ภาค 1 บทที่ 61 เจ้า...ออกมา

จอมศาสตราพลิกดารา

บทที่ 61 เจ้า…ออกมา ProjectZyphon

หม่าจวินอู่เตรียมการไว้นานแล้ว ได้ยินดังนั้นก็ยื่นธนูสีเงินคันที่หลี่มู่ใช้จนชินมือไปให้

หากรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ศรเขี้ยวหมาป่า

มือปราบสี่คนย่อตัวลงข้างกายหลี่มู่ ต่างยกกระบอกธนูที่เต็มไปด้วยธนูขนนกในมือขึ้นสูง

หลี่มู่ไม่แม้แต่จะมอง หยิบลูกธนูออกมา

สายธนูสั่นระรัวดุจเสียงกลอง

ท่ายิงธนูต่อเนื่องที่เขาใช้พุ่งไปราวกับพายุลมกรด เร็วจนถึงขีดสูงสุด ราวๆ สามอึดใจก็ยิงจนลูกศรทั้งสี่กระบอกหมดเกลี้ยง

ธนูหนึ่งกระบอกมีธนูขนนกยี่สิบดอก

กระบอกธนูสี่กระบอกก็เป็นลูกธนูแปดสิบดอก

เสียงร้องเจ็บปวดและคร่ำครวญดังมาจากทุกทิศ

เห็นเพียงจอมยุทธ์ยอดฝีมือที่ใช้วิชาตัวเบาคิดจะหลบหนีต่างมีธนูปักหัวเข่าทั้งสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นสักคน พวกเขาถูกยิงเข้ากลางอากาศ ร่วงลงไปนอนบนพื้น เจ็บจนหน้าตาบิดเบี้ยว หนีไม่ไหวอีกแล้ว

หลี่มู่ชี้นิ้วนับอย่างจริงจัง ก่อนจะผิดหวังเล็กน้อย “ยิงเร็วเกินไป ยิงเบี้ยวไปสามดอก ยิงพลาดไปหนึ่งดอก…”

สามดอกที่ยิงเฉล้วนยิงไปที่ก้นของเจ้าอ้วนคนหนึ่ง

ส่วนหนึ่งดอกที่ยิงพลาดนั้นยิงข้ามหัวขอทานเฒ่าไปปักอยู่บนกำแพงหินของลานประลอง

ขอทานเฒ่ากัดฟันกรอด “เจ้าหนุ่มนี่ เจ้าจงใจแน่ๆ”

หลี่มู่หัวเราะแต่ไม่พูดอะไร

ในยามนี้ จอมยุทธ์ยอดฝีมือหลายร้อยคนที่นั่นไม่มีใครกล้าหลบหนีแล้ว

ไร้หนทางหนี ทักษะการยิงธนูของขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ร้ายกาจนัก

การยิงธนูที่ราวกับพายุคลั่งนำความกดดันมาให้ไม่น้อยไปกว่าฝ่ามือไร้เทียมทานก่อนหน้านี้เลย

คนที่พยายามหนีไม่มีใครหนีรอดสักคน

จอมยุทธ์ยอดฝีมือที่ถูกธนูยิงเข้าที่เข่าไม่อาจสำแดงวิชาตัวเบาได้เลย

หนีไม่รอดแน่แล้ว

ขัดขืนเล่า?

ก็ไม่กล้า

แม้แต่ ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงและ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนยังโดนซัดสลบเหมือนกับบี้มด ซ้ำยังล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนเหล็ก หากพวกเขายังกล้าขัดขืน เกรงว่าจะกลายเป็นเนื้อสับเสียกระมัง?

ตอนนี้ยังมีเรื่องอะไรที่ขุนนางเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์หลี่มู่ไม่กล้าทำอีก?

ด้วยเหตุนี้ ในที่แห่งนั้นถึงเกิดภาพที่หลายสิบปีมานี้หาได้ยากยิ่งในยุทธจักร ยอดฝีมือทั้งหลายยืนเข้าแถวอย่างไม่กล้าขัดขืนแม้แต่น้อย รอมือปราบของที่ว่าการอำเภอเดินมาล่ามโซ่ตรวนให้กับตน จากนั้นก็ใช้เชือกยาวมัดโยงกันไว้เหมือนตั๊กแตนเสียบไม้

พวกคนชั่วช้าที่ชอบฆ่าคน ปล้น วางเพลิงเป็นประจำในยุทธภพ เวลานี้เชื่องเรียบร้อยไม่ต่างจากกระต่ายกินแครอท

หลี่มู่พลันนึกเรื่องอะไรขึ้นมาได้

“คนไหนชื่อฉินหย่ง?” เขามองไปยังกลุ่มเชลยพรรคมังกรฟ้า

ท่ามกลางฝูงชน ชายหนุ่มที่สวมเกราะอ่อนมังกรฟ้าสีแดงสดหลังแบกกระบี่เล่มโตหน้าเปลี่ยนสีทันที

เขาก็คือฉินหย่ง ลูกศิษย์คนแรกของ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยน

ฉินหย่งผู้นี้คือลูกศิษย์มังกรเงิน นับเป็นยอดฝีมือในบรรดาคนพรรคมังกรฟ้าครั้งนี้ หลายวันที่ผ่านมากำเริบเสิบสานอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์เป็นอย่างมาก แต่ระหว่างการต่อสู้เมื่อครู่เขาเห็นท่าไม่ดี ครั้นตะโกนคำพูดติดปากอยู่ในฝูงคนแล้วก็หลบหนีไปไกล ดังนั้นจึงไม่อยู่ในรายชื่อคนที่ถูกหลี่มู่ซัดจนสลบ

สายตาของหลี่มู่เฉียบคม แค่มองไปก็รู้สถานการณ์

“เจ้า…ออกมา” เขาพูดขึ้น

ฉินหย่งหน้าเปลี่ยนสีไม่รู้กี่ตลบ พูดขึ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวน “ใต้ ใต้ ใต้…ใต้เท้า ท่านเรียกหาข้าด้วยเรื่องอันใด?”

“ใต้ ใต้ ใต้…ใต้บ้านเจ้าสิ” หลี่มู่พูดอย่างโมโห “สารรูปอย่างเจ้ายังกล้ามาวางท่าในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ของข้า เที่ยวตัดแขนคน ซ้ำยังทำร้ายลุงเหลียงร้านชา?”

ฉินหย่งหน้าซีดเผือดทันที

หลายวันก่อนนี้เขาวู่วามไปตามอารมณ์ ตัดแขนจอมยุทธ์หนวดเคราครึ้มคนหนึ่งที่พูดจาเลื่อนเปื้อนตรงร้านชาริมถนน และยังซัดฝ่ามือทำร้ายตาแก่ร้านชาที่ยุ่งเรื่องชาวบ้านเสียบาดเจ็บสาหัส

เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ สำหรับฉินหย่งก็เป็นแค่ตัวชูรสในชีวิตเท่านั้น

แต่ว่าตอนนี้หลี่มู่พูดออกมา เขาก็รู้ทันทีว่าซวยแน่แล้ว

“วะ…วันนั้นผู้น้อยดื่มสุรามึนเมา สติเลอะเลือน…” ฉินหย่งพยายามอธิบายติดๆ ขัดๆ

เห็นได้ชัดว่าแก้ตัว

หลี่มู่ขี้เกียจเปลืองน้ำลายกับพวกขี้ขลาดเช่นนี้อีก

เคร้ง!

ดาบเล่มหนึ่งร่วงลงตรงหน้าฉินหย่ง

“ตัดแขนตัวเองข้างหนึ่งเสีย”

หลี่มู่ไม่อ้อมค้อม

“ข้า…ขุนนางเมืองหลี่ ไว้ชีวิตด้วยเถิด…” ฉินหย่งตกใจจนเข่าอ่อนลงไปกองอยู่ที่พื้น ใบหน้าซีดขาว โขกศีรษะอ้อนวอนสุดชีวิต ความเจ็บปวดและความน่าสังเวชจากการแขนขาด เขาไม่อาจรับมันได้

หลี่มู่ไม่ขยับแม้แต่น้อย

วันนั้นตอนที่ฉินหย่งตัดแขนชายหนุ่มเคราครึ้ม ช่างเหี้ยมโหดอำมหิตยิ่งนัก ทั้งยังทำร้ายลุงเหลียงร้านชาบาดเจ็บสาหัส วางอำนาจบาตรใหญ่ไม่มีขอบเขต ในตอนนั้นเขาเคยคิดถึงความชั่วช้าและเหี้ยมโหดของตนหรือไม่?

สิ่งที่ตนไม่ปรารถนา ก็จงอย่าได้กระทำต่อผู้อื่น

ทั้งหมดในยามนี้เป็นผลกรรมจากการกระทำทั้งสิ้น

“ไปช่วยเขาหน่อย” หลี่มู่หันหน้าไปหาเฝิงหยวนซิง

นายทะเบียนเฝิงไม่พูดพร่ำทำเพลง หยิบดาบเดินไปเตะฉินหย่งที่ตกใจจนวิญญาณออกจากร่างเสียล้มกลิ้ง ก่อนจะยกดาบฟันฉับตัดแขนของเขาข้างหนึ่งทิ้ง

“ฆาตกร ช้าเร็วก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต”

เฝิงหยวนซิงส่งเสียงสบถ กล่าวว่า “แขนข้างนี้คือค่าตอบแทน จำเอาไว้ วันหลังอย่าได้เที่ยวรังแกชาวอำเภอขาวพิสุทธิ์ของข้าตามอำเภอใจ”

ทหารมือปราบทั้งหลายรอบๆ ต่างสะเทือนใจ

ลุงเหลียงร้านชาอยู่ในเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์มานานหลายปี สองสามีภรรยาคนชราชอบช่วยเหลือผู้ตกทุกข์ได้ยาก มิตรไมตรีดีเลิศ พวกทหารดื่มชาของเขาเป็นประจำ วันนั้นเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้น เหล่าทหารต่างคับแค้นอยู่ในอก แต่กลับไม่อาจทำอะไรฉินหย่งลูกศิษย์คนแรกภายใต้เงาของ ‘หนึ่งกระบี่มังกรเมฆา’ ตงฟางเจี้ยนได้

วันนี้ ยามนี้ พวกเขาตระหนักได้ว่าใต้เท้าขุนนางเมืองไม่ได้ลืมเรื่องนั้น

ที่แท้ใต้เท้าก็รู้จักท่านลุงเหลียง ทั้งยังยินดีแก้แค้นให้กับลุงเหลียงบุคคลตัวเล็กๆ เช่นนี้ ทำให้ทหารมือปราบองครักษ์ทุกคนต่างรู้สึกถึงการได้รับการยอมรับ ซ้ำยิ่งทำให้พวกเขาเลื่อมใสและสนับสนุนหลี่มู่มากขึ้น

เพราะหลี่มู่ใช้การกระทำบอกพวกเขาทุกคนว่า เขาใส่ใจผู้อ่อนแอเหล่านี้ และยินดีชักดาบเพื่อปกป้องพวกเขา

“อะ…อ๊ากกกก…”

ฉินหย่งร้องโหยหวน ทั่วร่างเต็มไปด้วยเลือด กลิ้งไปมาอยู่บนพื้น

เขารู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสที่ตนเคยปฏิบัติกับผู้อื่นแล้ว

เสียงร้องโหยหวนน่าสังเวชทำให้จอมยุทธ์ผู้กล้าทั้งหลายที่นั่นต่างสัมผัสได้ถึงความกลัวที่ยากจะบรรยาย ทั้งยังทำลายความกล้าทั้งหมดของพวกเขาจนสิ้น

เผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ แข็งแกร่ง และโหดเหี้ยมเช่นขุนนางเมืองหลี่ สิ่งที่พวกเขาทำได้เหมือนจะมีแค่ตามใจเขาเท่านั้น

ต่อมาทุกอย่างก็ง่ายขึ้น

ก่อนหน้านี้หลี่มู่บัญชาเอาไว้ ดังนั้นที่ว่าการอำเภอจึงติดตามตรวจสอบเหล่าจอมยุทธ์ที่อยู่ในเมืองอย่างลับๆ นานแล้ว ในด้านการต่อสู้ บางทีพวกมือปราบและองครักษ์ไม่อาจเทียบกับจอมยุทธ์ที่กระโดดไปกระโดดมาได้ แต่หากพูดถึงเรื่องสืบค้นข้อมูลละก็ พวกเขาแข็งแกร่งกว่ามาก

จากผลการตรวจสอบของเหล่าองครักษ์ที่ว่าการ จอมยุทธ์พวกที่ทรงคุณธรรมและไม่ได้ก่อเรื่องชั่วร้ายในเมืองจริงๆ ก็ปล่อยไปทันที หลังจากสั่งสอนและตักเตือนแล้วก็ให้พวกเขาไปจากเมืองอำเภอขาวพิสุทธิ์ อย่าได้รั้งอยู่ต่อไป

ส่วนพวกเดนตายที่ก่อกรรมไว้ก็ส่งเข้าคุกไปทั้งหมดโดยไม่ปรานี

หลี่มู่ดูแลอยู่ที่นั่น ทุกอย่างดำเนินการไปอย่างราบรื่นเป็นพิเศษ

ตัวต้นเหตุอย่าง ‘มือเหล็กสะท้านฟ้า’ เถี่ยเจิ้นตงและ ‘หนึ่งกระบี่มังกรฟ้า’ ตงฟางเจี้ยนล้วนถูกเฝ้าดูอย่างเข้มงวด ล่ามโซ่ตรวนที่แข็งแรงที่สุด ขังเอาไว้ในห้องขังที่แข็งแรงและมืดที่สุด

“มารดามันเถอะ เจ้าตัวเล็กนี่…น่าสนใจอยู่นา” ขอทานเฒ่าจิปากอย่างอัศจรรย์ใจ

เขาพเนจรรอนแรมไปทั่ว ไม่เคยพบเห็นขุนนางเมืองที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เช่นนี้ และไม่เคยเห็นใครใช้วิธีนี้จัดการเรื่องในยุทธภพเช่นกัน

ช่างแปลกประหลาดเสียจริง

“โฮ่งๆ…” สุนัขสีน้ำตาลลายขาวตัวอ้วนพีส่งเสียงเห่า

สายตาของมันจ้องหลี่มู่เขม็ง ในสายตามีความรู้สึกบางอย่างที่ไม่ใช่ของสุนัข แววตาเช่นนั้นราวกับว่าเจอเหยื่อตัวใหม่อย่างไรอย่างนั้น

ทว่าจู่ๆ สุนัขตัวใหญ่ตัวนี้ก็สั่นเทิ้มไปทั้งตัว

ความรู้สึกหวาดกลัวที่ไร้ซึ่งกำลังเกิดขึ้นในใจของมัน

มันหันไปมองอย่างไม่รู้ตัว

เห็นเด็กน้อยหน้ามึนหมิงเยวี่ยที่อยู่ไม่ไกลปีนลงมาจากต้นไม้ นางที่ดูการต่อสู้จบแล้วแต่ยังไม่หายอยากเหมือนท้องจะหิวอีกครั้ง กำลังยืนเช็ดน้ำลายพลางจ้องมันเขม็ง

สายตาเช่นนั้นของเด็กน้อยไม่เหมือนกับมองสุนัขที่ยังเป็นๆ อยู่ แต่เหมือนจ้องเนื้อสุนัขร้อนๆ ที่เพิ่งยกลงจากหม้อ ทำให้มันสั่นเทิ้มขึ้นมาเสียเฉยๆ

ทันใดนั้น สุนัขอ้วนสีน้ำตาลลายขาวส่งเสียงประหลาดออกมา แล้วกระโดดมาอยู่ข้างหลังขอทานเฒ่าในแวบเดียว

มุมปากขอทานเฒ่ายกยิ้ม

สายตาของเขาเบนออกจากหลี่มู่ สุดท้ายมาหยุดลงที่หมิงเยวี่ย

แสงอ่อนจางที่ยากจะสัมผัสได้ส่องวาบผ่านส่วนลึกในดวงตาของขอทานเฒ่า

นั่นเป็นสายตาที่แปลกประหลาดยิ่ง เหมือนพบอะไรนานแล้ว ทั้งยังคล้ายชื่นชมพอใจอะไรสักอย่าง

แต่ไม่นานนักเขาก็เหมือนพลันสัมผัสอะไรได้ รอยยิ้มบนใบหน้าหายไปทันที ก่อนหันหลังมองไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้

ที่นั่น ใต้ต้นไม้โบราณ มีนักพรตตาบอดที่บนบ่ามีอีกาสีดำตัวใหญ่เกาะอยู่ ยืนอย่างเงียบเชียบราววิญญาณในเงามืด

นักพรตตาบอดผู้นั้นไม่รู้ว่าปรากฏตัวขึ้นเมื่อใด

ข้างกายของเขากระทั่งมีมือปราบหลายคนเดินตรวจตราไปมา แต่ราวกับไม่เห็นนักพรตผู้นี้ ยามที่สายตามองผ่านเขาไปกลับไม่เห็นเลยสักนิด

ในตอนนี้ นักพรตตาบอดขยับจมูกฟุตฟิด ดมหากลิ่นอะไรสักอย่าง

อีกาสีดำตัวนั้นพลันโผขึ้นมา บินวนเหนือหัวนักพรตตาบอด ส่งเสียงร้องต่ำทุ้มพิลึกเหมือนกำลังบอกอะไร ทำนองแปลกประหลาดนัก

ทว่าไม่นานนัก นักพรตเฒ่าก็ประหนึ่งสัมผัสได้ถึงสายตาของขอทานเฒ่า

เขาหน้าหันมา เบ้าตากลวงโบ๋ไร้ซึ่งแววตา แต่กลับ ‘มอง’ มายังขอทานเฒ่าฝั่งนี้

ขอทานเฒ่าฉีกยิ้มก่อนจะหัวเราะไร้เสียง

เขานั่งยองลง ผายลมดังสนั่น ลูบสุนัขสีน้ำตาลลายขาวเบาๆ ก่อนจะกระซิบบอกประโยคหนึ่ง จากนั้นหนึ่งคน หนึ่งสุนัขก็หมุนกายจากไปภายใต้สถานการณ์ที่คนอื่นๆ ไม่รู้ตัว

นักพรตตาบอดหยุดอยู่กับที่ คิ้วเรียวดุจกระบี่เลิกขึ้น

เขาอุดจมูก ทำสีหน้าค่อนข้างหลากหลาย

สุดท้าย อีกาตัวใหญ่สีดำก็ร่อนลงบนบ่าของเขาอีกครั้ง

“เรื่องใดๆ ล้วนเกิดเพราะเที่ยวยุ่มย่ามสอดมือ…” นักพรตคนนี้พึมพำกับตัวเองก่อนจะหันหลังไป ไม้ไผ่ในมือคลำทางเสียงดังปักๆ จากไปทีละก้าวอย่างช้าๆ แต่มั่นคง

……………………………………………………