้ในตอนนี้ ก็คือกล้ำกลืนฝืนทน ต่อว่าไม่ขาดปาก

มาถึงอย่างผึ่งผาย กลับไปอย่างห่อเหี่ยว

เดิมทีคิดว่าขอเพียงนำเรื่องผู้อาวุโสและศีลธรรมมาอ้าง อย่างไรไป๋จื่อและจ้าวหลานก็ต้องไว้หน้าเจ้าสามสักหน่อย

แต่ใครจะรู้ว่า นางเด็กไป๋จื่อน่าตายจะใจแข็งเช่นนี้ ไม่มีความคิดจะเจรจาแม้สักนิดเดียว

“ท่านแม่ ตอนนี้พวกเราจะทำอย่างไรดี เสี่ยวเฟิงยังหิวอยู่เลย วันนี้ตลอดทั้งวันเขาไม่ได้เขียนหนังสือสักตัว บอกว่าหิวจนไม่มีแม้กระทั่งแรงจะจับพู่กัน หากเป็นเช่นนี้ต่อไปคงจะไม่ไหว เสี่ยวเฟิงหิวจนทนไม่ไหวแล้วจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”

……….

ตอนที่ 196 ยืมข้าว

เสี่ยวเฟิงเป็นอนาคตของสกุลไป๋ ต่อไปเขาจะต้องเป็นขุนนาง จะปล่อยให้เขาหิวข้าวจนทนไม่ไหวได้อย่างไร

จางซื่อกลอกตาขาวลับหลังหลิวซื่อในทันที พลางกล่าวในใจว่า ‘เสี่ยวเฟิงของเจ้ารู้จักหิว เจินจูกับฟู่กุ้ยของข้าไม่รู้จักหิวหรือไร’

ทว่านางไม่ได้ส่งเสียง เวลานี้ยังไม่ใช่จังหวะที่ดี ในบ้านไม่มีข้าว ทว่าในมือของแม่สามีมีเงิน เรื่องนี้อย่างไรหญิงชราก็ต้องคิดหาทางแก้

ขณะที่เดินถึงหน้าบ้านเก่าผุพังหลังหนึ่ง จู่ๆ หญิงชราก็หยุดฝีเท้า แล้วหันหน้าไปมองแสงไฟสลัวที่ส่องสว่างมาจากด้านใน

“ท่านลุงใหญ่ประหยัดไฟนัก” หลิวซื่อกวาดสายตามองในเรือนตามแม่สามี

“ได้ยินว่าวันนี้ไป๋เถี่ยหนิวเข้าเมืองไปซื้อข้าวมาแล้ว ไม่รู้ว่าซื้อมาเท่าไร หากข้ายืมพวกเขาสักหน่อย น่าจะยืมได้กระมัง”

หลิวซื่อหัวเราะแห้งๆ “น่าจะได้กระมังเจ้าคะ อย่างไรไป๋เถี่ยหนิวก็เรียกท่านว่าสะใภ้รอง ท่านยืมข้าวเขาสักหน่อย ต้องยืมได้แน่เจ้าค่ะ”

“ปีก่อนบุตรชายคนโตของไป๋เถี่ยหนิวล้มบาดเจ็บ ก็มายืมเงินรักษาจากท่าน ทว่าอย่างไรท่านก็ไม่ยอมท่าเดียว หลังจากนั้นพวกเขาเก็บเกี่ยวได้ไม่ค่อยดี ครั้งนั้นมายืมข้าวจากท่าน ก็ดูเหมือนท่านจะไม่ให้ยืมกระมัง” จางซื่อกล่าว

นางถอนใจเสียงหนึ่ง กล่าวอีกว่า “ถึงเวลานี้แล้วยังคิดจะยืมข้าว มีใครบ้างไม่รู้ว่าราคาข้าวในเมืองขึ้นแล้ว เวลานี้ใครจะให้คนนอกยืมข้าวกัน”

หลิวซื่อถลึงตาใส่จางซื่อครั้งหนึ่ง ก่อนจะพูดด้วยความไม่พอใจ “เจ้ารู้จะรู้ได้อย่างไร ไป๋เถี่ยหนิวอาจจะเห็นแก่หน้าของท่านแม่ก็ได้ เขาน่าจะยอมกระมัง เจ้าหยุดดับฝันคนอื่นเสียที”

จางซื่อก็คร้านจะกล่าวกับพวกนาง “ตามใจแล้วกัน ข้าจะกลับก่อน หากพวกท่านยืมได้ก็ดีที่สุด ยืมไม่ได้ก็ต้องซื้อ นำเงินมาด้วยไม่ใช่หรือ” หลังจากกล่าวจบ จางซื่อก็หมุนตัวเดินไป หิวมาแล้วทั้งวัน นางไม่มีแรงจะเสียเวลากับพวกนางอีก หากพรุ่งนี้ยังไม่มีเสบียงอาหารอีก นางคงทำได้เพียงพาลูกๆ ทั้งสองคนกลับบ้านแม่ ผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปให้ได้ก่อนค่อยว่ากัน

ครั้นจางซื่อไปแล้ว หลิวซื่อถึงเรียกที่หน้าประตู

คนที่เปิดประตูคือไป๋เถี่ยหนิว ทันทีที่เห็นว่าเป็นหลิวซื่อและหญิงชรา ใบหน้าของเขาก็บึ้งตึงโดยพลัน “พวกเจ้าเองหรือ มีธุระอะไร” หญิงชราผู้นี้ดูถูกบ้านเขามาโดยตลอด ตั้งแต่ท่านพ่อและพี่รองจากไป พวกเขาสองบ้านก็ไม่ได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าไร ถึงแม้จะเจอกันบนถนนบ้าง ทว่าก็ไม่ได้ทักทายกัน คนที่รู้จักจะรู้ว่าพวกเขานับเป็นญาติกัน ส่วนคนที่ไม่รู้ก็จะคิดว่าพวกเขาเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน

หญิงชราปั้นหน้ายิ้ม พูดเสียงอ่อนเสียงหวานกับไป๋เถี่ยหนิวว่า “เถี่ยหนิว ได้ยินว่าวันนี้เจ้าเข้าเมืองไปซื้อข้าวมาหรือ”

ไป๋เถี่ยหนิวพยักหน้า “ใช่ ในบ้านข้าไม่มีข้าว จึงไปซื้อในเมืองมาสักหน่อย เหตุใดเจ้าถึงถาม”

สตรีสูงวัยยิ้มแห้งๆ “เป็นเช่นนี้นี่เอง วันนี้เจ้าใหญ่ก็เข้าเมืองไปซื้อข้าวเช่นกัน ทว่าระหว่างกลับมาถูกโจรปล้น แย่งข้าวและเงินไปทั้งหมด ทั้งยังตีเขาจนเกือบตาย ตอนนี้ยังนอนลุกไม่ขึ้นอยู่บนเตียงอยู่เลย”

อีกฝ่ายเลิกคิ้ว “แล้วอย่างไร เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับข้ากัน”

รอยยิ้มของหญิงชราไม่น่ามองขึ้นเรื่อยๆ “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้าจริงๆ แต่พวกข้าไม่มีหนทางอื่นแล้ว ถึงได้บากหน้ามาหาเจ้า เพื่อดูว่าจะขอยืมข้าวจากพวกเจ้าสักหน่อยได้หรือไม่ เมื่อถึงช่วงเวลาเก็บเกี่ยวแล้ว ข้าจะคืนให้พวกเจ้าทั้งต้นทั้งดอก”

จู่ๆ ไป๋เถี่ยหนิวก็หัวเราะขึ้นมา ทว่าเสียงหัวเราะของเขาทำให้รู้สึกหนาวสันหลังวาบยิ่งนัก “ดูเจ้าสิ จนตอนนี้เจ้ายังไม่แก้นิสัยเห็นคนอื่นเป็นคนโง่อีกหรือ เจ้าคิดว่าข้าไป๋เถี่ยหนิวเป็นเหมือนกับบิดามารดาของข้าหรืออย่างไร ถึงได้เชื่อลมปากของเจ้าอย่างไม่ลืมหูลืมตา รู้หรือไม่ว่าราคาข้าวที่ร้านขายข้าวในเมืองเป็นเท่าไรแล้ว ตอนนี้เจ้าบอกว่าจะยืมข้าวจากข้า หลังฤดูใบไม้ร่วมแล้วจะคืนข้ารึ เจ้าเห็นว่าข้าไป๋เถี่ยหนิวเหมือนกับกระต่ายตัวอ้วนกระมัง”