บทที่ 104 ทะเลาะ

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

คนสกุลเฉินเกิดในครอบครัวชาวนาทว่ามีความรู้ แต่เล็กก็ได้เล่าเรียนจารีตธรรมเนียมอยู่ในห้องหับ นิสัยจึงนุ่มนวลอ่อนโยน ไม่เหมือนกับคนสกุลหวัง ไม่เพียงเกิดในครอบครัวพ่อค้า ทั้งมีความคิดอ่านเป็นของตนเองแต่เด็ก เรื่องบัญชีเอ่ยคำเดียวก็กระจ่างแจ้ง ปีนั้นท่านปู่ของอวี้ถังชื่นชอบนางในจุดนี้ถึงได้ให้อวี้ป๋อไปสู่ขอนาง และเพราะคนสกุลหวังเป็นคนค่อนข้างเปิดเผย ตอนที่พูดคุยกันก็มักจะเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา

สะใภ้ทั้งสองเห็นท่าทางงงงวยของอวี้ถัง ก็ปล่อยเสียงหัวเราะออกมาอย่างกั้นไม่อยู่ คนสกุลหวังชิงตัดหน้าคนสกุลเฉินเอ่ยขึ้นมาอย่างรวดเร็วว่า “เจ้ารู้แล้วใช่หรือไม่ว่าฮูหยินหลี่มาก่อเรื่องที่เรือนเรา? น่าเสียดายที่เจ้ากลับมาช้า ไม่อย่างนั้นคงได้เห็นสภาพน่าเวทนาของงฮูหยินหลี่แล้ว! หึ! คิดจะมารังแกครอบครัวเรา ฝันไปเถอะ!”

ป้าสะใภ้ที่ดุเดือดเช่นนี้ นางเคยเห็นเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก ภายหลังป้าสะใภ้ก็พูดน้อยลงเรื่อยๆ คนก็ยิ่งไม่ค่อยแจ่มใส เจอปัญหาหรือพบใครมักจะยอมถอยให้เสียมาก น้อยครั้งจะเอ่ยความคิดในใจออกไปตรงๆ

นั่นเป็นเพราะสถานการณ์บังคับหรือ?

ชาติก่อน คนในครอบครัวนางที่ตายไปก็มี ที่แยกจากกันไปก็มี บุตรชายและหลานๆ ล้วนมีชีวิตอย่างข้นแค้น กระทั่งญาติมิตรที่คอยช่วยเหลือยังมองหาไม่เห็น นางย่อมกลัวจะสร้างปัญหาให้บุตรชายและหลานๆ อีก ไม่ว่าสิ่งใดล้วนยอมอดกลั้นเอาไว้ทั้งสิ้น

ชาตินี้ เรื่องราวใดๆ ล้วนราบรื่น ชีวิตของคนในครอบครัวเหมือนดอกงาที่ผลิบ้าน แต่ละฤดูกาลมีแต่จะเติบโตชูยอดสูง อีกไม่นานชีวิตก็จะรุ่งเรืองสดใสแล้ว ป้าสะใภ้ใหญ่จึงยืนยืดเอวตรง อย่าว่าแต่ฮูหยินหลี่เลย ต่อให้ฮูหยินจวนท่านข้าหลวงมาเอง หากมิใช่เรื่องที่ถูกต้องด้วยเหตุและผล เกรงว่าป้าสะใภ้ก็คงตีฝีปากกลับไปหลายคำ

ผู้อาวุโสเช่นนี้ ไม่เพียงทำให้รู้สึกชื่นใจปลอดโปร่ง ทั้งยังมีความเคารพและน่าภาคภูมิใจอีกด้วย

สักวันหนึ่ง นางก็จะเป็นที่พึ่งพาและเป็นความมั่นใจให้กับบิดามารดารวมถึงผู้อาวุโสทุกคน จะไม่ทำให้คนที่คอยกำบังลมฝนให้นางตั้งแต่เล็กต้องผิดหวัง ขอให้นางได้มีโอกาสตอบแทนบุญคุณนี้

ภาพเบื้องหน้าของอวี้ถังคล้ายจะเลือนลาง นางเกี่ยวแขนของป้าสะใภ้เอาไว้ เอ่ยเสียงเบาด้วยรอยยิ้มว่า “คำพูดนี้ของป้าสะใภ้หมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ? ข้าแค่ออกไปข้างนอกครู่เดียว เหตุใดกลับมาถึงรู้สึกว่าแผ่นดินพลิกกลับเป็นแผ่นฟ้าเสียแล้ว ท่านรีบเล่าที่มาที่ไปให้ข้าฟังหน่อยเถอะเจ้าค่ะ!”

คนสกุลเฉินแสร้งไม่พอใจแล้วตบไหล่นางเบาๆ ตำหนินางไปหนึ่งคำว่า “พูดจากับป้าสะใภ้เช่นนี้ได้อย่างไรหึ?” จากนั้นก็หันไปรินน้ำชาให้นาง บุ้ยใบ้ให้ทุกคนนั่งลงสนทนากัน

อวี้ถังนั่งลงข้างๆ คนสกุลหวัง

คนสกุลหวังยิ้มออกมาแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ให้นางฟังอย่างไม่ตกหล่น

ที่แท้ วันที่สองหลังปีใหม่ หลี่ตวนไปคารวะสกุลกู้ที่หังโจว ไม่คิดฝันว่านายท่านใหญ่กู้จะล้มป่วย กู้ซีกับบิดาและมารดาเลี้ยงต่างก็ไปเยี่ยมคนป่วยที่เรือนหลักทางนั้น หลังจากที่เขาไปถึง นายท่านสกุลกู้เพียงโผล่หน้ามาแวบเดียวก่อนมอบเขาให้ผู้ดูแลบ้านสายรองไปจัดการต่อ ผู้ดูแลคนนั้นก็ไม่รู้ว่าคิดอย่างไร จัดเตรียมเหล้ายาอาหารให้เต็มโต๊ะแล้วก็ทิ้งเขาไว้ในห้องรับรองคนเดียว ไม่ได้สั่งการให้ใครมาต้อนรับต่อ หรือส่งใครมาคอยอำนวยความสะดวกให้ หลี่ตวนจึงลอบไม่พอใจอยู่เงียบๆ สุดท้ายเขาจึงหาข้ออ้างแล้วเดินทางกลับเมืองหลินอันในคืนนั้น รอจนถึงวันที่แปดนับจากปีใหม่ คนของสกุลกู้สายรองพลันปรากฎตัวขึ้น แจ้งว่านายท่านบ้านรองเชิญหลี่ตวนไปพูดคุยที่จวน หลี่ตวนไม่กล้าชักช้า ผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคว้าของขวัญสูงค่ามุ่งหน้าไปหังโจวทันที

ใครจะคิดว่านายท่านบ้านรองสกุลกู้ดื่มชากับหลี่ตวนอยู่ค่อนวัน พูดอ้อมค้อมวกไปวนมา บอกว่าคุณหนูกู้อายุยังน้อย งานแต่งเดิมที่กำหนดเอาไว้ต้องเลื่อนออกไปสักหลายปีก่อน ถึงเวลานั้นค่อยมาหารือกันใหม่

หลี่ตวนได้ฟังก็เลือดขึ้นหน้าทันที

สกุลกู้แม้จะไม่ได้เอ่ยชัดเจนว่าต้องการถอนหมั้น แต่ความหมายคือยืดเวลาออกไปไม่ยอมให้ตบแต่ง

เขาไต่ถามถึงเหตุผล

สกุลกู้เพียงบอกว่าไปดูดวงชะตาให้คุณหนูกู้มา เห็นว่าช่วงสองสามปีนี้ไม่เหมาะจะแต่งงาน มิเช่นนั้นอาจมีภัยถึงชีวิต คนสกุลกู้ได้ยินเช่นนั้นก็ขวัญเสีย คิดว่าอย่างไรก็สมควรระวังไว้ก่อน จึงตัดสินใจรอสักสองปีแล้วค่อยยกเรื่องนี้มาว่ากันใหม่

เหตุผลนี้ฟังแล้วสมบูรณ์หนักแน่น หลี่ตวนนั้นให้ความสำคัญกับงานแต่งนี้มาก ไม่อยากจะผิดใจต่อสกุลกู้ จึงได้แต่คล้อยตามความต้องการของสกุลกู้แล้วซ้อมมวยไท่จี๋เป็นเพื่อนายท่านรองอยู่ครึ่งวัน ก่อนที่จะจบเรื่องราวลงเช่นนั้น

แต่เขามิใช่คนไร้ความคิด

ทันทีที่ก้าวออกจากสกุลกู้ก็หว่านเงินแล้วจ้างคนให้แยกย้ายไปตามสืบเรื่องนี้

ไม่นาน เรื่องที่สกุลกู้รับรู้ถึงบุญคุณความแค้นระหว่างสกุลอวี้และสกุลหลี่แล้วก็ลอยมาเข้าหูเขา

เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความจริง เขาไม่อาจปฏิเสธ แต่จะบิดพลิกภาพลักษณ์ที่สกุลกู้มีต่อเขาได้อย่างไรนั้น จำต้องวางในแผนระยะยาว

เขาเลือกเดินทางกลับเมืองหลินอันไปก่อน

ผลคือทันทีที่ถึงท่าเรือก็พบว่าซานมู่ลอบติดตามเขาอย่างลับๆ ล่อๆ

เดิมเขาก็เกิดเพลิงโทสะในอก จึงจับตัวซานมู่ไว้แล้วไต่สวนเขาอย่างโหดร้ายไปหนึ่งรอบ

ซานมู่ไม่พูดอะไรสักคำ หลี่ตวนไม่ได้ข้อมูลจากเขาไป ทว่าสายตาเคลือบแคลงสงสัยกับพุ่งมาที่สกุลอวี้

เมื่อกลับมาถึงจวน คนสกุลหลินก็รู้เรื่องราวจากปากข้ารับใช้ข้างกายของบุตรชายในทันที

นางมั่นใจว่าคนสกุลอวี้อยู่เบื้องหลัง คิดถึงว่าสองปีนี้บุตรชายต้องลงสนามสอบแล้ว ยังวาดฝันจะได้ความสนับสนุนจากกู้ฉ่างพี่ชายของกู้ซี หากว่างานมงคลของสกุลกู้กับสกุลหลี่มีการเปลี่ยนแปลง แล้วหลี่ตวนจะทำเช่นไร? พวกนางสกุลหลี่จะทำอย่างไร?

ต้องรู้ไว้ก่อนว่า พวกนางกับสกุลหลี่แบ่งแยกบรรพบุรุษกันแล้ว ไม่รู้คนมากมายเท่าไรคอยจับจ้อง คนไม่น้อยรอหัวเราะเยาะพวกเขา คนที่คิดจะฉวยโอกาสนี้หาผลประโยชน์จากสกุลเขาก็มีมากขึ้นไปอีก

นางทั้งร้อนใจทั้งเดือดดาล จึงพาหญิงรับใช้ที่ตัวใหญ่มีพละกำลังบุกไปที่เรือนผู้อื่นทันที

คนสกุลเฉินตอนนั้นอยู่เรือนเพียงลำพัง เดิมก็ไม่กล้าเปิดประตูให้ ป้าเฉินเห็นท่าไม่ดี จึงลอบออกทางประตูหลังไปตามคนสกุลหวังมา

คนสกุลหวังหาใช่ตะเกียงน้ำมันหมดไฟ นางวิ่งมาด้วยท่าทีดุดัน แล้วเข้าปะทะกับคนสกุลหลินในทันใด

คนสกุลหลินอย่างไรก็ถูกเลี้ยงมาอย่างเอาอกเอาใจ หลายปีมานี้ก็ใช้ชีวิตอย่างราบรื่นสำราญ ไม่เคยเห็นแก่หน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เมื่อใดเกิดเหตุเบาะแว้งล้วนเป็นผู้อื่นที่ยอมถอยให้ นางเคยเจอชาวบ้านธรรมดาที่ทำมาค้าขายอย่างคนสกุลหวังเสียที่ไหน ต่อเถียงกันไม่กี่คำก็โมโหจนเป็นลมเป็นแล้ง ก่อนถูกบ่าวรับใช้ของสกุลหลี่แบกกลับไป

คนสกุลหวังเล่าจบก็ยังไม่หายโมโห “หากไม่คิดว่าปีนี้เจ้าต้องหารือเรื่องตบแต่ง มีหรือที่ข้าจะปล่อยนางกลับไปง่ายๆ แบบนี้ อย่างไรก็จะตามไปให้ถึงถนนใหญ่เลย ให้ชาวบ้านทุกคนช่วยกันถกเถียงดู อย่าคิดว่าสกุลนั้นแค่มีผู้รู้หนังสือไม่กี่คนแล้วจะยิ่งใหญ่คับฟ้า หรือว่าต่อไปหากพวกนั้นเจอเรื่องเลวๆ อะไรมาก็จะโยนว่าเกี่ยวข้องกับพวกเราหมดอย่างนั้นสิ?”

อาจเพราะพูดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ น้ำเสียงของนางจึงเจือด้วยกระแสโทสะ

คนสกุลเฉินรีบรินน้ำชาให้คนสกุลหวัง เอ่ยปลอบใจนางว่า “อย่าโมโหไปเลย พวกเขามิใช่ต้องการให้ครอบครัวเราเลือดร้อนไปด้วยรึ? หากว่าพวกเราเดือดดาล ก็คงแพ้แล้วแน่ๆ”

คนสกุลหวังสูดหายใจลึกหลายที แต่ปากก็ยังบ่นกระปอดกระแปดว่า “ไม่โกรธหรอก ไม่โกรธหรอก”

อวี้ถังพลันเหงื่อตก ในใจกล่าวโทษญาติผู้พี่ที่ไม่เชื่อนาง ไม่ยอมส่งอาลิ่วที่ขายสาลี่ไปจับตาดูหลี่ตวนแทน แต่พอคิดๆ ดู เรื่องอย่างนี้หากไม่ยอมให้หลี่ตวนรับรู้ แล้วจะต่างจากการสวมเสื้องดงามเดินยามวิกาล[1]ที่ตรงไหน?

สมควรให้สกุลหลี่รับรู้ด้วยสิ

ต้องให้พวกเขาเดินด้วยรอยเท้าที่วุ่นวายสับสน

อวี้ถังร้องเหอะในใจเงียบๆ แล้วเอ่ยกับป้าสะใภ้ว่า “คนสกุลหลินไม่ได้มาผิดที่หรอกเจ้าค่ะ บุญคุณความแค้นระหว่างสกุลเรากับพวกเขา เป็นข้าที่ไปบอกกับสกุลกู้เอง”

คนสกุลหวังกับคนสกุลเฉินต่างอ้าปากค้างเบิกตาโต

ในเมื่อนางกลับมาจากเมืองหังโจวอย่างปลอดภัย ผู้ใหญ่ในเรือนย่อมไม่กังวลว่านางจะเป็นอันตรายอีก นางเองก็ไม่คิดจะปิดบังอะไร ถึงได้เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างละเอียดให้คนสกุลเฉินและคนสกุลหวังฟัง “นี่เป็นความคิดของข้าเองเจ้าค่ะ! สกุลหลี่ถือสิทธิ์อะไรมากลั่นแกล้งให้ครอบครัวเราต้องเจอเรื่องยุ่งยากวุ่นวาย จากนั้นแค่ขอขมาคำเดียวก็นับว่าได้รับการอภัยแล้ว พวกเราจะสร้างปัญหาให้สกุลนั้นหน่อยไม่ได้เลยหรือ?”

ชาติก่อน สกุลอวี้ของนางมิใช่ถูกสกุลหลี่ทำร้ายจนต้องบ้านแตกสาแหรงขาดรึ?

หากว่านางไม่ได้กลับมาเกิดใหม่ ไม่ได้มีความรงจำของชาติก่อน สกุลอวี้ก็คงจะถูกสกุลหลี่เหยียบย่ำทำร้ายไม่ต่างกับชาติก่อน!

อวี้ถังเอ่ยเสียงเย็นว่า “ข้าเคยคิดว่าให้แล้วเรื่องจบกันไป แต่คนโฉดพวกนั้นกลับไม่ยอมรามือ พวกเรายิ่งหลบเลี่ยงถอยหนี พวกเขามีแต่ได้คืบจะเอาศอก ใช้อุบายที่เลวทรามขึ้นเรื่อยๆ”

คนสกุลเฉินได้ฟังก็ร้อนใจจนแทบเต้น “เจ้าเด็กคนนี้ ช่างไม่รู้ความเกินไปแล้ว! จองเวรจองกรรมกันไปไม่รู้จักจับสิ้น มีเรื่องน้อยยิ่งจะทุกข์น้อย พวกเราล้วนมีความสุขกันดี เจ้าอย่าได้ไปก่อเรื่องอีกล่ะ”

คนสกุลหวังกลับคิดตรงข้ามกับคนสกุลเฉิน นางรู้สึกว่าสิ่งที่อวี้ถังพูดช่างตรงใจนางยิ่งนัก

“อาถังพูดถูก ถือสิทธิ์อะไรว่าคนใจอ่อนอย่างพวกเราต้องถูกเอาเปรียบ พวกเขาวางแผนทำร้ายผู้อื่นแค่พูดขอโทษพวกเราก็ต้องให้อภัยหรือ ถ้ารู้แต่แรกว่าเป็นฝีมืออาถัง เมื่อครู่ตอนที่ทะเลาะกับสกุลหลี่ข้าคงยอมรับไปแล้ว ยิ่งสมควรลากนางไปกลางถนนให้คนที่ผ่านไปมาได้ถกเถียงกันดู…เรื่องราวใหญ่โตมาถึงขั้นนี้แล้ว พวกเราสกุลอวี้แม้ต้องอับอาย แต่สกุลหลี่ย่อมขายขี้หน้ามากกว่า เพราะสกุลกู้ถึงกับเลื่อนงานแต่งออกไปเลยนี่!”

บัดนี้ที่ผู้อื่นมองหลี่ตวนด้วยสายตาที่สูงส่งขึ้นมาหน่อย ก็เพราะเขาเกาะเกี่ยวต้นไม้ใหญ่อย่างสกุลกู้ได้มิใช่หรือ?

หากว่าสกุลหลี่ไม่ได้เกี่ยวดองกับสกุลกู้แล้ว ในครอบครัวเขาก็มีแค่ขุนนางขั้นสี่หนึ่งคนเท่านั้น มีอะไรน่าเกรงขามกัน?

“นี่…” คนสกุลเฉินคิดว่าเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง แต่กลับฟังคนสกุลหวังพูดจนเริ่มเอนเอียง เวลานี้พลันไม่รู้จะเอ่ยอะไรออกมา

อวี้ถังจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ท่านแม่ เดินสวนกันในทางแคบไม่มีที่ให้ถอย ผู้กล้าหาญบุกบั่นย่อมชนะ แต่ก่อนพวกเราหวาดกลัวเกินไป ทำอะไรก็ไตร่ตรองถึงค่อยลงมือทำ ทั้งยังกระทำการอย่างระวังรอบคอบ แล้วผลลัพธ์เป็นอย่างไรล่ะเจ้าคะ?”

ผลคือท่านลุงใหญ่กับญาติผู้พี่ของนางต้องประสบเคราะห์ร้าย

หากว่าชาติก่อนนางเอาตัวออกมาจากสกุลหลี่ให้เร็วกว่านี้ เป็นไปได้ไหมว่าเรื่องราวทั้งหมดจะเปลี่ยนไปจากเดิม?

อวี้ถังพลันมีน้ำตารื้นขึ้นมา

“ภรรยาข้า อาถังกล่าวได้ถูกต้องแล้ว!” ทันใดนั้น ในห้องพลันมีเสียงอวี้เหวินดังขึ้น

ทุกคนต่างหันศีรษะไปมอง

ไม่รู้ว่าอวี้เหวินกลับมาตั้งแต่เมื่อไร เขากำลังยืนฟังพวกนางคุยกับอยู่หน้าประตูห้องด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

“สามี!”

“น้องสามี!”

“ท่านพ่อ!”

สามคนต่างทักทายอวี้เหวินพร้อมกัน

ดวงหน้าอวี้เหวินมีประกายรอยยิ้ม เขาวางมือลงบนบ่าของอวี้ถัง แล้วเอ่ยกับคนสกุลหวังว่า “ยังเป็นพี่สะใภ้ที่หลักแหลม เมื่อเจอความโหดร้ายดุดัน พวกเราก็ต้องป่าเถื่อนยิ่งกว่าถึงจะกลายเป็นผู้ล่าที่ดีได้” พูดจบ เขาก็หันไปประสานมือและก้มตัวคารวะคนสกุลหวังจนต่ำ “วันนี้ลำบากพี่สะใภ้ที่ยื่นมือช่วยเหลือ วาจาเกรงใจข้าคงไม่พูดแล้ว อีกเดี๋ยวให้มารดาอวี้ถังลงมือผัดกับข้าวสักหลายอย่าง เชิญท่านกับพี่ใหญ่ไปดื่มสุราที่เรือนข้าเถอะ”

น้องสามีของตนกล่าวขอบคุณอย่างหนักแน่นเช่นนี้ คนสกุลหวังพลันหน้าแดงเรื่อ โบกมือปัดพลางตอบว่า “น้องสามีเกรงใจเกินไปแล้ว”

อวี้เหวินหมุนตัวไปบอกกับคนสกุลเฉินว่า “ต่อไปเจ้าเจอเรื่องอันใด ต้องไปหารือกับพี่สะใภ้ก่อนเท่านั้น ให้ฟังคำของพี่สะใภ้เป็นใช้ได้”

เมื่อครู่ตอนที่คนสกุลหวังปะทะกับคนสกุลหลิน นางก็รู้สึกนับถือนางจากใจจริงแล้ว พอมาได้ยินอวี้เหวินพูดเช่นนี้อีก ก็ยิ่งเคารพคนสกุลหวังกว่าเก่า รีบร้อนเอ่ยขอบคุณนาง

สองสะใภ้ต่างสลับกันกล่าววาจาเกรงใจ อวี้เหวินกลับตีหน้ายักษ์หันไปไต่สวนอวี้ถังว่า “เหตุใดเจ้าใจกล้าเช่นนี้ ถึงขั้นอาจหาญไปเมืองหังโจว? เห็นบิดากับลุงเจ้าเป็นเพียงของตกแต่งอย่างนั้นรึ? เหตุใดเจ้าถึงไม่เคยบอกกับข้าล่วงหน้าเลยสักคำ?”

นางมิใช่ลากญาติผู้พี่ไปด้วยแล้วหรอกรึ?

อวี้ถังเห็นว่าบิดาโมโห กล้าเพียงต่อปากเถียงอยู่ในใจ ศีรษะนั้นกดลงจนต่ำ วางท่าคล้ายคนที่กระทำความผิดมา

ทว่าวาจาที่ออกจากปากอวี้เหวินต่อจากนั้น กลับทำให้อวี้ถังแทบหลุดหัวเราะ

“ถ้ารู้แต่แรกว่าเจ้ามีความคิดพิเรนทร์ๆ เช่นนี้ ข้าก็คงไปพร้อมกับเจ้าด้วยแล้ว”

————————————————————-

[1]สวมเสื้องดงามเดินยามวิกาล เป็นสำนวนหมายถึง การสวมใส่เสื้อผ้าที่งดงามในเวลากลางคืน เหมือนกับการเพลิดเพลินกับความรุ่งโรจน์และความมั่งคั่งโดยไม่แสดงให้คนอื่นเห็น