ตอนที่ 685-686

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 685 + 686 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 685 ทนรับเรื่องเช่นนี้ไม่ไหว

ตี้ฝูอีมีฐานะพิเศษ ถึงแม้เขาจะบุกมาสังหารกะทันหัน แต่ในเมื่อมาแล้วก็ต้องจัดที่นั่งดีๆ ให้ เขาได้นั่งตรงตำแหน่งด้านซ้ายมือของกู่ฉานโม่

ตำแหน่งด้านซ้ายสูงส่ง และเป็นที่นั่งของแขก เดิมทีเหลือไว้ให้หลงซือเย่ แต่หลงซือเย่มาสาย จนยามนี้ก็ยังไม่มา ดังนั้นที่นั่งนี้จึงถูกตี้ฝูอีครอบครองไปตามระเบียบ

เรื่องที่กู้ซีจิ่วช้ำรักจากตี้ฝูอีเดิมทีก็เป็นข่าวลือโกลาหลในสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์อยู่แล้ว แทบทุกคนล้วนทราบเรื่องนี้

ตอนนี้คู่กรณีทั้งสามล้วนอยู่ในที่แห่งนี้ สายตาคนส่วนใหญ่จึงค่อนข้างลุ่มลึก

ไม่ทราบว่ามีคนมากน้อยเพียงใดที่จับจ้องตี้ฝูอี แอบมองท่าทีที่เขามีต่อเด็กสาวทั้งสอง

ถึงแม้ตี้ฝูอีจะไม่ได้พูดคุยกับเด็กสาวทั้งสอง แต่การกระทำทุกอย่างของเขาล้วนถูกฝูงชนที่อยู่ด้านล่างตีความกันเงียบๆ…

ด้วยเหตุนี้ในใจฝูงชนจึงปะติดปะต่อเรื่องราวขึ้นมา ตี้ฝูอีปฏิบัติต่ออวิ๋นชิงหลัวต่างจากผู้อื่นจริงๆ ด้วย ที่มาหนนี้เกรงว่าจะมาหนุนหลังอวิ๋นชิงหลัวกระมัง?

เพราะนับตั้งแต่เขามาถึง ก็ไม่ได้เหลือบแลกู้ซีจิ่วเลยสักแวบ แต่กลับหยุดเบื้องหน้าอวิ๋นชิงหลัวครู่หนึ่ง…

สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนร่างกู้ซีจิ่ว สายตาเหล่านั้นมีทั้งเห็นใจ มีทั้งเวทนาสงสาร และแน่นอนว่ามีสายตาที่รอชมเรื่องครื้นเครงด้วย

แม้แต่กู่ฉานโม่ก็มองกู้ซีจิ่วอย่างเป็นกังวลยิ่ง ด้วยเกรงว่านางอายุยังน้อย จะทนรับเรื่องเช่นนี้ไม่ไหว

กู้ซีจิ่วกลับไม่แยแส แม้กระทั่งรอยยิ้มตรงมุมปากนางก็ไม่เลือนหายไปเลย

ความจริงคือเธอไม่ใส่ใจจริงๆ ถึงอย่างไรก็เตรียมใจเรื่องนี้ไว้แล้ว เขามาสนับสนุนอวิ๋นชิงหลัวก็อยู่ในความคาดหมายของเธอเช่นกัน

ขเธอกำลังส่งกระแสเสียงพูดคุยกับเชียนหลิงอวี่ เจ้าเด็กนี้คงจะพบศึกใหญ่เช่นนี้เป็นครั้งแรก เลยค่อนข้างประหม่า กู้ซีจิ่วเกรงว่าเขาจะแสดงฝีมือได้ไม่ดี จึงใช้ถ้อยคำปลุกขวัญเขาอยู่ตลอด

แม้แต่สายตาของอวิ๋นชิงหลัวที่มองมาทางเธออย่างโอ้อวดเธอก็ไม่ได้รับรู้เลย…

อวิ๋นชิงหลัวที่ประหนึ่งส่งสายตาให้คนตาบอดรู้สึกท้อใจนัก

แต่นางก็ยังคงดีใจมาก นางรู้สึกว่าครั้งนี้ตนได้หน้าแล้ว ในที่สุดกู้ซีจิ่วก้พ่ายแพ้ไปแล้วยกหนึ่งในสนามประลองอันไร้เสียงนี้

เนื่องจากยังไม่ถึงเวลา กู่ฉานโม่จึงเชิญทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวโอวาทแก่ทั้งสองกลุ่มสักหน่อย

สายตาของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกวาดผ่านร่างคนทั้งหกแวบหนึ่ง เอ่ยปากพูดแค่ไม่กี่คำ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ย่อมต้องกล่าวคำพูดปลุกขวัญให้กำลังใจอยู่แล้ว

“อวิ๋นชิงหลัว เจ้าเป็นสานุศิษย์สวรรค์ ข้าจะไม่พูดอื่นใดให้มากความ มีเพียงสี่คำนี้อย่าให้ขายหน้า” ตี้ฝูอีกล่าวต่ออวิ๋นชิงหลัวเช่นนี้

อวิ๋นชิงหลัวสูดหายใจเบาๆ “เจ้าค่ะ! ชิงหลัวจะทุ่มเทสุดความสามารถ จะไม่ทรยศต่อความคาดหวังของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเจ้าค่ะ”

ตี้ฝูอีพยักหน้านิดๆ ในที่สุดก้มองไปที่กู้ซีจิ่ว “กู้ซีจิ่ว…”

ยามนั้นกู้ซีจิ่วกำลังซี้แนะข้อสงสัยเกี่ยวกับตำแหน่งยืนหลังจากเริ่มการประลองให้เชียนหลิงอวี่อยู่

ก่อนหน้านี้เธอจ้องฝาแฝดคู่นั้นไปหลายครา ถึงแม้ตำแหน่งที่ฝาแฝดคู่นั้นยืนอยู่ยามนี้จะไม่ใช่ตำแหน่งยืนยามต่อสู้ แต่พวกเขาน่าจะรู้ใจกันยิ่งนัก ยามยืนเรื่อยเปื่อยจึงเผยเบาะแสเล็กน้อยออกมา

ยกตัวอย่างเช่นเล่อชิงซิ่งผู้เป็นพี่ชายน่าจะเคยชินกับการยืนอยู่ทางขวาของเล่อจื่อซิ่งผู้เป็นน้องสาว ดังนั้นเขาน่าจะถนัดใช้มือซ้ายสำแดงวิชา…

แน่นอนว่าสิ่งที่เธอมองเห็นค่อนข้างซับซ้อน เธอจึงเริ่มปรับกลยุทธ์อยู่ในใจ

ในบรรดาพวกเขาสามคนขอเพียงหลานไว่หูออกกระบวนท่าตามคำพูดของกู้ซีจิ่วก็ใช้ได้แล้ว แต่เชียนหลิงอวี่จำเป็นต้องออกกระบวนท่าให้สอดคล้องกันด้วยตัวเอง ดังนั้นกู้ซีจิ่วต้องอธิบายการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ให้เขาอย่างชัดเจน

สองคนนี้คนหนึ่งตั้งใจพูด คนหนึ่งตั้งใจฟัง ซ้ำยังใช้การส่งกระแสเสียงอีก คนอื่นจึงมองไม่ออกว่าความจริงแล้วพวกเขาสนทนากันอยู่

ยามที่ตี้ฝูอีเอ่ยปาก เนื่องจากทั้งหกคนไม่ต้องขยับย้ายไปอยู่เบื้องหน้าเขา ดังนั้นสองคนนี้เลยมองอยู่ตรงนั้นทำทีว่าตั้งใจฟังอย่างสงบ แต่ความจริงแล้วไม่ทราบเลยว่าตี้ฝูอีพูดอะไรบ้าง

แน่นอนว่ากู้ซีจิ่วก็ไม่ได้ยินที่เขาเรียกชื่อตนเช่นกัน…

————————————————————————————-

บทที่ 686 นางสุภาพและห่างเหินยิ่งนัก

เมื่อตี้ฝูอีเรียกชื่อเธอ เธอเลยไม่ได้ยินในทันที แม้แต่ปฏิกิริยาตอบสนองเล็กน้อยก็ไม่มี

ทั้งสนามเงียบอยู่ครู่หนึ่ง สายตานับไม่ถ้วนตกลงบนร่างกู้ซีจิ่ว ทุกคนต่างคิดว่าเธออยู่ในความโศกเศร้าจึงปั้นปึ่งไม่สนใจ

มีเพียงตี้ฝูอีที่ทราบว่า สาวน้อยผู้นี้ใจลอยไปแล้ว หลังจากเขาเข้ามา มารยาทที่ควรมีนางไม่บกพร่องเลย แต่ก็ไม่ไม่มองเขาตรงๆ ความคิดนางไม่ได้อยู่ที่ตัวเขาเลยสักนิด!

“กู้ซีจิ่ว!” เขาเรียกอีกครั้ง คราวนี้เสียงค่อนข้างดัง

หลานไว่หูทนไม่ไหวจึงกระกระตุกมุมชุดกู้ซีจิ่วเล็กน้อย ในที่สุดกู้ซีจิ่วก้ได้สติ เธอเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจ มองไปที่ตี้ฝูอี “ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายมีการใดจะสั่งหรือเจ้าคะ?”

ปลายนิ้วเขาเคาะโต๊ะเบาๆ “เมื่อกี้ข้าพูดว่าอะไร?”

หือ? สถานการณ์นี้ช่างคล้ายว่าถูกอาจารย์จับได้ว่าแอบคุยในชั้นเรียนยิ่งนัก เลยถูกอาจารย์จงใจเรียกให้ออกมาตอบคำถาม

กู้ซีจิ่วจนปัญญา รีบหันไปพึ่งจิ้งจอกน้อย มือกระตุกมุมชุดของจิ้งจอกน้อย

จิ้งจอกน้อยย่อมอยากช่วยเหลือ แต่ทันใดนั้นก็พบว่าตนส่งกระเสียงหากู้ซีจิ่วไม่ได้…

กู้ซีจิ่วรอโพยจากสหายตัวน้อยไม่ไหว ทำได้เพียงด้นสดเอาเอง ตอบอย่างกว้างๆ “เมื่อครู่ท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกล่าวให้กำลังใจพวกเรา เพียงแต่ระยะนี้ความทรงจำซีจิ่วไท่ค่อยดีเท่าไหร่ ยอมรับว่าลืมไปแล้ว แต่รู้สึกซาบซึ้งในถ้อยคำปลุกขวัญของท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายยิ่ง”

ตี้ฝูอีพูดไม่ออก เขาไม่อาจบอกได้จริงๆ ว่ากู้ซีจิ่วกล่าวผิด เห็นกันอยู่ชัดเจนว่าท่าทางของนางสุภาพและมีมารยาท แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดใจ

เขามองนางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็เปิดปากเอ่ย “กู้ซีจิ่ว เจ้าเป็นศิษย์เทพศักดิ์สิทธิ์ การประลองครั้งนี้เกี่ยวพันถึงชื่อเสียงของเทพศักดิ์สิทธิ์ อย่าทำให้เขาขายหน้า”

“เจ้าค่ะ! ซีจิ่วจะทำให้ดีที่สุด” กู้ซีจิ่วค้อมกาย

นางสุภาพและห่างเหินยิ่งนัก ปฏิบัติต่อเขาอย่างเคารพ สายตาที่มองเขาไม่มีอันใดแตกต่างกับสายตาที่ฝูงชนรอบข้างมองเขาเลย…

มือของตี้ฝูอีที่อยู่ภายในแขนเสื้อค่อยๆ กำแน่น

“เจ้าสำนักหลงมาเยือน!” ดังนั้นแว่วเสียงรายงานอีกครั้ง

ดวงตาฝูงชนเปล่งประกายทันที บุคคลสำคัญมาอีกท่านแล้ว! พากันเงยหน้าขึ้นมอง

ครั้งนี้หลงซือเย่นั่งกระเรียนมงกุฎแดงมา ยามที่เขาซึ่งอยู่ในอาภรณ์ขาวร่อนลงสู่พื้น ทุกคนพากันต้อนรับขับสู้

เขามีศักดิ์เสมอทูตสวรรค์ฝ่ายซ้าย ย่อมได้รับความเคารพไม่ต่างจากทูตสวรรค์ฝ่ายว้าย กู่ฉานโม่ทักทายเขาอยู่หลายประโยค ให้เขาขึ้นมาบนเวที แล้วเชิญเขานั่งด้านขวาของตน

ตอนแรกหลงซือเย่ค่อนข้างแปลกใจที่พบตี้ฝูอี แต่ก็ยังเอ่ยทักทายเขา

ตี้ฝูอียิ้มบางๆ “วันนี้เจ้าสำนักหลงว่างนักหรือ?”

น้ำเสียงหลงซือเย่ก็ราบเรียบเช่นกัน “เช่นเดียวกัน วันนี้ทูตสวรรค์ฝ่ายว้ายก็ว่างมากเหมือนกันนี่ นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญพบกันที่นี่ ยินดีที่ได้พบๆ” พลางประสานมือให้เขา จากนั้นยกเสื้อคลุมขึ้นแล้วนั่งลง

เมื่อเจ้าสำนักหลงมาถึงก็ต้องกล่าวอะไรกับทั้งสองกลุ่มสักหน่อยตามธรรมเนียม

ถึงอย่างไรหลงซือเย่ก็เป็นเจ้าสำนักแห่งหนึ่ง วาจาที่เอื้อนเอ่ยย่อมเป็นธรรมชาติและมีคุณค่า แถมเขายังกล่าวเป้รายบุคคลด้วย

ถ้อยคำที่กล่าวกับกลุ่มของอิ๋นชิงหลัวเป็นถ้อยคำที่เป็นทางการตามบรรทัดฐาน ส่วนถ้อยคำที่กล่าวกับกลุ่มของกู้ซีจิ่วแฝงความสนิทสนมเป็นกันเองไว้ น้ำเสียงคล้ายกำชับตักเตือนสหายเก่า

แต่เห็นได้ชัดว่ากู้ซีจิ่วมีสมาธิจดจ่อมาก ถึงแม้อารมณ์บนใบหน้าน้อยๆ จะไม่แตกต่างจากเมื่อครู่มากนัก แต่สายตากลับอยู่ที่ร่างของหลงซือเย่ตลอด มุมปากแต้มยิ้มน้อยๆ อย่างรู้กันอยู่ตลอด

ตี้ฝูอีรู้สึกว่าหลังจากหลงซือเย่มานัยน์ตาของกู้ซีจิ่วก็เจิดจ้ากว่าก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด!

ปากบางของเขาเม้มแน่นโดยไม่รู้ตัว

สุดท้ายหลงซือเย่ก็ล้วงโอสถขวดหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “โอสถนี้คือลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์ระดับแปด ในขวดมีทั้งหมดสามเม็ด การแข่งขันครั้งนี้เป็นการประลองแลกเปลี่ยนกัน ดังนั้นยามที่ประลองข้าหวังว่าพวกเจ้าจะลงมืออย่างมีขอบเขต ไม่ถึงแก่ชีวิต หากเอาชนะได้โดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสก็จะได้รับโอสถนี้เป็นรางวัล

สายตาของคนทั้งหลายเปล่งประกาย!

ลูกกลอนหทัยพิสุทธิ์สามารถคลี่คลายผลเสียมากมายที่เกิดจากการฝึกฝนได้ เนื่องจากวัตถุดิบหายากมีสรรพคุณล้ำเลิศยิ่ง โอสถนี้จึงหายากนัก ลูกกลอนระดับหนึ่งเม็ดเดียวก็มีราคาห้าร้อยหินวิญญาณแล้ว ส่วนเม็ดยาระดับแปดแทบจะเป็นสิ่งที่มีอยู่แค่ในตำนาน เป็นสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้!