หวาซีเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า “เพราะทุกแห่งหนมีผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานตามจับข้า ดังนั้นข้าจึงมาหาสหายเซียนจิน”

“มาหาข้าก็ไม่มีประโยชน์ ข้าไม่มีวิธีช่วยเจ้าหนี ฉวยโอกาสที่ข้าเห็นแก่ความสัมพันธ์อันคลุมเครือของพวกเรา ไม่อยากลงมือกับเจ้า เจ้ารีบไปเถอะ รางวัลที่สำนักเฉวียนเซียนจะมอบให้เป็นของวิเศษชั้นยอดที่ดีงามอย่างยิ่งผู้ใดจะไม่ต้องการ เจ้าอย่าอยู่ล่อลวงข้าที่นี่อีกต่อไปเลย” จินเฟยเหยาปล่อยพั่งจื่อออกมา ซ่อนความสามารถไว้อีกดีกว่า ผู้ใดจะรู้ นางไม่ลงมือ หวาซีจะลงมือหรือไม่

หวาซีเก็บรอยยิ้ม มองจินเฟยเหยาอย่างจริงจัง ราวกับกำลังใคร่ครวญอะไร สุดท้ายดูเหมือนตัดสินใจครั้งสำคัญได้ นำกระเป๋าเก็บของออกมาจากในอกพลางเอ่ยว่า “เจ้ายังจำที่เคยรับปากข้าไว้ได้หรือไม่ว่าจะช่วยข้าดูแลสัตว์ภูติตัวหนึ่ง ตอนนี้มันอยู่ที่นี่ ข้าเพียงหวังว่าเจ้าจะช่วยข้าดูแลระยะหนึ่ง รอจนข้ารอดพ้นจากอันตรายครั้งนี้แล้ว ข้าจะกลับมารับมันแน่นอน”

จินเฟยเหยาจ้องมองกระเป๋าเก็บของในมือเขา ลังเลอยู่บ้างว่าจะรับเรื่องนี้มาดีหรือไม่ ผู้ใดจะรู้ว่าด้านในใส่สิ่งของใดเอาไว้ พากลับไปจะมีอันตรายหรือไม่

“เจ้าคิดจะผิดคำสาบานหรือ?” หวาซีเห็นนางไม่มีปฏิกิริยา อดถามเสียงดังไม่ได้

“ข้าเคยสาบานเมื่อไหร่ ข้าแค่รับปากเจ้าว่าจะช่วยดูแลสัตว์ภูติหน้าตาน่ารักตัวหนึ่ง อีกอย่างเจ้าหน้าหนาบังคับให้ข้ารับปาก เอาสัตว์ภูติในถุงสัตว์ภูติออกมาให้ข้าดูก่อน” จินเฟยเหยามองกระเป๋าสัตว์ภูติใบนั้น เอ่ยอย่างไม่ไว้วางใจ

หวาซีใช้มือชี้สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณข้างกายอย่างช่วยไม่ได้ “เจ้ากลัวอะไร สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณยืนอยู่ด้านข้างข้าดีๆ ด้านในไม่ใช่สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณจริงๆ รับรองว่าน่ารักกว่าพวกกบตัวโตๆ ของเจ้ามากนัก ถ้าเจ้าไม่รับปาก ไม่กลัวว่าตอนควบรวมตานจะเกิดจิตมาร การรับรู้ถูกทำลายคนดับสูญไป?”

เชอะ ข้าทำเรื่องไร้คุณธรรมเยอะแยะไป เรื่องเล็กน้อยเช่นผิดคำพูดนับเป็นอะไรได้ จินเฟยเหยาเบ้ปากอย่างไม่ใส่ใจ เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีอะไรแปลกประหลาด คิดไม่ถึงว่าผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นต่างไม่ได้มาทางด้านนี้ ดวงตาของนางกวาดมองสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณโดยไม่ได้ตั้งใจ พลันพบว่าสตรีบนหลังสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหายไปแล้ว

“สตรีบนหลังสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้ล่ะ เหตุใดจึงหายไปแล้ว?”

พอได้ยินจินเฟยเหยาถามถึงเรื่องนี้ สีหน้าของหวาซีก็เปลี่ยนแปลงไป สุดท้ายเอ่ยอย่างชืดชา “เป็นเพราะสาเหตุนี้ ข้าจึงถูกพบตัว เจ้าพูดมากกับข้าที่นี่ หรือว่าไม่กลัวถูกผู้บำเพ็ญเซียนคนอื่นๆ พบเห็น?”

“ข้าจะกลัวอะไร อย่างมากก็บอกว่าข้าเตรียมจะลงมือกับเจ้าก็พอแล้ว”

เห็นหวาซีมีสีหน้าปั้นยากผิดปกติ จินเฟยเหยาก็เอ่ยอย่างฝืนใจ “ก็ได้ อย่างไรเสียก็แค่สัตว์ภูติตัวเดียว กินอย่างไรคงไม่มากไปกว่าพั่งจื่อหรอก เอามาเถอะ พวกเราถือว่ารู้จักกัน ข้าก็ไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร บางครั้งทำความดีนิดหน่อยลบล้างความผิดก็ได้”

หวาซีอ้าปาก อยากจะพูดอะไร แล้วกลืนลงคอไป ตอนนี้มีเรื่องขอร้องนาง อย่าไปหยอกล้อนางจะดีกว่า  ต่อมาก็โยนถุงสัตว์ภูติในมือไปให้ จินเฟยเหยาใช้มือรับถุงสัตว์ภูติไว้ และใช้การรับรู้กวาดดูด้านใน

พอกวาดดู นางพลันมีสีหน้าตกตะลึง รีบเงยหน้าขึ้นคิดจะคืนถุงสัตว์ภูติให้หวาซี

ไหนเลยจะรู้ว่า พอนางเงยหน้าขึ้น ก็เห็นหวาซีกระโดดขึ้นหลังสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ส่วนไหล่ของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพลันงอกปีกขนาดใหญ่คู่หนึ่งออกมา กระพือปีกโผทะยานขึ้นสู่ท้องนภา จินเฟยเหยายังไม่ทันได้นำพรมบินออกไล่ตามเขา ก็เห็นเงาร่างหลายสายไล่ตามไปจากด้านบน

“แย่แล้ว ถูกผู้บำเพ็ญเซียนขั้นสร้างฐานพบเห็น” จินเฟยเหยารีบนำยันต์ซ่อนกายออกมาตบบนร่างตนเอง จากนั้นเก็บพั่งจื่อ แอบแทรกเข้าไปในพุ่มไม้

ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงนั่งพรมบินซึ่งติดยันต์ซ่อนกายเร่งรุดกลับไปยังถ้ำเซียน พอกลับถึงถ้ำเซียน จินเฟยเหยาก็นำถุงสัตว์ภูติที่หวาซีมอบให้นางออกมา รีรอไม่ยอมเปิดถุงสัตว์ภูติสักที พั่งจื่อมองนางอย่างงุนงง ถุงสัตว์ภูติแค่ใบเดียวทำให้นางกลัวจนกลายเป็นแบบนี้เลยหรือ?

จินเฟยเหยาครุ่นคิด นางปล่อยต้านิวออกมาก่อน จากนั้นสั่งการอย่างกังวล “ต้านิว เจ้ารีบไปนำตะกร้าไม้ไผ่ในห้องพั่งจื่อภายในอ่างมายาจิ่งเทียนออกมา แล้วไปตุ๋นน้ำแกงเนื้อสักหน่อย ไม่ ไม่รู้ว่าจะกินน้ำแกงเนื้อได้หรือไม่ หรือว่าต้องต้มโจ๊ก ใช่ ต้มโจ๊กมา รีบไป”

เห็นจินเฟยเหยาท่าทางเร่งร้อน ต้านิวก็ไม่กล้าชักช้า วิ่งเข้าไปหยิบตะกร้าของพั่งจื่อในอ่างมายาจิ่งเทียนอย่างรวดเร็ว ทว่าเนิ่นนานยังไม่เห็นมันออกมา จินเฟยเหยารอจนหมดความอดทน ขณะที่คิดจะเข้าไปเอง จึงเห็นต้านิวหิ้วตะกร้าออกมาแบบเหงื่อออกเต็มหัว

“เหตุใดจึงช้าถึงปานนี้ เจ้าน่าจะกินน้อยๆ หน่อย แค่ขนตะกร้าใบเดียวก็ใช้เวลานานขนาดนี้” จินเฟยเหยาบ่นพึมพำแล้วรับตะกร้ามา ดมฟูกที่วางด้านในว่าไม่มีกลิ่นแปลกๆ มองซ้ายมองขวา แล้ววางตะกร้าในห้องของต้านิว

กบสองตัวมองจินเฟยเหยาง่วนไปมาอย่างไม่เข้าใจ ทันใดนั้นมันก็นึกขึ้นได้ว่าต้องไปต้มโจ๊ก ต้านิวจึงรีบไปห้องครัวที่ขุดขึ้นมา ซาวข้าวตั้งบนเตาต้มเป็นโจ๊ก เดิมทีหลังสร้างฐานแล้วจินเฟยเหยาสามารถงดอาหารได้ ทว่าพวกพั่งจื่อกินอาหารยั่วยวนนางทุกวัน สุดท้ายนางก็ทนไม่ไหว ทำห้องครัวเล็กๆ แห่งนี้ กินข้าวด้วยกันเสียเลย ฉวยโอกาสที่โจ๊กยังต้มไม่เสร็จ ต้านิวจึงวิ่งออกมาชมความครึกครื้น

เห็นจินเฟยเหยาสูดลมหายใจลึกๆ หลายครั้ง จากนั้นตบในถุงสัตว์ภูติหนึ่งที แสงสีขาวสายหนึ่งพลันลอยออกมา ร่อนลงในตะกร้าของพั่งจื่อ

“อ๊บๆ!” พั่งจื่อเห็นสัตว์ภูติตัวนี้ก็ถูกขู่ขวัญทั้งเป็น ทว่าจินเฟยเหยามั่นใจว่าเมื่อครู่ตนเองไม่ได้มองผิด พินิจดูอย่างสงสัยก่อน จากนั้นจึงด่าทออย่างโมโห “ไอ้บ้าหวาซี นี่ถือเป็นสัตว์ภูติหรือ? เจ้าคนโกหก ข้าไม่น่าใจอ่อนเลยจริงๆ ข้าทำอะไรลงไปกันแน่”

บนตะกร้าของพั่งจื่อ มีทารกหญิงอายุไม่กี่เดือนนอนอยู่ กำลังนอนหลับสนิท นางมีผิวขาวอ่อนนุ่ม ร่างจ้ำม่ำ สิ่งเดียวที่พิเศษคือผมยาวสีดำขลับทั่วศีรษะยาวกว่าตัว

ยื่นมือไปลูบเส้นผมของนาง นุ่มลื่นราวกับเส้นไหม จินเฟยเหยาเงยหน้ามองพั่งจื่อ “พั่งจื่อ ทำอย่างไรดี? หวาซีทิ้งลูกที่เขาให้กำเนิดไว้กับข้า”

พั่งจื่อกระพริบตา ยักไหล่ แสดงออกว่าช่วยอะไรไม่ได้ หมุนตัวเดินออกไปนอกถ้ำ จากนั้นจินเฟยเหยาก็ได้ยินเสียงกบหัวเราะอันน่ากลัวดังมาจากปากถ้ำ หัวเราะอย่างเรียกได้ว่าสะท้านฟ้าสะเทือนดิน จินเฟยเหยามองค้อนไปทางปากถ้ำ นั่งยองๆ หน้าตะกร้ามองทารกน้อยนอนหลับสนิท คิดไปคิดมา นางพลันมีความคิดหนึ่งผุดขึ้น นางเพิ่งนึกเรื่องที่น่าตกใจออก ถุงสัตว์ภูติบรรจุมนุษย์ไม่ได้ ทารกหญิงคนนี้ไม่ใช่มนุษย์ ถึงจะหน้าตาเหมือนมนุษย์ แต่อยู่ในกระเป๋าสัตว์ภูติมาตลอด ต้องเป็นสัตว์ปิศาจแน่

นี่เป็นสัตว์ปิศาจอะไร คิดไม่ถึงว่าจะหน้าตาเหมือนมนุษย์เปี๊ยบ? หรือว่าพวกหางหรือเขายังซ่อนอยู่ จินเฟยเหยาพลิกแขนขาทั้งสี่ข้างของนางค้นดู พลิกไปพลิกมา แม้กระทั่งในผมยาวสีดำสนิทนางก็ค้นดู แต่กลับไม่พบว่าทารกหญิงคนนี้มีลักษณะของสัตว์ปิศาจ นางได้แต่วางทารกหญิงลงบนฟูกแล้วห่มผ้าให้ใหม่อีกครั้ง

แต่นางทำทารกหญิงตื่น ทารกอายุห้าหกเดือน ลุกขึ้นนั่งเองได้ ลืมดวงตาอันงดงามมองคนแปลกหน้าและกบอ้วนๆ สองตัวที่เบื้องหน้า

“ไม่ใช่มนุษย์จริงๆ ด้วย เด็กอายุห้าหกเดือน จะลุกขึ้นนั่งเองเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร ทั้งยังนั่งอย่างมั่นคง นี่เป็นสัตว์ปิศาจอะไรกันแน่?” จินเฟยเหยามองนางอย่างประหลาดใจ เห็นทารกหญิงมองซ้ายมองขวา ราวกับกำลังค้นหาสิ่งของหรือคน หาอยู่ครู่หนึ่งไม่พบสิ่งที่ต้องการ นางจึงขมวดคิ้ว เบะปาก

“แย่แล้ว จะร้องไห้แล้ว ทำอย่างไรดี” จินเฟยเหยามือไม้ปั่นป่วนไปชั่วขณะ ยื่นมือออกไปไม่รู้ว่าจะอุ้มหรือจะปลอบดี ก็ได้ยินทารกหญิงอ้าปากเล็กๆ ตะโกนว่า “ซีเอ๋อร์”

“ซีเอ๋อร์? หวาซี? คิดไม่ถึงว่าเจ้านี่จะพูดภาษามนุษย์ได้ ทั้งยังตัวเล็กแค่นี้” จินเฟยเหยามองทารกหญิงอย่างตกตะลึง เจ้านี่อยู่เหนือความรอบรู้ของนาง

“ซีเอ๋อร์ๆ?” ทารกหญิงร้องเรียกซีเอ๋อร์พลางคลานไปทั่วถ้ำเซียน ตามหาหวาซีไปทั่ว

จินเฟยเหยาปวดศีรษะอยู่บ้าง หลังจากนวดศีรษะ ก็เดินไปนั่งยองๆ ข้างทารกหญิง พูดกับนางราวกับตนเองเป็นคนโง่งม “หวาซีต้องออกไปทำธุระ  จึงมอบเจ้าให้ข้าดูแลชั่วคราว ถ้าเจ้าฟังรู้เรื่อง ก็กินนอนอยู่ที่บ้านข้าดีๆ รอเขามา ย่อมจะรับเจ้าไปเอง”

หลังเอ่ยจบนางก็ยิ้มขื่น ตนเองทำเรื่องโง่เขลาอะไรกัน ต่อให้สัตว์ปิศาจตัวนี้เรียกหวาซีได้ ก็ไม่แน่ว่าจะฟังคำพูดของนางรู้เรื่อง

ทว่าที่นางคิดไม่ถึงคือ ทารกหญิงไม่ร้องเรียกหวาซีแล้ว ทว่านั่งอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าอ้างว้าง ก้มหน้าลงครุ่นคิด ผ่านไปครู่หนึ่งราวกับคิดได้ปรุโปร่ง จึงปีนกลับไปบนตะกร้าอย่างเสียใจ และนอนหลับอย่างสบาย

จินเฟยเหยาเหมือนคนโง่งมจริงๆ มองการกระทำของทารกหญิงผู้นี้อย่างตกตะลึง แล้วสบตากับพั่งจื่ออย่างว่างเปล่า ทว่าพั่งจื่อยักไหล่ให้นาง แล้วเดินไปนอกปากถ้ำอีกรอบ จากนั้นเสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งของกบก็ดังเข้ามา

“ต้านิว ข้าขอมอบทารกหญิงคนนี้ให้เจ้าดูแล เห็นนางเป็นแบบนี้ก็ไม่ต้องให้กินโจ๊ก พวกเจ้ากินอะไรก็ให้นางกินแบบนั้น ถ้าเลือกอาหารเลี้ยงยากนัก ก็โยนออกไปให้นางเกิดเองดับเอง[1]” หลังจากจินเฟยเหยาโมโหพั่งจื่อ ก็โยนทารกหญิงคนนี้ให้ต้านิวดูแล

พอต้านิวรู้ตัวว่าต้องดูแลทารกหญิงคนนี้ ราวกับมันมีพรสวรรค์ในการเป็นแม่และภรรยาที่ดี ในฐานะที่เป็นกบรูปร่างไม่เล็ก นอกจากทำอาหารแล้ว คิดไม่ถึงว่ามันยังเย็บเสื้อผ้าเป็น มันจึงทำเสื้อนวมตัวเล็กๆ อันงดงามให้ทารกหญิงที่นอกจากร้องเรียกหวาซีก็พูดคำอื่นไม่เป็น

“เนี่ยนซี เจ้าว่าเมื่อไหร่ท่านพ่อจะมารับเจ้า? อาศัยพลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณของเขา คิดไม่ถึงว่าจะสามารถทำให้ผู้บำเพ็ญเซียนเหล่านั้นวิ่งวุ่นและคว้าน้ำเหลว ห้าเดือนแล้วนะ แม้แต่เงาก็ยังหาไม่พบ ก่อนหน้านี้ข้าดูเบาเขาเกินไป” จินเฟยเหยานั่งขัดสมาธิบนพื้น วาดยันต์ชั้นต่ำบนโต๊ะศิลาเตี้ยเบื้องหน้าพลางเอ่ยถามเนี่ยนซีที่กินเนื้อดิบอยู่ด้านข้าง

บุตรสาวของหวาซีคนนี้ยอดเยี่ยมยิ่งนัก ให้น้ำแกงเนื้อก็ดื่ม ให้เนื้อย่างก็กิน โยนเนื้อดิบไปให้หน่อยนางก็ยังกินเหมือนเดิม เลี้ยงง่ายเป็นที่สุด เนื่องจากนางพูดเป็นอยู่คำเดียวว่า ซีเอ๋อร์

จินเฟยเหยาก็หวังว่าหวาซีจะหนีรอดจากการตามจับกุม รีบกลับมารับปิศาจน้อยไป ดังนั้นจึงตั้งชื่อให้นางว่าเนี่ยนซี

เจ้าชอบบ่นไม่หยุด[2]มิใช่หรือ? เช่นนั้นแค่เนี่ยนคำเดียวก็พอแล้ว


[1] เกิดเองดับเอง หมายถึง ปล่อยไปตามยถากรรม (ธรรมชาติ)

[2] บ่นไม่หยุด พูดไม่หยุด ในภาษาจีนอ่านว่า เนี่ยนเนี่ยนเตาเตา