บทที่ 70 บิดาผู้มองการณ์ไกล

กุนซือหญิงยอดอัจฉริยะ

บทที่ 70 บิดาผู้มองการณ์ไกล Ink Stone_Romance

ซ่งชูอีลูบๆ ขนของไป๋เริ่น หมุนตัวกลับรถม้า นางเห็นการจากเป็นจากตายอะไรเทือกนี้จนเอือมระอาแล้ว

“ท่าน…” จี๋อวี่เรียกนาง ต้องการให้นางตัดสินใจว่าจะปล่อยให้หนิงยาไปพบมารดาของนางหรือไม่

ซ่งชูอีเข้าใจความหมายของเขา เอ่ยขึ้นเฉยเมย “เรื่องเล็กๆ เช่นนี้มิต้องถามข้า เจ้าแค่รับประกันว่าหนิงยาตามขบวนรถมาโดยไม่บุบสลายเป็นพอ”

จี้ฮ่วนมองดูแผ่นหลังของซ่งชูอีพร้อมยิ้มแหะๆ หันไปกล่าวกับจี๋อวี่ “ท่านหวยจินยังนับว่ามีใจเมตตา”

ใจเมตตาของซ่งชูอีอยู่บนพื้นฐานในการผลักดันให้ผู้อื่นออกไปทำความชั่ว จี๋อวี่ค้นพบพฤติกรรมที่ไม่ดีของนางอีกอย่างแล้ว อดไม่ได้ที่จะพ่นลมออกมาทางจมูก “ครั้นเขามีใจเมตตา พวกเราก็กลายเป็นคนชั่ว”

จี้ฮวนครุ่นคิด ทว่ายังคงไม่เข้าใจ ได้แต่กล่าวว่า “เช่นนั้นข้าจะพาเด็กหญิงผู้นี้ไปพบมารดาของนาง”

ซ่งชูอีขึ้นรถม้าไป เห็นหลงกู่ปู้วั่งยังคงนั่งซึมและไตร่ตรองอยู่ในมุมหนึ่ง จึงไม่ได้พูดคุยกับเขา แต่วางไป๋เริ่นลง เอาเนื้อแหย่มัน “ไป๋เริ่น จุ๊ๆๆ มานี่”

“ไป๋เริ่น จุ๊ๆๆ…”

ไม่รู้ว่าหมาป่าหิมะตัวนี้เข้าใจหรือเปล่าว่าตัวเองชื่อไป๋เริ่น อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นเนื้อในมือของซ่งชูอี ก็วิ่งย่ำพื้นรถดัง “ปังปังปัง” ไปอย่างรวดเร็วแล้ว

“ไป๋เริ่น”

“ปังปังปัง”

“ไป๋เริ่น”

“ปังปังปัง”

“ไป๋เริ่น”

……

หลงกู่ปู้วั่งกุมศีรษะแน่น ต้องสงบนิ่ง…ต้องใจเย็น…ต้องปล่อยวาง…

“อยากจะฝึกก็ไปฝึกข้างนอก อย่ากวนข้า!” เส้นเอ็นบนศีรษะของหลงกู่ปู้วั่งขาดผึง ตัดสินใจว่าค่อยใจเย็นพรุ่งนี้

“อืม เด็กหนุ่มใจร้อนช่างชวนให้คนชื่นชอบเสียจริง” ซ่งชูอีใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อ ชูมือในตำแหน่งที่ไม่สูงไม่ต่ำมาก ฝึกให้ไป๋เริ่นยืนขึ้น

การเคารพต่อครูบาอาจารย์เป็นสิ่งที่บัณฑิตทุกคนล้วนปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หลงกู่ปู้วั่งเป็นคนกระด้างกระเดื่อง ทว่ามิใช่ผู้ที่ไม่เชื่อฟัง เขาด่าอี๋ซือขุยตรงๆ เนื่องจากยังมิเคยทำพิธีไหว้อี๋ซือขุยเป็นครูและก็ยังมิเคยไหว้ซ่งชูอีเป็นครูเช่นกัน การที่เขายอมรับเพราะรู้สึกว่าซ่งชูอีเป็นผู้มีความรู้โดยแท้ อีกทั้งสิ่งที่สอนล้วนเป็นเนื้อหาที่เขาชื่นชอบพอดี ทว่าเขาทนกับการสอนสองวันนี้ไม่ไหวจริงๆ!

ที่จริงแล้วหากซ่งชูอีเป็นผู้อาวุโส หลงกู่ปู้วั่งก็อาจจะไม่ดูหมิ่นเลย แม้เวลาที่ซ่งชูอีสอน เขาจะลืมอายุของนางเป็นเสียส่วนใหญ่ ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากันตามปกติแล้วดูเหมือนมีอายุน้อยกว่าเขา มันยากที่จะเกิดความเคารพผู้อาวุโสจากก้นบึ้งของหัวใจ

หลังจากคำรามแล้ว หลงกู่ปู้วั่งก็รู้สึกผิดในใจเล็กน้อย

ทว่าความรู้สึกอันน้อยนิดนี้กลับถูกซ่งชูอีจับได้แล้ว นางเปลี่ยนแผนการทันที ปล่อยเนื้อที่คีบอยู่ในตะเกียบ ภายในรถมีเพียงเสียงของไป๋เริ่นเคี้ยวเนื้อจั๊บๆ

ซ่งชูอีสวมเสื้อคลุมตัวใหญ่ ก้มหน้าเห็นว่าไป๋เริ่นกินเกือบหมดแล้ว ก็เอื้อมมืออุ้มมันขึ้นมา ลงจากรถไป

หลงกู่ปู้วั่งต้องการจะขอโทษ ทว่าเสียงนั้นกลับติดอยู่ในลำคอ ไร้เสียงออกมาแม้แต่แอะเดียว

ซ่งชูอีเดินอยู่ในหิมะ เงยหน้าขึ้นก็เห็นหนิงยากอดกับมารดาจากที่ไกลๆ สายลมทำให้เสียงร้องไห้ของนางที่ลอยมานั้นขาดๆ หายๆ แม่นางผู้นั้นต้องการสวมกอดลูกสาวให้แน่น แต่ก็กลัวว่าจะทำผ้าต่วนบนตัวนางเปื้อนและเหล่าพ่อค้าจะตำหนินาง

ซ่งชูอีเงยหน้ามองท้องฟ้าที่ขมุกขมัวเล็กน้อย ในใจพลันคิดว่า หญิงชราในครอบครัวนางผู้นั้นไร้ความกังวลกว่ามาก ไม่ได้สร้างฉากสองแม่ลูกมองหน้ากันน้ำตานองเนื่องจากนางสิ้นไปนานแล้ว

เมื่อซ่งชูอียังเด็กที่บ้านแร้นแค้นถึงขนาดไม่มีข้าวกินสามวัน แต่บิดาของนางกลับมิเคยคิดลากนางไปแลกเงิน ข้อหนึ่ง ด้วยหน้าตาของซ่งชูอี อย่างมากก็แลกผ้าได้สองม้วน อีกทั้งมารดาของซ่งชูอีสิ้นใจเพื่อให้กำเนิดนาง นี่ทำให้ชายชราซ่งรู้สึกผิดเป็นอย่างมาก ข้อสอง ชายชราซ่งเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ยาวไกล อาหารและเสื้อผ้าเพียงชั่วคราว ไม่สู้การปลูกฝังให้บุตรสาวหาเลี้ยงตนในบั้นปลายชีวิตที่เหลือ ทว่าเขาเพียงแต่มองการณ์ไกลเท่านั้น ไม่มองปัจจุบัน ฉะนั้นหลังจากที่ซ่งชูอีฝากตัวกับอาจารย์ได้สองเดือน เขาก็สิ้นใจจากความหิวโหย

จี๋อวี่จัดการธุระเสร็จแล้ว เห็นซ่งชูอีเงยหน้ามองอะไรบางอย่าง อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองบนท้องฟ้า พบว่าไม่มีอะไรเลย เอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย “ท่านกำลังทำอะไรอยู่?”

“กำลังหดหู่” ซ่งชูอีเอ่ยเชื่องช้า

พฤติกรรมของซ่งชูอีไม่ใคร่เหมือนคนอื่นเท่าไรนัก ฉะนั้นบางคราจี๋อวี่ก็แยกไม่ออกว่านางกล่าวจริงหรือเท็จ

เงียบไปครู่ใหญ่ ซ่งชูอีทอดถอนใจ หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาซับๆ น้ำตาที่ไม่มีอยู่จริง “การค้าขายมนุษย์เช่นนี้ มโนธรรมของข้า…เฮ้อ มิใช่ความสมัครใจของข้าเลย!”

“ท่านสามารถเปลี่ยนเป็นค้าขายสิ่งของก็ได้” จี๋อวี่ไม่เข้าใจการค้าขาย ทว่าเขาไม่เชื่อว่าฤดูหนาวจะเป็นฤดูของการค้ามนุษย์เพียงอย่างเดียว!

ซ่งชูอีเอ่ยอย่างเกียจคร้าน “นี่นับว่าเป็นการฝึกฝนจิตใจ ประเสริฐนัก”

มุมปากของจี๋อวี่โค้งงอ เวลาเพียงไม่นานก็พบพฤติกรรมไม่ดีอีกอย่างก็คือการเล่นลิ้น ไม่ว่าคนอื่นกล่าวอะไร นางก็จะมีเหตุผลมาลบล้างเสมอ

“คืนนี้ข้าจะอยู่ในรถม้าของเจียน ประเดี๋ยวก็นำอาหารเย็นไปส่งตรงนั้นเถิด” ซ่งชูอีกล่าว

เจียน คือชื่อซ่งชูอีที่ตั้งให้เด็กที่เก็บมาจากกองซากศพคนนั้น

จี๋อวี่มองซ่งชูอีครู่หนึ่ง ที่จริงแล้วต้องการถามเหลือเกินว่า ‘ในที่สุดท่านก็ถูกคนปฏิเสธแล้วหรือ?’

“ขอรับ” จี๋อวี่ตอบ

ซ่งชูอีขึ้นรถม้าไป สาวใช้ค้อมตัวแล้วถอยออกไป เจียนฟื้นตั้งแต่เช้าของเมื่อวานแล้ว ซ่งชูอีมาพบแล้วครั้งหนึ่ง และบอกชื่อของเขา

เจียนพูดน้อยมาก น้อยเสียจนซ่งชูอีสงสัยว่าสมองเลอะเลือนเพราะไข้ขึ้นสูงช่วงก่อนหน้านี้หรือเปล่า

“นายท่าน” เจียนก้มศีรษะติดพื้น

“อืม ลุกขึ้นเถิด” ซ่งชูอีมิใช่คนใจร้าย แต่ก็ไม่ใจกว้างกับคนตั้งแต่แรกเริ่ม

ซ่งชูอีคิดว่าสมองของเจียนมิได้มีปัญหาใด ทว่าการมีปฏิสัมพันธ์กับเขานั้นน่าเบื่อเหลือเกิน ไม่ว่าซ่งชูอีจะกล่าวอะไร เขาก็จะตอบรับอย่างนอบน้อม แม้นถูกหลอก ก็ไม่มีการตัดพ้อใด อายุยังน้อยแต่ทำท่าทางราวกับว่าเป็นทาสมานับสิบปีแล้ว

ขณะหยุดพักที่ไป๋หม่าหนึ่งวัน ซ่งชูอีก็เลือกเด็กชายหน้าตาไม่เลวอีกสองคน และคืนนั้นขบวนพ่อค้าก็ออกเดินทางสู่ทิศตะวันตกต่อไป

สองวันต่อมา ซ่งชูอีก็ไม่ได้พูดกับหลงกู่ปู้วั่งเลย ฝึกไป๋เริ่น เย้าแหย่เจียน บางคราวก็หลอกเด็กสาวหนิงยาขณะที่ตรวจพฤติกรรมและความสะอาดของนาง ปกติแล้วมักจะพูดคุยกับสองพี่น้องกงซุน วันเวลาผ่านไปอย่างเกียจคร้าน

เข้าสู่วันที่สาม หลงกู่ปู้วั่งทนไม่ไหว ขึ้นไปขอโทษซ่งชูอีที่รถด้วยตัวเอง

ซ่งชูอีมองดูเด็กหนุ่มที่ค้อมคำนับอยู่ตรงหน้าตัวเอง ใช้ตะเกียบคีบชิ้นเนื้อฝึกไป๋เริ่นยืนด้วยความเฉื่อยชา บุคลิกนั้นเหมือนกับสามวันก่อนไม่ผิดเพี้ยน “อืม แต่ว่า คราวนี้ก้าวหน้าขึ้น สามารถทนได้ตั้งสามวันเชียว!”

เส้นเอ็นบนศีรษะของหลงกู่ปู้วั่งเต้นตุบ มีความรู้สึกอยากจะซัดหมัดไปที่ใบหน้าของนาง ทว่าหลังจากผ่านความอึดอัดและการไตร่ตรองมาสามวันแล้ว เขาก็สามารถยับยั้งอารมณ์ได้ดีขึ้นจริงๆ “ขอบคุณอาจารย์สำหรับคำสอน”

“ลุกขึ้นเถิด ไม่ต้องมากพิธี” ซ่งชูอีกล่าว

หลงกู่ปู้วั่งลุกขึ้น เห็นใบหน้ายิ้มแย้มของซ่งชูอี รู้สึกแขนขาด้านชา

“อันที่จริง หากเทียบกับผู้อาวุโสแห่งกุ่ยกู๋จื่อแล้ว ข้าโอบอ้อมกว่ามากนัก” ซ่งชูอีกล่าวด้วยความจริงใจ

“ท่าน เราจะเข้าไปที่กุ้ยหลิงหรือ?” จี๋อวี่ที่อยู่นอกรถถาม

ซ่งชูอีครุ่นคิดครู่หนึ่ง เอ่ยขึ้น “ไปนั้นต้องไปแน่ ซุนปิ้นเอาชนะผังเจวียนอย่างราบคาบในกุ้ยหลิง จะต้องเข้าไปรับไอแห่งความสุขเสียหน่อย”

หลงกู่ปู้วั่งสีหน้ามืดมน คนที่เขาเคารพมากที่สุดก็คือผังเจวียน นี่จะต้องเป็นการกระตุ้นให้เขาเจ็บปวดเป็นแน่ จะต้องใช่แน่

อย่างไรก็ดีที่จริงแล้ว ซ่งชูอีต้องการจะไปรับไอแห่งความสุขด้วยใจจริง หลังจากถูกทรยศเช่นเดียวกันกับซุนปิ้นแล้ว นางจำต้องพลิกตัวเองกลับมาภายในไม่กี่ปีข้างหน้าให้ได้ สำหรับการกระตุ้นให้ใครบางคนเจ็บปวดนั้นเป็นเพียงความบังเอิญ

……………………………