บทที่ 80 หาเส้นทาง Ink Stone_Romance

ท้องฟ้ายามค่ำคืนมืดมัว เจ้าอาวาสซุนวางคัมภีร์ในมือลงแล้วลุกขึ้น

“อาจารย์ คืนนี้ท่านจะไปวังไท่ผิงอีกหรือเจ้าคะ” เด็กน้อยเอ่ยถาม

“ข้านอนที่นั่นแล้วกัน” เจ้าอาวาสซุนกล่าว “พวกเจ้าระวังดูฟืนไฟให้ดี ตอนนี้อากาศแห้งนัก”

เด็กน้อยขานรับ แล้วถือโคมไฟด้วยตนเอง

ทางเขาคดเคี้ยว แสงไฟสลัวลอยขึ้นเขาไป

วังไท่ผิงยังคงเป็นวังไท่ผิงนั้น คนที่เปิดประตูให้ยังคงเป็นแม่ชีเด็กคนนั้น

ตามความเคยชินแล้ว นางจะไปตรวจตรารอบๆ ที่พักของเฉิงเจียวเหนียงด้วยตนเอง

“วันนี้เช็ดถูแล้วหรือยัง” นางเอ่ยถาม

“เช็ดแล้วเจ้าค่ะ ดอกไม้ในเรือนนี้ก็เปลี่ยนใหม่เจ้าค่ะ” แม่ชีเด็กกล่าว

เจ้าอาวาสซุนพยักหน้าเล็กน้อย

“อย่าลืมทำเช่นนี้ทุกวัน เช่นนี้ในเรือนก็จะมีชีวิตชีวา มิเช่นนั้นนายหญิงกลับมาอยู่แล้วจะไม่ดี” นางกล่าว

แม่ชีเด็กขานรับ ในใจก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นเท่าไร นายหญิงเพิ่งจะไป จะกลับมาเร็วเพียงนั้นได้อย่างไร อีกอย่าง เป็นคนบ้านฝั่งท่านแม่ของนางที่รับตัวไปอีก

“อาจารย์ นายหญิงยังจะกลับมาอีกหรือไม่เจ้าคะ” นางอดเอ่ยถามไม่ได้

บ้านตระกูลเฉิงไม่ดีต่อนางเพียงนี้ บ้านฝั่งท่านแม่รับไว้ไม่ดีหรือ ยังจะกลับมาทำไมกัน

เจ้าอาวาสซุนไม่ได้พูดอะไร

เวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมาไม่มีนายหญิงผู้นี้อยู่ก็ไม่ได้รู้สึกอะไร แต่ทำไมเมื่อนายหญิงผู้นี้อาศัยอยู่เพียงเวลาสองเดือนเท่านั้นแล้วหายไปในใจกลับเคว้งคว้างยิ่งนัก

คล้ายกับว่าสูญเสียบุคคลที่เป็นที่พึ่งไปอย่างนั้น

บุตรสาวที่ถูกบ้านตระกูลเฉิงทิ้งไว้ให้โตในวัดเต๋า นางกลับเห็นเป็นบุคคลที่เป็นที่พึ่ง พูดออกไปตนยังรู้สึกน่าขัน

เจ้าอาวาสซุนยิ้มแล้วส่ายหน้า

“นางจะกลับมาหรือไม่ ที่นี่ก็เป็นบ้านของนาง” นางกล่าว

แม่ชีเด็กร้อง ‘อ้อ’ ก็จริง วังไท่ผิงนี้อย่างไรเสียก็เป็นสมบัติของตระกูลเฉิง

ศิษย์อาจารย์สองคนหันกลับไปปิดประตูแล้วออกมา ประตูเขาด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น

“อาจารย์ คนของวัดเป่าหยวนซานส่งจดหมายมาเจ้าค่ะ”

วัดเป่าหยวนซานหรือ

เจ้าอาวาสซุนตะลึงไปชั่วครู่ ดึกเพียงนี้แล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น

ในห้องนั้น เจ้าอาวาสซุนอ่านจดหมายด้วยไฟดวงที่อยู่ใกล้ตัว สีหน้าอารมณ์ซับซ้อน

“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่าเด็กสองคนนี้ชอบก่อเรื่อง ให้พวกเจ้าระวังคอยเฝ้าดูเอาไว้” นางกล่าวแล้วถอนหายใจ

“ใช่ ตอนแรกก็ระวัง แต่เด็กสองคนนี้ดูเชื่อฟังมาก ตั้งใจเล่าเรียน ขยันทำงาน ไม่ได้บอกว่าชีวิตตนน่าสงสารอย่างไร สงบเสงี่ยม ก็เลย…” คนที่มาก็เป็นแม่ชีวัยกลางคน ก็กล่าวพลางถอนหายใจ “ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ จะหนีไป แล้วยังขโมยเงินบริจาคของวัดไปอีก นั่นเป็นเงินเก็บที่ไว้ใช้ในฤดูหนาวเชียวนะ”

“สมน้ำหน้า” เจ้าอาวาสซุนกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “อย่าได้หวังว่าข้าจะให้เงินบริจาคของพวกข้ากับพวกเจ้าเลย”

แม่ชีวัยกลางคนหัวเราะทำหน้าแหย

“ท่านอาจารย์อา อาจารย์ข้ามิได้หมายความว่าเช่นนั้น เพียงแค่มาบอกข่าวกับพวกท่านเท่านั้น” นางกล่าว

เจ้าอาวาสส่งเสียงโกรธเคือง

“ข้าจะไม่รู้ความคิดชั่วร้ายของอาจารย์เจ้าหรือ” นางกล่าว เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ถอนหายใจ “เด็กสองคนดึกดื่นป่านนี้จะหนีไปไกลได้แค่ไหนเชียว พวกเจ้าหาดีแล้วหรือยัง”

“หาแล้ว ภายในรัศมีร้อยลี้หาทั่วหมดแล้ว ไม่มีแม้แต่เงา ช่างประหลาดเสียจริง มิเช่นนั้นก็คงจะโดนหมาป่าคาบไปแล้ว” แม่ชีวัยกลางคนกล่าว

เจ้าอาวาสซุนมองดูจดหมายในมือไม่ได้พูดอะไร ครุ่นคิดอยู่ว่าจะส่งจดหมายให้เฉิงเจียวเหนียงดีหรือไม่ แต่ก็นึกได้ว่าตอนลากันไม่ได้ให้ที่อยู่ไว้ ส่งจดหมายไปก็ไม่ได้

“ดึกแล้ว เจ้าไปพักผ่อนที่ตีนเขาก่อนเถิด หนีไปแล้วก็ช่างเถิด อย่างไรเสียก็ไม่มีวิธีอื่นใด พวกเราไม่ได้ไล่พวกนางไป แต่พวกนางจะไปเอง จะอยู่จะตายก็แล้วแต่โชคชะตาเถิด” นางกล่าว

แม่ชีวัยกลางคนขานรับ

“ท่านอาจารย์อา” นางเหมือนว่านึกอะไรขึ้นได้จึงหยุดเดิน แล้วยิ้มประจบ “ได้ยินว่าขนมของพวกท่านมีชื่อนัก ตอนข้าไปเอาไปบ้าง จะได้ช่วยป่าวประกาศให้กับคนทางนั้นดีหรือไม่”

เจ้าอาวาสทำทีถ่มน้ำลายใส่ สีหน้าบ่งบอกว่ารู้อยู่แล้วว่าพวกเจ้าคิดอะไร

“ไม่มีไม่มี ไม่ต้องไม่ต้อง พวกเราเป็นวัดเต๋า ไม่ใช่ร้านขนมหวาน จะป่าวประกาศอะไรกัน” นางกล่าว

ท้องฟ้ามืดมิด ลมเขาพัดเป็นระลอก

ในยามค่ำคืนที่มืดมิด เงาคนเล็กๆ สองเงาเดินทางไกลอย่างยากลำบาก

“ท่านพี่ ข้าเดินไม่ไหวแล้ว”

“เดินไม่ไหวก็ต้องเดิน”

“ท่านพี่ พวกเราจะไปไหนกัน”

“ไปที่ที่ทำให้พวกคนที่ไม่เอาพวกเราจะต้องเสียใจ”

ในยามค่ำคืน ในที่สุดก็เห็นแสงโคมไฟสองดวง ขบวนคนและรถม้าต่างก็พากันโล่งใจ

“นายหญิง นายหญิงเจ้าคะ ถึงที่พักแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้กล่าวอย่างดีใจ แล้วมองดูหญิงสาวที่ห่อด้วยผ้าห่มอยู่ในรถ

“ดึกเพียงนี้แล้ว เร่งเดินทางต่อเลยจะดีเสียกว่านะขอรับ” พ่อบ้านเฉากล่าวกับนายเฉินสี่

นายเฉินสี่ยินยอมแน่นอน ตอนมาพวกเขาก็ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน ขากลับพาหญิงสาวผู้นี้มาด้วยเดินทางช้าขึ้นมาก

“เจ้าไปบอกกับนายหญิงผู้นั้นเถิด” เขากล่าว

“ข้าหรือ” พ่อบ้านเฉารีบโบกมือ “ให้นายเฉินสี่ไปจะดีกว่าขอรับ”

ระหว่างทางมานี้ พ่อบ้านเฉาแทบจะไม่ได้ปรากฏตัวต่อหน้าเฉิงเจียวเหนียงเลย แน่นอนว่านายเฉินสี่ก็เห็น เมื่อนึกถึงเรื่องที่วัดแล้ว เขาก็มองออกว่า เฉิงเจียวเหนียงไม่ชอบพ่อบ้านเฉา หรือไม่ก็ ไม่ชอบตระกูลโจว

“นายหญิงท่านนี้ของเราพิลึกคนแต่เด็ก เชื่อฟังเพียงเหล่าฮูหยินของเรา ท่านเป็นคนเลี้ยงดูมาแต่เล็กจนโตขอรับ” พ่อบ้านเฉาทำเหมือนพูดบ่นไปเรื่อย

นายเฉินสี่ร้อง ‘อ้อ’ เด็กคนนี้เหล่าฮูหยินโจวเป็นคนดูแลจนโตหรอกหรือ อย่างนั้นก็น่าจะสนิทสนมกับคนตระกูลโจว คนป่วยมักจะแปลกพิลึก แม่นางเจียวเหนียงผู้นี้ก็คงจะนิสัยแปลกพิลึกล่ะสิ

เขาหันไปพูดหน้ารถม้า

“จะได้อย่างไรเจ้าคะ เหนื่อยเกินไปนะเจ้าคะ จะทนได้อย่างไรเจ้าคะ” สาวใช้กล่าวคัดค้านในทันที

คนร่างกายแข็งแรงอย่างนางนั่งรถม้าส่ายไปมานานเพียงนี้ยังทนไม่ไหว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฉิงเจียวเหนียงที่ร่างกายอ่อนแอเช่นนี้เลย

นายเฉินสี่มองดูเฉิงเจียวเหนียง เขารู้ว่านายบ่าวคู่นี้ใครที่เป็นคนตัดสินใจกันแน่

“นายหญิง อาการป่วยพ่อข้าช่าง…” เขากล่าวด้วยความรู้สึกผิด

“ยิ่งเร็วก็ยิ่งช้า” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว

“อยากทำให้เร็วกลับไม่สำเร็จนะเจ้าคะ” สาวใช้พยักหน้า มองดูนายเฉินสี่ผู้นั้นแล้วกล่าว “นายหญิงข้าเหนื่อยแย่แล้ว เมื่อถึงที่นั่น ก็ไม่มีเวลามาสนใจอาการป่วยของพ่อท่านแล้วเจ้าค่ะ”

ก็จริง นายเฉินสี่พยักหน้า

“ข้าละเลยเอง นายหญิงอภัยให้ด้วย” เขากล่าว

เมื่อตัดสินใจจะพักผ่อน ฝูงคนก็พากันไปทางที่พักกันอย่างคึกคัก ไม่คิดว่าดึกดื่นป่านนี้ ในที่พักจะคึกคักกว่าพวกเขาอีก

นี่เป็นที่พักทรุดโทรมไม่ได้ซ่อมแซมมานานแรมปี เวลานี้ในเรือนมีรถม้าจอดอยู่เต็มไปหมด ส่วนมากเป็นรถม้าขนสินค้า ในอากาศมีกลิ่นแปลกๆ ลอยตีกันมากมาย

“ออกไป ออกไป ไม่มีที่แล้ว คนจะตายอยู่แล้วยิ่งเข้ามาอาศัยไม่ได้” คนดูแลที่พักร่างอ้วนท้วนสองคนกำลังขับไล่ชายหนุ่มสี่ห้าคนอยู่

ชายหนุ่มสี่ห้าคนนั้นยกบานประตูที่บนนั้นมีคนห่มผ้านอนอยู่ ถูกคนดูแลที่พักขับไล่ เหล่าชายหนุ่มต่างก็ขึ้นเสียงด่าทอ

“ทำอะไรน่ะ พวกหนีทหารที่รบแพ้โจรฝั่งเมืองตะวันตกอย่างพวกเจ้า จะมาเหิมเกริมที่นี่อย่างนั้นหรือ” คนดูแลที่พักด่า

“ไอ้พวกโจรขโมย!”

คำพูดนี้ดั่งมีดที่ทิ่มแทงใจชายหนุ่มพวกนี้ ทันใดนั้นก็หน้าแดง แล้วยกกำปั้นขึ้น

“หยุดก่อเรื่องได้แล้ว เขาก็ไม่ได้พูดผิดอะไร” ชายผู้หนึ่งตะโกนกล่าว ห้ามคนอื่นๆ แล้วมองคนดูแลที่พัก “พวกข้าแค่พักข้างนอกเพียงคืนเดียว”

“พี่ใหญ่ แต่น้องสามเขา อาการป่วยเขา…” ชายคนอื่นกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอื้นเล็กน้อย

ชายหนุ่มไม่ได้พูดอะไร แล้วมองมาทางนี้

ทางนี้รถม้าของนายเฉินสี่วิ่งเข้ามา เขาตัวสูงใหญ่ เสื้อแพรเข็มขัดหยก แค่มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา

คนดูแลที่พักที่คอยสังเกตรีบส่งยิ้มต้อนรับ

“ท่านขุนนาง พักห้องพักหรือไม่” พวกเขากล่าวทักทายอย่างกระตือรือร้น

พ่อบ้านเฉาหยิบตั๋วที่พักออกมา เมื่อเห็นตราประทับของขุนนางกองสรรพาวุธเมืองหลวงสีแดงสดแล้ว คนดูแลที่พักแทบจะเอาหัวจรดบนพื้น

ที่เล็กๆ อย่างพวกเขา เคยพบเจอขุนนางใหญ่จากเมืองหลวงเช่นนี้ที่ไหนกัน พวกเขาดีใจจนเนื้อตัวสั่นระริก

“ห้องชั้นหนึ่งไม่พอแล้ว”

“ไม่พอก็ไปไล่พวกพ่อค้าออกมาให้หมด”

ที่พักนั้นคึกคักขึ้นมาในทันใด

ชายหนุ่มที่ก่อไฟอยู่ด้านนอกมองด้วยสายตาเย้ยหยัน มีคนพูดสุดเสียงออกมาคำหนึ่ง

“ฐานะสูงต่ำชะตาช่างต่างกันนัก!” เขากล่าว

“พี่ใหญ่ น้องสามไม่ไหวแล้ว” ชายผู้หนึ่งตะโกน แล้วมองดูชายใต้ผ้าห่มบนบานประตูผู้นั้น

ฝูงคนแห่เข้าไปมุงล้อมรอบ แต่กลับไม่รู้จะทำอย่างไร สุดท้ายก็ก้มหน้าร้องไห้

“ชะตาชีวิตคน ฟ้าลิขิต ยอมรับชะตาเสียเถิด” ชายที่เป็นหัวหน้ากล่าวพึมพำ สีหน้ากลับเจ็บปวดอย่างสุดซึ้งพร้อมกำมือไว้แน่น

ใครอยากยอมรับชะตากัน! ใครอยากยอมรับชะตากัน! ช่างจนใจ! ช่างจนใจเสียจริง!

“ชะตาชีวิตคน ฟ้าลิขิต จริงๆ” เสียงหญิงสาวผู้หนึ่งดังขึ้น “ผู้ป่วยนี้ พบข้าแล้ว ช่างโชคดี เสียจริง”

อะไรนะ

ในที่พักเสียงดังอึกทึกครึกโครม มีรถม้าตามมาสองสามคัน รถม้าคันหนึ่งในนั้นจอดอยู่ทางนี้พอดี คล้ายว่ากำลังรอให้ข้างในเก็บของเสร็จแล้วจึงเข้าไป เวลานี้ม่านรถเปิดออก ในยามวิกาลที่มืดสลัวคล้ายว่าจะเป็นรูปลักษณ์ของหญิงสาวผู้หนึ่งมองมา

…………………………………………………………