ตอนที่ 106 นี่ก็คือฝีมือของนายท่าน

เกิดใหม่ทั้งทีข้าขอเป็นเซียน

ตอนที่ 106 นี่ก็คือฝีมือของนายท่าน

เมื่อเผชิญหน้ากับชาวเมืองเสี่ยวฉือที่แสนซื่อและเป็นมิตรเหล่านี้ เย่ฉางชิงจึงยกยิ้มให้บาง ๆ พลางพยักหน้าให้กับทุกคนอย่างเป็นธรรมชาติ

จากนั้นจึงเดินมาด้านหน้าศพเสือดำตัวใหญ่ ก่อนจะเอื้อมมือไปลูบขนของเสือดำเบา ๆ

เสือดำตัวนี้หนังหนาจริง ๆ ขนทุกเส้นบนตัวแข็งราวกับเข็ม

คนขายเนื้อซุนเดินมาที่ด้านข้างเย่ฉางชิง พลางเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ท่านเย่ ท่านลับมีดเป็นจริงหรือ แถมฝีมือยังดีกว่าช่างตีเหล็กซ่งอีกงั้นหรือ ? ”

เย่ฉางชิงถอนสายตากลับมา ก่อนจะหันไปยังคนขายเนื้อซุน

แต่กลับมิรู้ว่าควรเอ่ยเช่นไร

แม้เขาจะมิอาจบำเพ็ญเพียรได้ แต่ก็เป็นอาจารย์เพียงคนเดียวของเมืองเสี่ยวฉือ

แต่การลับมีด

ประการแรก นี่มันมิเข้ากับเขาเลย !

อีกประการหนึ่ง ช่างตีเหล็กซ่งหาเลี้ยงชีพจากการลับมีด หากทุกคนรู้ว่าเขาลับมีดเป็น อีกทั้งฝีมือลับมีดยังเหนือกว่าช่างตีเหล็กซ่ง มิเท่ากับเป็นการทำให้ช่างตีเหล็กซ่งต้องตกงานหรอกหรือ ?

ต่อไปเวลาเจอหน้ากันจะมองหน้ากันติดได้เยี่ยงไรกัน

อีกทั้งครั้งแรกที่เขามายังเมืองเสี่ยวฉือ ช่างตีเหล็กซ่งก็เป็นคนให้ที่พักพิงแก่เขา

เย่ฉางชิงจึงทำได้เพียงแค่ยิ้มออกมา ก่อนจะเบนสายตาไปยังบุรุษร่างสูงใหญ่คนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังคนขายเนื้อซุน

บุรุษผู้นี้มีผิวสีคล้ำ แขนทั้งสองข้างกำยำ

ใบหน้าคร้ามแดดแต่กลับมีแววตาสงบนิ่ง ใบหน้าประดับไว้ด้วยรอยยิ้มซื่อ ๆ แม้จะชวนอึดอัดเล็กน้อย แต่ยังแสดงถึงความจริงใจได้เป็นอย่างดี

ใช่แล้ว บุรุษร่างกำยำผู้นี้ก็คือช่างตีเหล็กหนึ่งเดียวแห่งเมืองเสี่ยวฉือ

ช่างตีเหล็กซ่ง

เย่ฉางชิงจึงเอ่ยถามช่างตีเหล็กซ่งพร้อมรอยยิ้มว่า “ท่านลุงซ่ง หินลับมีดที่ข้าให้ท่านเตรียมไว้พร้อมแล้วใช่หรือไม่ ? ”

ช่างตีเหล็กซ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะรีบพยักหน้า “เตรียมให้พร้อมแล้ว”

เย่ฉางชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ

ตอนนั้นเองเปาต้าเหมยที่เหมือนจะเข้าใจสถานการณ์ จึงเดินเข้าไปทางด้านหลังของคนขายเนื้อซุนด้วยท่าทางดุดัน ก่อนจะใช้เท้าข้างหนึ่งเตะเข้าที่ก้นของคนขายเนื้อซุนอย่างมิลังเล

“เจ้าซุนหน้าหลุม ถ้ามิรู้จะพูดอะไรก็มิต้องพูดจาเลอะเทอะ มิมีใครว่าเจ้าเป็นใบ้หรอกนะ เจ้าซื่อบื้อนี่ทำข้าขายขี้หน้าจริง ๆ ”

เปาต้าเหมยชี้หน้าพร้อมเอ่ยกับคนขายเนื้อซุน ที่ล้มลงกับพื้นด้วยความงุนงง

ทุกคนเมื่อได้ยินดังนั้นต่างก็สบตากัน ก่อนจะยิ้มและพยักหน้าให้กับเย่ฉางชิง

นี่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของคนที่มีอารยธรรมกับคนไร้อารยธรรมได้เป็นอย่างดี

ช่างตีเหล็กซ่งเลี้ยงชีพด้วยการลับมีดตีเหล็ก ส่วนท่านเย่เลี้ยงชีพด้วยร้านขายของชำร้านนั้น

ก่อนหน้านี้เพราะอับจนหนทางที่จะจัดการเสือดำตัวนี้ ช่างตีเหล็กซ่งจึงได้เล่าความลับที่ท่านเย่ลับมีดเป็นออกมาอย่างไร้หนทาง

ทุกคนต่างรู้ดีตั้งแต่ท่านเย่เปิดร้านขายของชำแห่งนั้น ก็มิเคยช่วยลับมีดให้ใครอีก ทั้งมิมีผู้ใดเคยรู้มาก่อนว่าเขานั้นลับมีดเป็น

เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าแม้ท่านเย่จะมีฝีมือลับมีดติดตัว แต่เพื่อมิให้กระทบต่ออาชีพของช่างตีเหล็กซ่ง เขาจึงมิได้บอกใครว่าตนนั้นลับมีดเป็น

บัดนี้เมื่อท่านเย่ปรากฏตัว ช่างตีเหล็กซ่งเองก็แสดงออกว่ารู้สึกอึดอัดอยู่แล้ว

เมื่อคนขายเนื้อซุนถามออกไปเช่นนั้น ก็ยิ่งทำให้สถานการณ์ของช่างตีเหล็กซ่งกลืนมิเข้าคายมิออกมากขึ้นไปอีก

ตอนนั้นเองได้มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งยกยิ้มขึ้น พร้อมเอ่ยกับเย่ฉางชิงด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ท่านเย่เป็นคนจิตใจดี แม้อายุน้อยทว่าต้องยอมรับว่าเป็นผู้มีสติปัญญาล้ำเลิศ”

หลังได้ยินคำกล่าวของผู้อาวุโสท่านนั้นแล้ว

ทุกคนต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย พร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า

เย่ฉางชิงจึงยิ้มออกมา ก่อนจะเอ่ยหยอกล้อว่า “เพื่อนบ้านทุกท่าน แม้ข้าจะลับมีดเป็น แต่งานหนักเช่นนี้ข้าทำมิไหวจริง ๆ เช่นนั้นต่อไปพวกท่านอย่าได้คิดให้ข้าช่วยลับมีดให้อีกล่ะ เรื่องลับมีดอย่างไรก็ต้องเป็นท่านลุงซ่งเท่านั้น”

“ผู้เชี่ยวชาญย่อมดีกว่า ! ”

ทุกคนได้ยินต่างก็ส่งเสียงหัวเราะออกมา

จากนั้นเย่ฉางชิงจึงได้นั่งลงบนม้านั่งยาวตัวหนึ่งและเริ่มลงมือลับมีด

หินลับมีดทั้งสองก้อน ช่างตีเหล็กซ่งล้วนเอามาจากบ้านของตน

นอกจากนี้ช่างตีเหล็กซ่งยังจัดการหินลับมีด ด้วยวิธีที่เย่ฉางชิงเคยสอนเขาเอาไว้เมื่อหลายปีก่อนด้วย

หินลับมีดสองก้อนแบ่งเป็นด้านหยาบกับด้านละเอียด

ด้านหยาบต้องใช้วิธีการสาดน้ำให้ซึมผ่าน ส่วนด้านละเอียดต้องลับซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง

เย่ฉางชิงพึงพอใจในการจัดเตรียมหินลับมีดทั้งสองก้อนนี้อย่างมาก

“ฉึบ ! ”

“ฉึบ ! ”

“ฉึบ ! ”

เย่ฉางชิงนั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว ใช้หินด้านหยาบฝนมีดไปพลาง ก็ถามช่างตีเหล็กซ่งที่อยู่ข้าง ๆ ไปพลาง

“ท่านลุงซ่งวิธีลับมีดที่ข้าสอนให้ท่าน หลายปีมานี้ท่านยังฝึกฝนอยู่หรือไม่ ? ”

เมื่อเห็นช่างตีเหล็กซ่งมิพูดมิจา เย่ฉางชิงจึงเอ่ยถามเพื่อทำลายความเงียบขึ้น

“อืม ข้าฝึกอยู่ตลอดนั่นแหละ”

ช่างตีเหล็กซ่งรีบตอบกลับทันที “เพียงแต่ฝึกมานานขนาดนี้แล้ว ด้านหยาบถือว่าลับพอได้แล้ว แต่ด้านละเอียดยังมีปัญหาอยู่มาก”

“หืม ? ”

เย่ฉางชิงส่งเสียงรับเบา ๆ ก่อนจะหยุดลับมีดลงทันที

ในเมื่อลับมีดด้านหยาบได้แล้ว เขายังต้องเปลืองแรงทำไมอีก ?

เย่ฉางชิงคิดได้ดังนั้นก็ลุกขึ้นยืน พลางกล่าวกับช่างตีเหล็กซ่งว่า “ท่านลุงซ่ง ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเรามาร่วมมือร่วมแรงกันดีกว่า ท่านรับผิดชอบลับด้านหยาบ ส่วนข้าจะลับด้านละเอียดเอง”

ช่างตีเหล็กซ่งนิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเย่ เช่นนั้นจะสำเร็จใช่หรือไม่ ? ”

เย่ฉางชิงกวาดตามองทุกคนที่อยู่โดยรอบ พลางตบลงที่บ่าของช่างตีเหล็กซ่ง “ท่านลับด้านหยาบก่อน หากเกิดปัญหาอะไร ข้าค่อยแก้ให้อีกครา”

“ตกลง ! ”

ช่างตีเหล็กซ่งพยักหน้ารับ ก่อนจะนั่งลงบนม้านั่งแล้วเริ่มใช้หินด้านหยาบลับมีดทำครัวเล่มหนึ่ง

เย่ฉางชิงที่ยืนอยู่ด้านข้าง ครู่หนึ่งเมื่อเห็นว่าในที่สุดช่างตีเหล็กซ่งนั้นมีพัฒนาการดีขึ้น จึงยิ้มออกมาอย่างยินดี

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูป

ในที่สุดช่างตีเหล็กซ่งก็ได้หยุดลง

เขาหยิบมีดทำครัวที่ลับจนคมกริบขึ้นมา ก่อนเอ่ยถามด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านเย่ เป็นเช่นไรบ้าง ? ”

เย่ฉางชิงพยักหน้าให้ “เทคนิคการลับมีดด้านหยาบท่านทำได้สมบูรณ์แบบแล้ว ขั้นต่อไปข้าจะใช้หินลับมีดด้านละเอียดลับต่อ ท่านคอยดูให้ดีล่ะ”

ช่างตีเหล็กซ่งรีบลุกขึ้นยืน และเปลี่ยนเป็นหินลับมีดด้านละเอียดให้เย่ฉางชิงอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากการลับมีดด้านละเอียดหากเอนเอียงแม้เพียงเล็กน้อย จะส่งผลต่อความคมของมีดทันที

หากคมมีดเกิดปัญหาขึ้น นั่นหมายความว่าต้องเริ่มลับใหม่ทั้งหมด

เช่นนั้นเมื่อเย่ฉางชิงเริ่มใช้ด้านละเอียดลับมีด ท่าทางของเขาจึงดูจริงจังขึ้นมาทันที

แน่นอนว่าสำหรับชาวเมืองเสี่ยวฉือ พวกเขารู้แค่ว่าวิธีการลับมีดของเย่ฉางชิงนั้นแปลกใหม่เป็นอย่างมาก

แต่เมื่อการกระทำนี้ตกอยู่ในสายตาของถูสือซาน กลับเป็นภาพที่น่าเหลือเชื่อราวกับปาฏิหาริย์

นิ้วเรียวยาวของเย่ฉางชิงกดลงบนตัวมีดทำครัว ระหว่างที่ใบมีดบดไปมาบนหินลับมีดด้านละเอียด ก็มีปราณบริสุทธิ์ไหลวนอยู่รอบ ๆ

จู่ ๆ  จิตของนางกลับหลุดเข้าไปอยู่ในมีดเล่มนั้นโดยมิได้ตั้งใจ

ทันใดนั้นดวงตาดำขลับของถูสือซานพลันเบิกโพลง ส่องประกายประหลาดขึ้น ท่าทางเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ

‘ปราณนี้เหตุใดจึงเหมือนกับไอพลังของสมบัติวิญญาณถึงเพียงนี้ หรือว่ายอดฝีมือท่านนี้สามารถสร้างสมบัติวิญญาณได้เองอย่างนั้นหรือ’

‘น่าเหลือเชื่อจริง ๆ ต้องมีตบะบารมีระดับไหนกันนะ ถึงมีอิทธิฤทธิ์มากมายเพียงนี้ได้’

ถูสือซานส่ายหน้าอย่างยากที่จะเชื่อ พลางครุ่นคิดอยู่ภายในใจ

ส่วนราชันทมิฬเพียงหรี่ตาลงเล็กน้อย ท่าทางราวกับเห็นจนชินชา

‘นี่คือฝีมือของนายท่าน’

ครู่หนึ่งราชันทมิฬจึงลอบเอ่ยขึ้นภายในใจ

แน่นอนว่านี่มิใช่ครั้งแรกที่ราชันทมิฬคิดเช่นนี้