ตอนที่ 53 เรื่องเก่าในอดีต

พลิกชะตาชายาสยบแค้น

ตอนที่ 53 เรื่องเก่าในอดีต

หลังอันหลิงเกอกลับมาจากถนนฉางอาน ก็รู้สึกกระวนกระวายใจ แต่มิได้แสดงท่าทีอันใดออกมา กลับเอาแต่จับจ้องอยู่ที่กระดาษในมืออย่างเลื่อนลอย

ปี้จูที่เห็นนางมีท่าทีเยี่ยงนั้น ก็รู้สึกมิสบายใจตามไปด้วย

นางถือชาร้อนในมือไปวางไว้ตรงหน้าให้อันหลิงเกอ แล้วกล่าวออกมาด้วยความห่วงใย

“มันดึกมากแล้ว คุณหนูพักดื่มชาสักจอกก่อนเถิดนะเจ้าคะ”

อันหลิงเกอยังคงคิดถึงเรื่องราวที่ได้พบเจอที่ร้านจิ่วชิ่วเกอ พอได้ยินเสียงปี้จูเอ่ยขึ้นก็ถอนหายใจเบา ๆ ออกมา มิว่าอย่างไรนางมักจะรู้สึกเสมอว่าท่านแม่นั้นมีสถานะที่มิธรรมดา มิเช่นนั้นลูกสาวของสามัญชนคนหนึ่ง จะมีบ่อเงินบ่อทองเยี่ยงร้านจิ่วชิ่วเกอแบบนี้ได้เยี่ยงไร ?

บวกกับร้านค้าอื่น ๆ เหล่านั้นแล้ว ถ้ากล่าวถึงเพียงแค่วันเดียว เงินก็เข้ามาเป็นกอบเป็นกำ

อย่างมิได้พูดเกินจริง

แต่หลายปีมานี้ ถึงแม้จวนโหวมิถือว่ายากจน แต่ก็มิได้ร่ำรวยอย่างแน่นอน เห็นได้ชัดว่า แม้ว่าร้านค้าเหล่านั้นของท่านแม่ถูกอี๋เหนียงยึดครองเอาไว้ แต่ผลกำไรก็มิได้ตกมาที่จวนโหวเลยแม้แต่น้อย มิน่าแปลกใจเลยที่อี๋เหนียงจะยินยอมเต็มใจที่จะคืนภูเขาทองลูกนี้ให้แก่ตัวเอง

อันหลิงเกอกำลังครุ่นคิดอยู่  จู่ ๆ สาวใช้คนสนิทของนายหญิงรองหวังซื่อก็เดินเข้ามา

“คุณหนูใหญ่เจ้าคะ  อีกสามวันหลังจากนี้จะมีงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวง นายหญิงรองกำลังคิดว่าจะตัดชุดใหม่ให้คุณหนูและคุณชายในจวนโหวเจ้าค่ะ จึงได้เชิญช่างตัดเสื้อจากเทียนยี่ฟางมาแล้ว กำลังรออยู่ที่ห้องนั่งเล่น เชิญคุณหนูทุกท่านไปวัดตัวเจ้าค่ะ”

สาวรับใช้ผู้นั้นกล่าวจบก็ขอตัวลากลับไปก่อน

เมื่ออันหลิงเกอเห็นใบหน้าของสาวใช้ผู้นี้ที่มีตาเล็กและจมูกแบนหน้ามิถือว่าสวย  ก็พลันนึกถึงเมื่อชาติก่อน มีข่าวลือที่สาวรับใช้ในจวนมักเล่าขานกัน เดิมทีสาวใช้ผู้นี้มิมีคุณสมบัติที่จะเป็นสาวใช้คนสนิทของอาสะใภ้รองเลยด้วยซ้ำ แต่อาสะใภ้รองนั้นต่างจากนายหญิงคนอื่น ๆ เพราะท่านอารองนั้นเจ้าชู้ แม้แต่สาวใช้แสนสวยข้างกายของอาสะใภ้รองเลยก็มิเว้น เช่นนั้นอาสะใภ้รองเลยจึงจงใจเลือกสาวใช้ที่หน้าตาธรรมดาและถึงขั้นขี้เหร่เหล่านั้นมาอยู่ข้างกาย  เพื่อป้องกันมิให้นายท่านรองลงมือได้

แต่ที่อันหลิงเกอรู้สึกแปลใจมิใช่เรื่องนี้ กลับเป็นเรื่องที่อาสะใภ้รองเชิญช่างตัดเสื้อจากร้านเทียนยี่ฟางมา การกระทำที่รวดเร็วเยี่ยงนี้มันยิ่งเห็นได้ชัดว่านางกำลังยั่วยุอี๋เหนียงอยู่

เมื่อคิดได้เช่นนั้น อันหลิงเกอก็หลับตาลงแล้วถอนหายใจออกมา จากนั้นนางก็เดินนำปี้จูไปที่ห้องรับนั่งเล่นที่มีฮูหยินผู้เฒ่า หวังซื่อ หลี่ซื่อ  ยังมีนายหญิงเจิ้งซื่อภริยาของท่านอาสามนั่งอยู่ก่อนแล้ว และบรรดาคุณหนูต่างพากันทยอยมาที่นี่ทีละคน พลันเป็นเหตุให้ห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาในทันใด

ช่างตัดเย็บที่ร้านเทียนยี่ฟางส่งมาเป็นหญิงสาวอายุประมาณ 30 ปี มีรูปร่างอวบอิ่มและมีสีหน้ายิ้มแย้มดูเป็นคนเรียบร้อย

นางหันไปทำความเคารพฮูหยินผู้เฒ่าก่อน แล้วจึงกล่าวทักทายกับนายหญิง และเหล่าคุณหนู จากนั้นถึงได้เริ่มทำการวัดตัวให้

เรื่องนี้ดูง่ายดายเพราะช่างตัดเย็บของร้านเทียนยี่ฟางล้วนแต่ชำนาญงาน แค่เพียงครู่เดียวก็วัดส่วนสูงและรูปร่างของพวกเขาแล้วเสร็จ และทำการจดบันทึกขนาดลงในสมุดบันทึก

จากนั้นก็ทำการคัดเลือกสีของผ้า เพราะเสื้อผ้าสำหรับงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิ ต้องทำการเตรียมขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงสั่งให้บรรดานายหญิงและบรรดาคุณหนูเลือกสีโปรดตามที่ตนเองชอบ

ช่างตัดเสื้อสาวผู้นั้นหยิบตัวอย่างผ้าขนาดเท่าผ้าเช็ดหน้าสี่เหลี่ยมออกมากางลงบนโต๊ะ จากนั้นก็กล่าวแนะนำคุณสมบัติของสีแต่ละสีให้ทุกคนฟัง

“นี่คือผ้าซาตินลายดอกไม้ คนในวัยฮูหยินผู้เฒ่าชอบวัตถุดิบผ้าประเภทนี้มากที่สุด ทางด้านนี้คือผ้าหรานเยี่ยนหลัว  ผ้าหยุนจิน  ผ้าหยูฮวาจิ่น  และยังมีผ้าหลิงจิ่น เหมาะสำหรับพวกคุณหนูที่เป็นสาวงามแรกรุ่น ส่วนผ้าหยูจิ่น ผ้าไหมสีทอง และฮวาซูหลิน จะดูมีระดับกว่านิดหน่อย ถ้านายหญิงชอบมันจะช่วยขับเสน่ห์ให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้นเจ้าค่ะ”

เมื่อนางแนะนำผ้าที่นำมาด้วยจนครบ  ลายและสีของผ้าแต่ละอย่างแต่ละชนิด ทำเอาคนดูตาลายไปตาม ๆ กัน

ฮูหยินผู้เฒ่าในเวลานี้ดูอารมณ์ดียิ่งนัก อาจเป็นเพราะงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิก็เป็นได้ เมื่อเห็นช่างตัดเสื้อแนะนำผ้าซาตินลายดอกไม้ นางจึงเลือกสีเลือดหมูและสัมผัสลูบไล้ไปมา เห็นได้ชัดว่านางดูพึงพอใจเป็นอย่างมาก

“พวกเจ้าชอบผ้าผืนไหนก็เลือกได้เลย มิต้องกลัวว่าข้าจะว่าอันใดพวกเจ้าหรอก”

ในเมื่อฮูหยินผู้เฒ่าเอ่ยปากออกมาแล้ว  คนอื่น ๆ ที่เหลืออยู่จึงต่างพากันเลือกผ้าที่ตัวเองชอบ

อันหลิงเกอมิค่อยสนใจสิ่งของพวกนี้มากนัก ตราบใดที่มิใช่เสื้อผ้าสีแดงและสีเขียวที่จับคู่กัน ผ้าอื่น ๆ ก็เกือบจะเหมือนกันทั้งหมด

เมื่ออันหลิงเกอเดินมาถึงหน้าโต๊ะที่วางผ้าแบบอย่างเอาไว้และกำลังจะหยิบผ้าหยูฮวาหลินสีลูกพีชลายผ้าปักโบราณที่อยู่ด้านหน้าของตนเอง  แต่จู่ ๆ อันหลิงอีก็ยื่นมือออกไปคว้า

และแย่งเอาผ้าผืนนั้นไปในไว้ในมือของตน

“ข้าเอาผืนนี้ก็แล้วกัน”

นางหันมามองอันหลิงเกอด้วยท่าทียั่วยุ ยกยิ้มกรุ่มกริ่มขึ้นตรงมุมปาก พร้อมกับจับแขนของอี๋เหนียงเอาไว้แล้วกล่าวเย้ยหยันอันหลิงเกอออกมาว่า “พี่หญิงเป็นคนใจกว้าง คงมิคิดที่จะแย่งชิงของที่ข้ารักเยี่ยงนี้ไป ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

คำกล่าวของนางนั้นจะหมายถึงสิ่งของที่รักหรือเป็นผ้าหรืออย่างอื่นนั้น ก็ดูได้จากสีหน้าแววตาของอันหลิงอีที่มองมายังตนก็พอจะเข้าใจได้

เหตุการณ์ที่อันหลิงอีแย่งผ้าของอันหลิงเกอนั้นอยู่ในสายตาของฮูหยินผู้เฒ่าอยู่ตลอด นางจับจ้องไปที่อันหลิงอีด้วยความมิพอใจเล็กน้อย เมื่อได้ฟังอันหลิงอีกล่าวเยี่ยงนั้นออกมา อันหลิงอีเอ่ยราวกับว่าอันหลิงเกอพยายามจะแย่งของไปจากนาง แต่มิใช่ว่านางนั้นแย่งของที่อยู่ตรงหน้าอันหลิงเกอไปหรอกรึ

กลอุบายยั่วยุเล็กๆเยี่ยงนี้  อันหลิงเกอก็มิได้เก็บเอามาใส่ใจอยู่แล้ว

เมื่อได้ฟังคำกล่าวนั้นของอันหลิงอี อันหลิงเกอก็ยกยิ้มขึ้นอย่างสง่างามออกมา แต่กลับมิมีรอยยิ้มในดวงตาเลยแม้แต่น้อยนิด แล้วกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “มันก็แค่ผ้าผืนเดียวเท่านั้น น้องหญิงถึงกับเคร่งเครียดขนาดนี้เชียวรึ เดี๋ยวถ้ากล่าวออกไปให้ผู้อื่นได้ยินเข้า ก็จะพากันคิดไปว่าบรรดาของคุณหนูจวนโหว มิเคยพบเห็นผ้าเยี่ยงนี้เอาได้”

เมื่อนางเห็นอันหลิงอีมีสีหน้าที่เปลี่ยนไป  ถึงได้กล่าวขึ้นมาอีกว่า “ แต่เยี่ยงไรก็ตามการยอมให้น้องสาวที่เกิดจากอนุเป็นสิ่งที่ข้าควรทำในฐานะบุตรีคนโตของภริยาเอก น้องหญิงชอบของชิ้นไหนก็หยิบเอาไปได้เลย ตราบใดที่เจ้ามิรู้สึกร้อนมือ”

อันหลิงเกอกล่าวออกมาชี้ให้เห็นถึงสถานะของอันหลิงอีต่อหน้าช่างตัดเสื้อ เป็นเหตุให้อันหลิงอีรู้สึกอับอายเป็นอย่างมาก

เดิมทีอันหลิงอีนั้นในฐานะบุตรีของอนุมิมีคุณสมบัติที่จะเข้าร่วมงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวงด้วยซ้ำไป แต่เพราะฮูหยินใหญ่เสียชีวิตก่อน จวนโหวจึงมีหลี่ซื่อรับหน้าที่เป็นคนคอยจัดการดูแลทุกอย่าง  ก็ถือว่ามีสถานะเป็นกึ่งฮูหยินใหญ่ อีกทั้งท่านอาหญิงของนางเป็นหลี่กุ้ยเฟยที่ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน  เช่นนั้นนางจึงมีสิทธิ์เข้าร่วมงานเลี้ยงได้

ดังนั้นในบรรดาคุณหนูทุกคนในห้องนั่งเล่นนี้ จึงมีเพียงอันหลิงอีเพียงคนเดียวที่เป็นบุตรสาวอนุภริยา เมื่อเห็นอันหลิงเกอกล่าวถึงชาติกำเนิดที่นางมีแม่เป็นอนุขึ้นมา จึงมีคนแอบปิดปากหัวเราะออกมา

ช่างตัดเสื้อก็คาดคิดมิถึงว่าจวนโหวจะปล่อยให้บุตรสาวที่เกิดจากอนุเข้าไปร่วมงานเลี้ยงฤดูใบไม้ผลิในวังหลวงได้ แต่เรื่องนี้มิใช่สิ่งที่นางในฐานะช่างตัดเสื้อตัวเล็ก ๆ คนหนึ่งจะสนใจได้ นางเพียงแต่เหลือบมองอันหลิงอีด้วยความประหลาดใจ จากนั้นก็ละสายตามองไปทางอื่น

อันหลิงอีรู้สึกเกลียดแค้นยิ่งนักที่ผู้คนกล่าวว่าให้ตนเองเป็นลูกที่เกิดจากอนุที่สุด แต่ในเวลานี้อยู่ต่อหน้าฮูหยินผู้เฒ่า นางจึงมิกล้าทำอันใดวู่วาม ทำได้เพียงอดทนต่อสายตาแปลก ๆ ของทุกคนด้วยความอับอายและกำมือแน่น

อันหลิงเกอ ในเมื่อเจ้ากล้าฉีกหน้าข้าให้อับอายต่อหน้าผู้คนเยี่ยงนี้ รอให้นางเข้าไปในวังหลวงเสียก่อนเถิด  ดูสิว่าข้าจะจัดการกับเจ้าเยี่ยงไร !

หลี่ซื่อจ้องมองอันหลิงอีอยู่ มีหรือที่จะมิรู้ว่าความคิดของลูกสาวตัวเอง นางจึงกล่าวออกมา เพื่อให้ผู้อื่นเลิกสนใจในเรื่องนี้ และหันสายตาไปทางอื่น

“ข้าว่าวัตถุดิบผ้าผืนนี้นั้นดูสวยมากยิ่งนัก บังเอิญว่าผิวของเกอเอ๋อขาวนวล ถ้าใช้วัตถุดิบจากผ้าผืนนี้ทำเสื้อผ้าคงจะเหมาะสมมากมิน้อย”

นางกล่าวออกมาพร้อมกับชี้ไปที่ผ้าหรานเยี่ยนหลัวสีเขียวอ่อน อันหลิงเกอจึงหันไปมอง มันเป็นวัตถุดิบผ้าผืนหนึ่งที่ดีก็จริง ด้วยลวดลายเย็บปักคู่นกนางแอ่น เพียงแค่มองดูก็ทำให้ผู้คนรู้สึกมีชีวิตชีวาและกระปรี้กระเปร่า แต่กลับมีอาการเยาะเย้ยเล็กน้อยปรากฏออกมาในดวงตาของอันหลิงเกอ

เมื่อนึกย้อนถึงชาติก่อน มารดาผู้ให้กำเนิดของนางเสียชีวิตเร็วและยังมิมีผู้อาวุโสข้างกายคอยอบรมสั่งสอนนาง การสวมใส่เสื้อผ้าและชุดต่าง ๆ ตกอยู่ในความดูแลของอี๋เหนียงทั้งหมด แต่ในขณะที่อี๋เหนียงกลัวว่านางจะโดดเด่นเกินอันหลิงอีไป จึงจงใจให้นางแต่งตัวแก่ วันนี้จึงเลือกผ้าผืนนี้ให้นาง

นั้นเพราะแค่จงใจทำเช่นเดียวกันกับเมื่อชาติที่แล้ว