ตอนที่ 79 พิชิตเพลิงสุวรรณพราง Ink Stone_Romance
“เกิดอะไรขึ้น?” นี่พวกเขาจะยังไม่ยอมปล่อยนางออกไปอีก
“นายท่าน ท่านโยนอะไรเข้ามา พลังเซียนของพืชศักดิ์สิทธิ์โดนของสิ่งนั้นดูดซึมไปจนหมดแล้ว ฮือๆ ไม่ใช่ว่าอีกประเดี๋ยวจะมาดูดวิญญาณข้าไปด้วยนะ” โม่หรานอยากจะร้องไห้ออกมาจริงๆ นายท่าน ของสิ่งนี้ที่ท่านโยนเข้ามาคืออะไรกัน แย่จริงๆ มันเพิ่งจะเปลี่ยนร่างได้ ไม่อยากสลายร่างไปสักหน่อย
“ดาบสีทองเล่มหนึ่งเอง“ คงต้องลองไปดูแล้ว
“แล้วดาบนั่นอยู่ที่ไหน?” หลิวหลีถาม
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ของที่นายท่านโยนเข้ามาเป็นแสงสีทองก้อนหนึ่ง ข้าไม่เห็นดาบนะ” โม่หรานส่ายหน้าพลางพูด
ไม่ใช่ดาบ แล้วนางโยนอะไรเข้ามากันแน่
“อาเลี่ย ออกมาหน่อย“ ช่วยไม่ได้ นางเพิ่งจะโยนอาเลี่ยเข้าไปในมิติอสูรภูตอย่างใจแคบ ตอนนี้ต้องเรียกเขาออกมา เฮ้อ ขายหน้าจริงๆ
“หึ ข้าไม่ออกไปหรอก” นังหนูหัวแข็ง คิดไม่ถึงว่าจะทำกับเขาแบบนี้ เขาไม่ให้อภัยนางหรอก
“อาเลี่ย อย่าโยเยน่า เกิดเรื่องแล้ว ด่วนมาก ดาบที่ข้าโยนเข้าไปทำลายสวนพืชศักดิ์สิทธิ์ของข้า” ก็ได้ หลิวหลียอมรับนางเล่นกับไฟเสียแล้ว
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” เอ๋าเลี่ยได้ยินเสียงเศร้าสร้อยของนาง เอาเถอะ เขาใจอ่อนแล้ว
“ไม่แน่ใจ ข้าออกไปก็เจอดาบร่วงลงมาจากท้องฟ้าเข้า จากนั้นข้าก็โยนมันเข้าไปแล้วเรื่องก็กลายเป็นแบบนี้ไป” หลิวหลีอธิบายคร่าวๆ
“นังหนู เจ้านี่ดวงแข็งจริงๆ“ เจอดาบหล่นใส่จากบนฟ้า ยังไม่โดนฟันตาย
“โดนดาบกระแทกใส่” ต้องขนาดนี้เลยหรือ ข้าไม่อยู่แล้ว เจ้าจะให้ไปหาคู่พันธสัญญาที่เก่งเช่นนางได้ที่ไหน ทั้งทำอาหารเก่งและนิสัยก็ดี
เอ๋าเลี่ยไม่แขวะอะไรนางอีก เขาปล่อยสัมผัสเซียนออกมา แล้วจึงพบว่าก่อนนี้ไม่นาน นังหนูเพิ่งจะคุยกับเขาไปว่าไม่แน่สวรรค์อาจจะประทานเพลิงอัคคีมาให้ นังหนูคนนี้ทำนายเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่กัน
“นังหนู เจ้าลองปล่อยประสาทเซียนดู”
หลิวหลีงุนงง แต่ก็ยังคงทำตามที่อีกฝ่ายบอก ปล่อยประสาทเซียนไปสำรวจพืชศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกทำร้าย เฮ้อ ของชิ้นเล็กๆนั่นคืออะไรกันแน่ อุณหภูมิเช่นนี้
“เพลิงอัคคี” หลิวหลีตะลึง ก่อนนี้ไม่นานนางยังรู้สึกว่าตนเองกำลังจะแตะช่วงปราณก่อนกำเนิด จำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคี
นี่เป็นสิ่งสำคัญ แต่นังหนูยังจะเลือกเพลิงอัคคีอีก
“เจ้าดูเองเถอะว่าเป็นเพลิงอัคคีประเภทใด?”
หลิวหลีมองอย่างละเอียด หลังจากผ่านไปครู่ใหญ่ ก็เผยรอยยิ้มออกมา
“นี่มันเพลิงสุวรรณพราง ธาตุทองนี่ ดีจริงๆเลย อาเลี่ย ข้าจะบรรลุช่วงปราณก่อนกำเนิดได้แล้ว” หลิวหลีตื่นเต้นเล็กน้อย ดีใจอย่างยิ่ง
“นังหนู ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะจะดูดซึมเพลิงอัคคี แต่มีเวลาไม่พอ“ เอ๋าเลี่ยพูดเรื่องจริงออกมาอย่างอดไม่ได้
เฮ้อ หลิวหลีได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วราวโดนน้ำสาดตั้งแต่หัวจรดเท้า นั่นสิ นางต้องไปแดนลี้ลับเพื่อจะหาหญ้าคืนวิญญาณ ควรทำอย่างไรดี
ดูสภาพที่สับสนของหลิวหลีแล้ว เอ๋าเลี่ยก็รู้ได้ว่าตัดใจได้ยากจริงๆ
“เรื่องนี้”
ทั้งสองมองภูตอาวุธที่อ่อนแอ
“ข้าสามารถดึงพลังวิญญาณมาปรับเวลาระหว่างในและนอกมิติ แต่เมื่อเรียบร้อยแล้วต้องเข้าสภาวะจำศีล“ โม่หรานพูดพลางดึงชายเสื้อ
“ปรับเวลาได้ประมาณเท่าไหร่” สวรรค์ จู่ๆหลิวหลีรู้สึกว่านี่คือเสียงสวรรค์ชัดๆ
“ข้างนอกเป็นสิบวันจะเท่ากับเวลาภายในสามปี” โม่หรานนับมืออ้วนๆของตัวเอง หากมากกว่านั้น มันจะบุบสลาย ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วมันคงต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นตัวกลับมา
“พอได้แล้ว แต่หากข้าออกไปหาป้ายหยกข้างนอกเจ้าจะยังสามารถดึงเวลาได้อยู่หรือไม่” นี่ก็ถือเป็นปัญหา
“ได้แต่ต้องการเวลาสักพัก มิติของข้าสูงกว่าอีกฝ่าย สามารถกลืนกินเข้าไปได้เลย” โม่หรานกล่าว พอถึงตอนนั้นไม่แน่ว่าตนอาจจะตื่นเร็วขึ้น
“ได้สิ” เวลาที่เหมาะสม สถานที่ถูกต้อง คนก็ครบถ้วน ออกจะเกินไปแล้ว
“โม่หราน เจ้าปรับเวลาได้”
“รับทราบขอรับ นายท่าน” โม่หรานพยักหน้า จากนั้นก็อ้าปากเล็กๆออก พ่นกลิ่นอายบริสุทธิ์ออกมา จากนั้นใบหน้าโม่หรานก็ขาวซีด จนร่างกายแทบโปร่งใส เอ๋าเลี่ยอุ้มมันไปใส่ในสระน้ำวิญญาณ จื่อฉีมองดูเพื่อนใหม่อย่างเป็นกังวล ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมห่างจากขอบสระน้ำวิญญาณ
หลิวหลีไม่ได้ดูดพลังจากเพลิงสุวรรณพรางทันที ปรับตนเองอยู่หลายครั้ง เมื่อครู่ลิงโลดเกินไปจึงทำให้พลังเซียนไม่มั่นคงเท่าไหร่นัก จึงยิ่งไม่สามารถดูดซึมเพลิงอัคคีได้ ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจจะขัดขืนนางด้วยซ้ำ
เอ๋าเลี่ยชื่นชมหลิวหลีในด้านนี้เป็นที่สุด ไม่ว่าจะทำอะไร ก็มักต้องอยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุดก่อนเสมอ
ณ หุบเขาจิ่วหัว มีการปล้นแย่งชิงเกิดขึ้นทุกวัน ซึ่งคนที่เป็นเป้าหมายต้นๆของการปล้นชิงอย่างหลิวหลีก็หายไปดั่งอากาศธาตุ ใครก็หานางไม่เจอ ต่างพากันคิดว่านางคงจะกลัวหัวหด จึงหาที่ซ่อนตัว อย่างไรเสียนักปรุงยาที่ไม่ปกติอย่างนาง จะปรุงยาซ่อนลมปราณ 10 วัน 15 วัน ก็ย่อมได้ ทำเอาสกุลฮัว สกุลจ้าน สกุลหลินหัวเสียกันหมด
หลิวหลีที่อยู่ในมิติก็ปรับสภาพให้อยู่ในระดับที่ดีที่สุด แต่กลับไม่จับเพลิงสุวรรณพราง แต่ปล่อยวิถีธาตุอัคคีออกมาล่อเพลิงสุวรรณพราง สำหรับหลิวหลีแล้วเพลิงสุวรรณพรางนั้นเหมือนพระอาทิตย์ดวงน้อยๆ มีความร้อนแรง และยังแสบร้อน แต่ทว่าเพราะความสามารถในการพรางตัว ทำให้สามารถกลายร่างเป็นของชนิดอื่นๆ จึงทำให้จับมันได้ยาก
เพลิงสุวรรณพรางซ่อนอยู่กลางพืชศักดิ์สิทธิ์ เพราะสภาพของมันยังไม่สมบูรณ์ จึงได้เผยตัวออกมา หลิวหลีปล่อยวิถีธาตุอัคคีออกมาเพื่อล่อเพลิงสุวรรณพราง มันโซซัดโซเซไปมา ก่อนจะลอยหมุนวนมาตรงหน้าหลิวหลี ซึ่งคนตรงหน้านี้ต่างจากสองคนที่พยายามจะจับมันก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง คนทั้งสองนั้นทำให้มันรู้สึกถูกคุกคาม แต่คนผู้นี้เป็นมิตร อีกทั้งบนร่างนางยังมีกลิ่นอายเช่นเดียวกับมัน
เมื่อเห็นเพลิงสุวรรณพรางวนรอบตัวนาง หลิวหลีครุ่นคิด ก่อนจะปล่อยเพลิงบุปผาเหมันต์ เพลิงอัสนีครามและเพลิงวิญญาณไม้ออกมา เพลิงอัคคีหลากสีรุมล้อมเพลิงสุวรรณพรางอย่างตื่นเต้น
วนไปวนมา ก็วนไปอยู่ที่ปลายนิ้วของหลิวหลีอย่างไม่รู้ตัว
“อยู่กับข้าดีจะตาย มีเพื่อนพ้อง อนึ่งข้าก็ไม่เอาเปรียบเจ้า ข้าเองก็เป็นร่างวิญญาณอัคคี เคล็ดวิชาที่ข้าฝึกฝนนั้นคือ ‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ ซึ่งส่งผลดีต่อทั้งเจ้าและข้า เจ้าเห็นพวกนั้นหรือไม่ ดูสิว่าแข็งแกร่งขนาดไหน?” หลิวหลีเริ่มล่อลวง และให้เพลิงอัคคีทั้งสามวนรอบๆเพลิงสุวรรณพราง เพื่อแสดงให้อีกฝ่ายเห็นว่ากินอยู่อยู่ดีกันจนอ้วนไปหมดแล้ว เพลิงอัคคีทั้งสามก็ให้ความร่วมกับหลิวหลีเป็นอย่างดี
เพลิงสุวรรณพรางลังเลใจ ตาเฒ่าสองคนนั้นไม่ใช่แกนวิญญาณอัคคี และไม่มีทางจะบรรลุเป็นเซียนได้ ส่วนมิติแห่งนี้ดูเหมือนจะเป็นของคนตรงหน้า แต่นางก็ไม่ได้บังคับขู่เข็ญตนแถมเคล็ดวิชาที่นางฝึกฝนนั้นก็ยอดเยี่ยมนัก แถมยังมีเพลิงอัคคีชนิดอื่นๆอีก ส่วนตาเฒ่าด้านนอกสองคนนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องไม่ย่อมปล่อยตนเองไปแน่ๆ เมื่อเป็นเช่นนี้เพลิงสุวรรณพรางจึงยอมตกลงปลงใจ
เพลิงสุวรรณพรางกลายเป็นลำแสงไหลเข้าร่างหลิวหลีจากช่วงปลายนิ้วของนาง เพราะอีกฝ่ายเข้าหานาง ทำให้หลิวหลีชะงักนิ่งไป จากนั้นจึงรีบโคจรพลังเพื่อนำทางมันเข้าไปในเส้นลมปราณ มันจึงกลายเป็นเส้นลมปราณสีทองเจิดจ้าอย่างรวดเร็ว
สายอัสนีบาตฟาดลงที่เขาจิ่วหัว ดูเหมือนว่ากำลังจะมีบางสิ่งเกิดขึ้น
“มีคนทะลวงผ่านช่วงพลัง เหมือนจะเป็นวิบากอัสนีของช่วงปราณก่อนกำเนิด“ หลงเหวินเซวียนกล่าว ใครเป็นคนที่ทะลวงผ่านช่วงพลังได้กันนะ แต่หลงเหวินเซวียนไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะเป็นหลิวหลี เพราะเคล็ดวิชาของนางนั้นพิเศษเกินไป
“มีคนพัฒนาไปอีกแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นลูกหลานสกุลไหน” จ้านเฟิงอวี้พูดพลางมองท้องฟ้า
ทุกคนในเขาจิ่วหัวต่างแปลกใจสงสัย ใครกันนะเข้าสู่ช่วงปราณก่อนกำเนิด หากไม่ใช่คนในสกุลตนเอง ก็แปลว่าจะมีศัตรูตัวฉกาจถือกำเนิดขึ้น
……………………………………….