เล่ม 1 ตอนที่ 74 ประมือกับฝูงหมาป่าเปลวอัคคี

สลับชะตา ชายามือสังหาร

ไม่เพียงแค่เจ้าอ้วนชวีเท่านั้น พวกเป่ยกงถังก็ถูกฝูงสัตว์อสูรที่วิ่งควบเข้ามาทำเอาตะลึงงันไปเช่นเดียวกัน

“ช่วยด้วย…”

พอฝูงสัตว์อสูรเข้ามาใกล้ พวกซือหม่าโยวเย่ว์จึงเห็นเงาร่างคนผู้หนึ่งที่วิ่งอยู่ด้านหน้าฝูงสัตว์อสูร

“โฮก…”

เสียงคำรามอันเปี่ยมไปด้วยความป่าเถื่อนของฝูงหมาป่าทำให้คนผู้นั้นตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์ที่อยู่เบื้องหน้า เขาจึงกัดฟันวิ่งตรงมาทางพวกเขา

ซือหม่าโยวเย่ว์เห็นคนผู้นั้นวิ่งตรงมาทางพวกตนจึงตอบสนองออกไปในทันที เธอวิ่งพลางคำรามเสียงหนึ่งพร้อมลากเป่ยกงถังที่อยู่ข้างกายวิ่งไปด้านหลังด้วย

เมื่อถูกเธอตะโกนใส่เช่นนี้ พวกเว่ยจือฉีจึงค่อยมีปฏิกิริยาตอบสนองขึ้นมา พวกเขาซอยเท้าวิ่งโดยมิอาจเก็บข้าวของได้ทัน

“ช่วยข้าด้วย… สหายตรงหน้า ช่วยข้าด้วย…” คนผู้นั้นเห็นพวกซือหม่าโยวเย่ว์พากันวิ่งหนีไปหมดแล้วจึงส่งเสียงร้องเรียก

“ช่วยบ้านน้องสาวเจ้าสิ!” ซือหม่าโยวเย่ว์ตะโกนด่าพลางดึงเป่ยกงถังให้เร่งความเร็วยิ่งขึ้น

แต่ไม่ว่าอย่างไรพลังฝีเท้าของคนทั้งห้าก็มีขีดจำกัด จะวิ่งเก่งกว่าหมาป่าเปลวอัคคีได้อย่างไร เมื่อเห็นสัตว์อสูรวิเศษใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ไหนจะยังมีคนเสื้อดำผู้นั้นอีก เจ้าอ้วนชวีจึงด่าว่า “บัดซบ เหตุใดเจ้านี่มันจึงได้วิ่งเร็วถึงเพียงนี้เล่า!”

เพียงไม่นานคนที่ถูกหมาป่าเปลวอัคคีไล่หลังก็ตามพวกเขามาจนทัน พอเห็นว่าในมือของเขาอุ้มลูกหมาป่าตัวน้อยตัวหนึ่งเอาไว้ด้วย ซือหม่าโยวเย่ว์จึงได้เข้าใจว่าเหตุใดเขาจึงถูกฝูงหมาป่าวิ่งไล่ตามไปทั่วภูเขาเช่นนี้ได้

“ไอ้เวรนี่ เจ้าไปอุ้มเอาลูกหมาป่ามาทำไมกัน รีบคืนเขาไปเร็วเข้าสิ!”

คนผู้นั้นดูคล้ายว่าได้ยินคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วจึงค่อยได้สติกลับคืนมา เขาก้มหน้าลงมองลูกหมาป่าตัวน้อยในอ้อมแขน แล้วจึงโยนลูกหมาป่าตัวน้อยใส่อ้อมแขนของเจ้าอ้วนชวีที่อยู่ข้างกาย หลังจากนั้นก็เร่งฝีเท้าวิ่งหนีไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

“ไอ้บัดซบ เจ้าคิดบ้าบอจะฆ่าผู้อื่นให้ตายหรืออย่างไร!” เจ้าอ้วนชวีรับลูกหมาป่ามาโดยสัญชาตญาณ กว่าเขาจะเข้าใจอะไรขึ้นมา คนผู้นั้นวิ่งหนีหายไปจนไม่เห็นแม้แต่เงาแล้ว

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเห็นสายตาที่คนผู้นั้นวิ่งหนีพวกเขาไปอย่างรวดเร็วแล้วนัยน์ตาก็มีแววสงสัยสายหนึ่งวาบผ่าน

“เจ้าอ้วนชวี เจ้าจะอุ้มลูกหมาป่าเอาไว้ทำไมกัน โยนเจ้าลูกหมาป่าทิ้งไปเสียสิ!” เว่ยจือฉีตะโกนพูด

เจ้าอ้วนชวีรีบโยนลูกหมาป่าทิ้งไป ทว่านอกจากหมาป่าตัวสองตัวที่วิ่งไปตามทิศทางของลูกหมาป่าแล้ว ตัวที่เหลือก็ยังไล่ตามพวกเขาไม่เลิกรา

“วิ่งไม่ไหวแล้ว ดูท่าทางคงได้แต่สู้กับพวกมันตรงๆ เสียแล้ว!” โอวหยางเฟยมองไปยังฝูงหมาป่าที่วิ่งตามพวกเขามาติดๆ อย่างไม่ลดละพลางหยิบอาวุธของตัวเองออกมาแล้วหมุนตัวบุกสังหารไปทางฝูงหมาป่า

คนอื่นๆ ก็เข้าใจว่าฝูงหมาป่านี้หมายหัวพวกเขาเอาไว้แล้ว ไม่ว่าพวกเขาจะวิ่งไปเนิ่นนานเท่าใดก็ไม่ยอมปล่อยแน่ นอกจากนี้พวกเขาวิ่งกันมานานถึงเพียงนี้แล้ว แรงกายก็ถดถอย เพียงแค่แรงเฮือกสุดท้ายหมดสิ้นไปเท่านั้น ฝูงหมาป่านึกอยากจะฆ่าพวกเขาให้ตายย่อมง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง

ซือหม่าโยวเย่ว์มิได้เป็นกังวลกับฝูงหมาป่าที่ด้านหลังตนสักเท่าไรนัก เจ้าคำรามน้อยกับย่ากวงออกมาสุ่มๆ สักตนหนึ่งก็ทำให้พวกมันพรั่นพรึงได้แล้ว แต่เธอไม่คิดจะทำเช่นนั้น ถ้าหากเคยชินกับการอาศัยสัตว์อสูรผูกพันธสัญญายามเผชิญอันตรายตั้งแต่ต้นจนติดนิสัยพึ่งพาผู้อื่น ในภายหน้าหากตนคิดอยากจะแข็งแกร่ง ก็คงจะเป็นได้แค่เพียงลมปากแล้ว!

“พวกเราแย่แล้ว!” เว่ยจือฉีหยุดฝีเท้าลงเช่นกัน แล้วเรียกสัตว์อสูรวิเศษที่ตนทำพันธสัญญาด้วยออกมาเผชิญหน้ากับหมาป่าเปลวอัคคี

“ข้าไม่วิ่งแล้ว ย่ายายพวกมันเถอะ!” เจ้าอ้วนชวีเรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมาเช่นกันพลางหยิบขวานของตนออกมาแล้วสับเข้าใส่หมาป่าเปลวอัคคี

เป่ยกงถังมิได้เรียกสัตว์อสูรวิเศษของตนออกมา เพียงแค่หยุดฝีเท้าลงแล้วโยนลูกพลังวิญญาณที่รวมตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้วในมือไปยังหมาป่าเปลวอัคคี

ซือหม่าโยวเย่ว์มองดูแวบหนึ่ง ของโอวหยางเฟยเป็นเสือดาวเมฆา สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเก้าตนหนึ่ง ดูท่าทางคล้ายว่าอีกไม่นานจะเลื่อนไปเป็นระดับสัตว์อสูรทิพย์แล้ว

ส่วนของเจ้าอ้วนชวีเป็นจิ้งจอกเสน่หา สัตว์อสูรวิเศษระดับต่ำขั้นเจ็ด จิ้งจอกนั่นดูแล้วมีขนาดร่างกายเตี้ยเล็กกว่าหมาป่าเปลวอัคคีอยู่มาก แต่พลังการต่อสู้กลับมิได้ด้อยกว่าเลยแม้แต่น้อย

สัตว์อสูรวิเศษของเว่ยจือฉีนั้นแม้ว่าระดับขั้นจะมิได้สูงเหมือนของโอวหยางเฟย แต่เป็นกิ้งก่าเพลิงที่หาได้ยาก เมื่อมันตวัดหางคราหนึ่ง หมาป่าเปลวอัคคีตนหนึ่งก็ถูกกวาดลอยกระเด็นออกไป

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบเอากริชที่แปลงร่างมาจากหลิงหลงออกมา เธอดีดตัวครั้งหนึ่งก็มาถึงตรงหน้าหมาป่าเปลวอัคคีตนหนึ่งแล้ว พอมันกระโจนเข้ามาใกล้ จึงแทงกริชเข้าไปตรงหว่างคิ้วของมันอย่างรวดเร็ว แล้วดึงกริชออกมาในตอนที่มันยังไม่ทันได้ตอบสนอง

พวกโอวหยางเฟยต่างคิดไม่ถึงว่าซือหม่าโยวเย่ว์จะสังหารหมาป่าตนหนึ่งได้อย่างรวดเร็วถึงเพียงนี้ จึงพากันจ้องมองเธออย่างตกใจ

“ตรงหว่างคิ้วและจุดที่ต่ำลงมาจากคางสามนิ้วคือบริเวณที่อ่อนแอที่สุดของหมาป่าเปลวอัคคี โจมตีไปที่สองจุดนี้จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน” ถึงแม้ว่าจะไม่ค่อยถูกเวลานัก แต่เจ้าอ้วนชวีก็ยังถามออกมา

“อาจารย์เคยสอนในชั้นเรียนมาก่อนอย่างไรเล่า” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

ทุกคนเหมือนเพิ่งนึกขึ้นมาได้ คล้ายว่าตอนนั้นที่อาจารย์พูดถึงสัตว์อสูรวิเศษภายในเทือกเขาผู่สั่วเคยพูดถึงสิ่งนี้มาก่อนแล้วจริงๆ ทว่าทุกคนมิได้ใส่ใจฟังกันสักเท่าไร ถ้ามิใช่เพราะเธอเตือน พวกเขาก็นึกไม่ออกเลยว่ามีบทเรียนเช่นนี้อยู่ด้วย

“จะต้องรวดเร็วพอดูเลย มิฉะนั้นอาจถูกฝูงหมาป่าทำร้ายเข้าก็เป็นได้” โอวหยางเฟยพูด

“การต่อสู้ระยะประชิดของโอวหยางและเป่ยกงค่อนข้างแข็งแกร่ง พวกเราสามคนรับผิดชอบการโจมตีระยะประชิด จือฉีกับเจ้าอ้วนชวี พวกเจ้าทั้งสองใช้พลังวิญญาณโจมตีเป็นหลักนะ” ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“ตอนนี้พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกันแล้ว ถ้าหากคิดอยากจะบุกฝ่าออกไปแบบมีชีวิตรอด ก็ต้องพยายามร่วมมือกันจึงจะใช้ได้”

ทุกคนมองดูฝูงหมาป่าที่โอบล้อมพวกเขาเอาไว้แล้วต่างพยักหน้า ถือว่ายอมรับในสิ่งที่ซือหม่าโยวเย่ว์พูด

“จือฉี เจ้าอ้วนชวี พวกเราอยู่ข้างนอก พวกเจ้าอยู่ตรงกลาง รวบรวมพลังวิญญาณออกมาให้ได้อย่างรวดเร็วที่สุด ทางฝั่งพวกเราถูกโจมตี พวกเจ้าสองคนก็อาจมีอันตรายตามไปด้วยได้”” โอวหยางเฟยเอ่ยเตือน

“พวกเจ้าวางใจได้เลย” เจ้าอ้วนชวีให้สัญญา

ซือหม่าโยวเย่ว์มองเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีปราดหนึ่งพลางพูดอย่างจริงจังว่า “ก่อนหน้านี้น้อยครั้งนักที่ข้าจะให้ผู้อื่นระวังหลังให้ เพราะนั่นเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง วันนี้พวกเราสามคนยกให้พวกเจ้าช่วยระวังหลังให้ พวกเจ้าก็ต้องคอยเฝ้าระวังแทนพวกเราด้วยล่ะ!”

พวกเว่ยจือฉีทั้งสี่คนได้ฟังคำพูดของซือหม่าโยวเย่ว์แล้วก็อดหัวใจสั่นสะท้านมิได้ เธอพูดได้ไม่ผิดเลย ก่อนหน้านี้พวกเขาล้วนต่างคนต่างมา แม้กระทั่งยามอยู่ในตระกูลของตัวเองก็ยังไม่มีทางไว้เนื้อเชื่อใจถึงขนาดให้ผู้อื่นระวังหลังให้ ทว่าวันนี้พวกเขากลับฝากความปลอดภัยของตนเอาไว้กับผู้อื่น เพราะไร้ซึ่งทางเลือก และเพราะความไว้เนื้อเชื่อใจ

“โยวเย่ว์ พวกเจ้าวางใจเถิด พวกเราเป็นพรรคพวกเดียวกัน พวกเราจะเป็นสหายที่พวกเจ้าฝากชีวิตเอาไว้ได้ไปตลอดกาลเลย!” เว่ยจือฉีพูดอย่างเปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

“ใช่แล้ว พวกเราจะเป็นสหายที่พวกเจ้าฝากชีวิตเอาไว้ได้ไปตลอดกาล!” เจ้าอ้วนชวีพูดอย่างแน่วแน่

ซือหม่าโยวเย่ว์แย้มยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า “เช่นนั้นก็ดี พวกเราเริ่มต้นต่อสู้กันเถิด!”

เป่ยกงถังและโอวหยางเฟยประสานสายตากันปราดหนึ่ง มองเห็นจิตวิญญาณการต่อสู้อันเข้มข้นในดวงตาของกันและกัน รวมทั้งความร่วมมือร่วมใจที่เกิดขึ้นมาท่ามกลางความเหนื่อยยากอีกด้วย

“บุก!”

โอวหยางเฟยยังคงเป็นคนแรกที่พุ่งไปถึงตรงหน้าฝูงหมาป่า ซือหม่าโยวเย่ว์และเป่ยกงถังก็ตามมาติดๆ สามคนบวกกับสัตว์อสูรวิเศษสามตน ก่อให้เกิดเป็นวงล้อมวงหนึ่งขึ้นมาโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว โอบล้อมเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีเอาไว้ตรงกลาง ให้เวลาพวกเขารวบรวมปราณวิญญาณอย่างเพียงพอ

ส่วนเจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีรวบรวมเอาลูกพลังวิญญาณออกมา คอยดูว่าหากใครมีอันตราย หรือว่าระหว่างต่อสู้เกิดสถานการณ์ตึงเครียด ก็จะโยนลูกพลังวิญญาณไปยังทิศทางนั้น หรือบางทีพวกเขาก็โยนลูกพลังวิญญาณเข้าไปท่ามกลางฝูงหมาป่า ทำเอาพวกมันส่งเสียงโอดโอย

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เพราะพรรคพวกบาดเจ็บล้มตายไปเป็นจำนวนมาก หัวหน้าของหมาป่าเปลวอัคคีจึงจำใจพาผู้ใต้บังคับบัญชาของตนวิ่งหนีไปอย่างหดหู่

ฝูงหมาป่าจากไปแล้ว ทุกคนต่างทรุดฮวบ บาดแผลน้อยใหญ่บนร่างกายยังคงมีเลือดไหลซิบ การต่อสู้เมื่อครู่ทำเอาพวกเขาหมดสิ้นเรี่ยวแรง หลังจากที่เจ้าอ้วนชวีและเว่ยจือฉีหมดสิ้นปราณวิญญาณแล้วก็เลือกที่จะสู้กับฝูงหมาป่าตรงๆ

ซือหม่าโยวเย่ว์หยิบขวดยาใบหนึ่งออกมาแล้วเทเม็ดยาเม็ดหนึ่งออกมากินลงไป หลังจากนั้นมอบขวดหยกให้กับเป่ยกงถัง เป่ยกงถังเทออกมาสี่เม็ดให้ทุกคนได้กิน

“ตอนนี้พวกเราไปจากที่นี่กันได้แล้ว ไม่แน่ว่าการเคลื่อนไหวและกลิ่นคาวโลหิตเมื่อครู่อาจไปดึงดูดสัตว์อสูรวิเศษอื่นๆ มาก็เป็นได้” เมื่อเห็นสภาพสิ้นไร้เรี่ยวแรงของทุกคน ซือหม่าโยวเย่ว์เข้าไปเก็บซากศพหมาป่าเปลวอัคคีทั้งหมดเข้าไปไว้ภายในแหวนเก็บวัตถุ

……………………