ตอนที่ 88 มรดกของหลิงเซียว?

I’M THE BOSS ลูกพี่หุ่นเทวะ

ผู้อำนวยการมองกึ่งยิ้มกึ่งบึ้งไปที่พลโทสวีแวบหนึ่ง แววตาของเพื่อนสนิทที่ทอดมองมาทำให้ใบหน้าของพลโทสวีร้อนขึ้นเล็กน้อย เขาพูดอย่างกระอักกระอ่วนว่า “ฉันแค่เป็นห่วงลูกของหลิงเซียวไม่ใช่เหรอ? เลยลืมไปว่าที่นี่คืออาณาเขตของนาย นายจะไม่ได้จัดการไว้แล้วได้ยังไง ฉันหลับหูหลับตากังวลใจไปซะแล้ว”

“ห่วงลูกของหลิงเซียวก็เป็นเรื่องดี เอาอย่างนี้ละกัน นายมอบของที่หลิงเซียวฝากไว้กับนายมาให้ฉันสิ” รอยยิ้มของท่านผู้อำนวยการล้ำลึกขึ้นกว่าเดิม

พลโทสวีปฏิเสธทันทีโดยไม่ใคร่ครวญเลยสักนิดว่า “ไม่มีทาง ของที่หลิงเซียวฝากไว้กับฉันก่อนจะออกไปรบ มีความเป็นไปได้สูงว่ามันคือความลับของการเลื่อนระดับขึ้นเป็นผู้ควบคุมขั้นเทวะของเขา มันเป็นของสหพันธรัฐ เป็นของกองทัพเรา”

รอยยิ้มของท่านผู้อำนวยการเลือนหายไป “หลิงเซียวทิ้งข้อความไว้ให้ฉัน นั่นเป็นของทิ้งไว้ให้กับลูกของเขา เหล่าสวี อย่าล้ำเส้นมากเกินไปนัก หลิงเซียวสละชีวิตตัวเองเพื่อสหพันธรัฐแล้ว เราไม่สามารถทำผิดต่อเขา ทำผิดต่อลูกของเขาได้”

สีหน้าของพลโทสวีน่าเกลียดขึ้นเล็กน้อย เขาพูดเสียงหนักว่า “ดังนั้น ฉันถึงคิดหาทุกวิถีทางปกป้องเด็กคนนี้ไง ถึงขั้นยกระดับปกปิดความลับที่เกี่ยวกับเขา แล้วสุดท้ายก็มอบเด็กคนนี้มาให้นายคุ้มครอง นอกจากนี้ การไม่มอบของต่างหน้าของหลิงเซียวให้กับเขาก็เพื่อความปลอดภัยของเขาเอง มรดกของผู้ควบคุมขั้นเทวะ คือสิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างบ้าคลั่ง เด็กนั่นปกป้องของสิ่งนี้ไว้ไม่ได้หรอก”

“สวีถิงจู้! แกมันไอ้ชาติชั่ว!” ผู้อำนวยการตบโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนฉับพลัน เขาไม่รักษาความเยือกเย็นของเขาอีกต่อไป

“เยี่ยอีฝาน ใจเย็นหน่อย” พลโทสวีจ้องกลับไปด้วยความฉุนเฉียว พวกเขาต่างแยกย้ายกันอย่างไม่สบอารมณ์เพราะเรื่องนี้ทุกครั้ง

“ใจเย็น? ฉันใจเย็นมาพอแล้ว ฉันอดทนนายมาตั้งหกปี ตอนนี้เป็นเวลาที่เด็กคนนี้ต้องได้รับการสั่งสอนตั้งแต่แรกเริ่ม จะมีอาจารย์คนไหนที่คู่ควรไปกว่าผู้ควบคุมขั้นเทวะ? นั่นคือมรดกของหลิงเซียว!” ท่านผู้อำนวยการพูดด้วยความจริงจัง “นี่คือสิทธิ์ของลูกชายหลิงเซียว เขามีสิทธิ์ที่จะสืบทอดทุกอย่างที่เป็นของพ่อเขา”

“ฉันไม่ได้บอกว่าจะไม่ให้เด็กนั่นสืบทอดสักหน่อย ขอเพียงพวกเราถอดรหัสเสร็จ เราจะคัดลอกให้เขาหนึ่งชุด เขายังคงได้รับทุกอย่างที่เป็นของหลิงเซียว” พลโทสวีโกรธมากที่สหายเก่าของตนเข้าใจผิด เขาไม่ได้ปล้นชิงสิทธิของหลิงหลานเสียหน่อย เขาเพียงแต่หวังให้มรดกของหลิงเซียวสามารถหมุนเวียนใช้อยู่ในกองทัพ ถึงขนาดที่กลายเป็นมาตรฐาน จินตนาการได้เลยว่าเรื่องนี้จะสั่นสะเทือนได้ถึงขั้นไหน พลังยุทธ์ของสหพันธรัฐจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นแน่แท้ ถึงขั้นที่สร้างกำลังรบที่น่าหวาดกลัวขึ้นอย่างรวดเร็ว สยบประเทศศัตรูที่อยู่รอบๆ ได้ ควรทราบว่าหลิงเซียวเลื่อนระดับรวดเร็วที่สุดในสหพันธรัฐ และก็เป็นผู้ควบคุมขั้นเทวะที่อายุน้อยที่สุดด้วย

ผู้อำนวยการกล่าวเยาะหยันว่า “ผ่านมาหกปีแล้ว กองทัพของพวกนายถอดรหัสออกมาได้สักนิดไหมล่ะ?”

พลโทสวีเงียบไป สิบวินาทีให้หลัง เขาค่อยตอบอย่างหนักแน่นว่า “ฉันเชื่อว่า ผ่านไปอีกไม่กี่ปี พวกเราต้องถอดรหัสมันออกได้แน่ จะต้องได้มรดกของหลิงเซียวมาแน่นอน”

“เลิกหลอกตัวเองได้แล้ว พวกนายไม่มีวิธีจัดการกับของสิ่งนั้นแม้แต่น้อย” ถึงแม้ว่าผู้อำนวยการจะเป็นเพียงผู้อำนวยการของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะไม่ทราบพวกข่าวสารและความลับบางอย่างภายในกองทัพ

เมื่อถูกแฉอย่างไร้ไมตรี สีหน้าของพลโทสวีก็กระอักกระอ่วนลงเล็กน้อยอย่างเห็นได้ชัด

ผู้อำนวยการแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นความกระอักกระอ่วนของพลโทสวี ก่อนจะกล่าวต่อว่า “นี่ก็พิสูจน์แล้วว่า ของสิ่งนั้นถูกหลิงเซียวตั้งเงื่อนไขในการปลุกไว้ บางทีอาจจะมีเพียงผู้สืบทอดของเขาเท่านั้นที่ปลุกมันได้”

พลโทสวีได้ยินถ้อยคำเหล่านั้นก็ยิ้มขื่น อันที่จริงเขาเองก็รู้ว่านี่มีความเป็นไปได้สูงมาก แต่น่าเสียดายที่เขาไม่อาจล้มเลิกความตั้งใจได้ เขายังอยากสู้ต่อไป “ฉันทำเพื่ออนาคตของสหพันธรัฐ ขอเพียงสามารถถอดรหัสของสิ่งนั้นได้ ต่อให้เราไม่อาจมอบผู้ควบคุมขั้นเทวะให้กับสหพันธรัฐหนึ่งคน เราก็สามารถอบรมบ่มเพาะผู้ควบคุมระดับสูงขึ้นมากมายนับไม่ถ้วนให้กับสหพันธรัฐได้ ถ้าโชคดีหน่อย แม้แต่ผู้ควบคุมระดับราชันก็เป็นไปได้”

น้ำเสียงท่านผู้อำนวยการอ่อนลงเช่นกัน “เพราะฉะนั้นฉันเลยให้เวลานายหกปีไง ขอเพียงพวกนายถอดรหัสได้ ฉันก็จะทำสำเนาให้หลิงหลานหนึ่งชุด ก็นับว่าทำตามที่หลิงเซียวกำชับไว้แล้ว แต่ว่าพวกนายยังถอดรหัสไม่ได้ แต่ลูกชายหลิงเซียวเข้ามาที่สถาบันนี้อย่างเป็นทางการแล้ว ครึ่งปีให้หลังเป็นต้นไป เขาก็มีสิทธิเข้าสู่โลกเสมือนจริง รับการอบรมสั่งสอนตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว ฉันต้องมอบของต่างหน้าของหลิงเซียวให้กับเด็กคนนั้น จะหน่วงเหนี่ยวให้เขาเสียเวลาไม่ได้”

พลโทสวีกลับไม่ปริปาก “มอบให้เด็กคนนั้น แล้วเขาจะก้าวไปถึงขั้นไหนเชียว? ไม่มีลูกของผู้ควบคุมขั้นเทวะคนไหนที่สามารถทะลวงขีดจำกัดของผู้ควบคุมระดับสูงได้เลยสักคน ต่อให้ใช้ยาเป็นกองบ่มเพาะเขา การเลื่อนขั้นสู่ไพ่ราชาก็เป็นเรื่องที่ถึงขีดจำกัดแล้ว แต่ถ้าทิ้งมันไว้ในกองทัพ เมื่อถอดรหัสมันได้ เราก็จะมีไพ่ราชาจำนวนมหาศาล ถึงขนาดที่มีผู้ควบคุมขั้นราชัน! เหล่าเยี่ย ดูยังไงมันทิ้งไว้ในมือฉันก็มีประโยชน์กว่า ให้เวลาฉันอีกหน่อยเถอะ?”

ผู้อำนวยการพยายามข่มความโกรธเกรี้ยวในอกแล้วเอ่ยปากพูดว่า “ทั้งหมดนี้ต่างก็สร้างขึ้นบนพื้นฐานที่ว่าพวกนายสามารถถอดรหัสมันได้ ถ้าเกิดพวกนายถอดรหัสไม่ได้ชั่วชีวิตล่ะ? หรือถ้าหลิงเซียวตั้งค่าไว้แต่แรกแล้วว่า ถ้าไม่ใช่ทายาทของเขา ก็จะไม่สามารถได้รับมรดกของเขาไปได้ล่ะ? ฝืนถอดรหัสมันไป อาจจะถึงขั้นกระตุ้นให้มันลบข้อมูลทั้งหมดเองก็ได้  ถ้าเป็นอย่างนั้น พวกเราก็จะไม่ได้อะไรเลย ไม่เพียงเท่านั้น ยังทำให้ลูกของหลิงเซียวรับมรดกไม่ได้ด้วย พวกเราจะเห็นแก่ตัวขนาดนั้นไม่ได้”

พลโทสวีเป็นคนถือทิฐิอย่างมาก ปกติแล้วเมื่อเขาตัดสินใจเรื่องใดไปก็ย่อมไม่เปลี่ยนความคิดง่ายๆ ต่อให้สิ่งที่ผู้อำนวยการกล่าวมาอาจจะเป็นเรื่องจริง แต่เขาก็ยังคงไม่เห็นพ้องกับถ้อยคำของผู้อำนวยการอยู่ดี

ผู้อำนวยการจนปัญญาเล็กน้อย เขาเองรู้นิสัยของเพื่อนสนิทดีเช่นกัน หลักๆ แล้วเป็นคนทานอ่อนไม่ทานแข็ง[1] เขาคิดวิธีประนีประนอมขึ้นมาได้ ดังนั้นก็เลยกล่าวว่า “เหล่าสวี พวกเราลองเปลี่ยนวิธีก็ได้นี่ ในเมื่อตอนนี้กองทัพของพวกนายถอดรหัสไม่ได้แล้ว ก็วางมันไว้ในโลกเสมือนจริงของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือก่อนสิ พวกเราเปิดให้เด็กทุกคนก็ได้ ให้พวกเด็กๆ ไปท้าทายดู บางทีเราอาจจะได้รับสิ่งที่คาดไม่ถึงก็ได้นะ นายควรจะรู้ว่าวิธีการที่เด็กคิดนั้นสร้างสรรค์ไร้ขีดจำกัดมาก ผู้ใหญ่อย่างเราไม่อาจจินตนาการได้เลย”

“นอกจากนี้ การซ่อนของสิ่งนี้ไว้ในหมู่ภารกิจเปิดทั้งหลาย ฉันเชื่อว่าไม่มีใครนึกได้หรอกว่านั่นเป็นมรดกของหลิงเซียว ต่อให้ลูกของหลิงเซียวได้มรดกไปจริง ๆ ก็ไม่น่ามีอันตรายใด ๆ”

ปิดฟ้าข้ามทะเลเหรอ?  พลโทสวีขบคิดกับตัวเองอย่างลับๆ ใคร่ครวญผลได้ผลเสียในนี้ เมื่อเห็นว่าพลโทสวีหวั่นไหวอยู่บ้าง ท่านผู้อำนวยการก็ตัดสินใจเติมเชื้อให้กับไฟ เขาตบบ่าพลโทสวีแล้วพูดว่า “เหล่าสวี อย่าลืมนะ เด็กๆ ถึงจะเป็นอนาคตของสหพันธรัฐ ไม่ว่าใครได้มรดกของหลิงเซียวไป สหพันธรัฐของเราก็มีแต่ได้ไม่มีเสีย”

ในที่สุดพลโทสวีก็ถูกโน้มน้าวแล้ว แต่เขาก็ยังยื่นเงื่อนไขมาหนึ่งข้อ “ของสิ่งนั้นจะต้องอยู่ภายใต้การเฝ้าดูแลของเรา”

เช่นนี้ ไม่ว่าใครจะได้มรดกไป พวกเขาก็ยังสามารถได้รับข้อมูลผู้สืบทอดได้ทันที หลังจากหาอีกฝ่ายเจอแล้ว ก็ให้เขาบอกเนื้อหาของมรดกออกมา ทำให้สหพันธรัฐมีปัจจัยที่จะแข็งแกร่งขึ้นได้

ท่านผู้อำนวยการคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วตกลง แต่เขาก็ยื่นข้อเรียกร้องว่า ถ้าหากยังไม่มีคนถอดรหัสได้ เจ้าหน้าที่เฝ้าดูแลจะไม่สามารถติดต่อสื่อสารอย่างเป็นส่วนตัวกับโลกภายนอกสถาบันได้ พูดอีกอย่างคือ ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ พวกเขาจะต้องอยู่อย่างสงบภายในสถาบันในฐานะอาจารย์ อย่าก่อเรื่องวุ่นวายเด่นสะดุดตา

พลโทสวีเองก็ตกลง ถึงยังไงพอเจ้าหน้าที่เฝ้าดูแลของพวกเขามาถึงสถาบันศูนย์กลางลูกเสือแล้ว ยังไงก็ต้องทำตามเจ้าบ้านถึงจะสมเหตุสมผล

พวกเขาทั้งสองตกลงเรื่องเวลารับมรดกของหลิงเซียว จากนั้นพลโทสวีก็ค่อยบอกลาและจากไป

เมื่อเห็นว่าพลโทสวีนั่งบนหุ่นรบจากไปแล้ว ท่านผู้อำนวยการค่อยพรูลมหายใจเบาๆ แล้วกล่าวอย่างแผ่วเบาว่า “ไอ้หนูหลิงเซียว ฉันทำได้แค่นี้ จะได้รับมรดกของนายได้หรือไม่ก็ต้องดูความสามารถของลูกชายนายแล้ว”

……………

หลิงหลานที่ประลองเสร็จแล้วไม่รู้เลยว่าในห้องผู้อำนวยการห่างจากเธอออกไปเพียงไม่กี่กิโลเมตร มีชายชราสองคนได้โต้เถียงกันอย่างดุเดือดเพื่อสิทธิ์ของเธอ ถึงขนาดที่มีกลิ่นอายของดินปืนอย่างมาก สุดท้ายผู้อำนวยการก็ช่วยคว้าโอกาสได้รับมรดกมาให้เธอในที่สุด

หลิงหลานลงจากสนามประลองก่อนจะถูกล้อมด้วยพวกฉีหลงสามคน ฉีหลงกระโจนเข้ามา แต่ก็ถูกหลิงหลานที่รักนวลสงวนตัวถีบออกไป เธอยังเป็นสาวเวอร์จิ้นนะ จะให้ผู้ชายเข้ามาสวมกอดมั่วๆ ได้เหรอ?

เนื่องจากอาการบาดเจ็บของอู่จย่งสาหัสอยู่บ้าง จำเป็นต้องนอนฟื้นฟูอยู่ในแคปซูลรักษาเป็นเวลาช่วงหนึ่ง ดังนั้นการประลองตัดสินอันดับสามและอันดับสี่จึงล่าช้าออกไปครึ่งชั่วโมงแล้วค่อยเริ่ม ส่วนการประลองของหลิงหลานกับฉีหลงจะเริ่มต้นหลังจากการประลองของอู่จย่งกับหลี่อิงเจี๋ย

พวกหลิงหลานสี่คนกำลังเตรียมตัวไปพักผ่อนที่ด้านข้างก่อน แต่ยังไม่ทันเดินไปได้หลายก้าว หลิงหลานก็สัมผัสได้ถึงแรงดูดที่แสนเผด็จการมาจากมิติการเรียนรู้

ให้ตายเถอะ มาอีกแล้ว หน้าผากของหลิงหลานหลั่งเหงื่อเย็นๆ ออกมา พยายามต้านทานแรงดึงดูดอย่างสุดชีวิต

ตอนนี้เธอคิดไม่ออกอยู่บ้างว่าทำไมไอ้ปรากฏการณ์ชักนำมั่วซั่วของมิติการเรียนรู้ถึงได้เกิดขึ้นอย่างไร้ที่มาที่ไปตอนกลางวันแสกๆ แบบนี้นะ? ควรรู้ไว้ว่าก่อนหน้านี้มันจะเกิดขึ้นตอนที่เธอพักผ่อนในเวลากลางคืนเท่านั้น

หลิงหลานรู้ว่าตัวเองอดทนได้ไม่นาน เธอจึงคว้าฉีหลงแล้วพูดว่า “ฉีหลง ฉันรู้สึกไม่ค่อยดีนัก รีบพาฉันไปที่แคปซูลรักษาเร็ว”

เนื่องจากฝืนต่อต้านแรงดูด สีหน้าของหลิงหลานจึงซีดเผือดอย่างยิ่ง นี่ทำให้พวกฉีหลงกังวลใจมาก

หานจี้จวินส่งสัญญาณให้ฉีหลงรีบประคองหลิงหลานไปที่แคปซูลรักษาพลางเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงว่า “ลูกพี่หลาน การเร่งความเร็วของนายก่อนหน้านี้ทำให้ร่างกายเกิดความเสียหายเหรอ?”

หลิงหลานกำลังติดขัดเรื่องไม่มีข้ออ้างมาอธิบายสภาพแปลกประหลาดของเธอ ไม่นึกเลยว่าหานจี้จวินจะส่งข้ออ้างที่แสนเพอร์เฟคมาให้เธอเอง เธอพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว นั่นเป็นการเร่งความเร็วที่อาศัยการยืมพลังงานของร่างกายถึงจะสามารถทำได้ ดังนั้นปกติแล้วฉันจะไม่ใช้มัน แต่ว่าขอเพียงไม่ยืมพลังงานมากเกินไป มันก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่มากนักหรอก ขอแค่แค่นอนอยู่ในแคปซูลรักษาสักพักก็ฟื้นฟูกลับมาได้แล้ว”

คำตอบของหลิงหลานทำให้พวกฉีหลงสามคนวางใจ ฉีหลงก็นึกถึงเรื่องสำคัญที่สุดขึ้นมาได้ก็เอ่ยปากถามว่า “งั้นอีกเดี๋ยว ตอนที่ประลองกับฉัน ลูกพี่จะตามมาทันหรือเปล่า?”

หลิงหลานยิ้มฝืดเฝื่อน เธอเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกอาจารย์ในมิติการเรียนรู้จะรั้งเธอไว้นานเท่าไหร่ บางทีมันอาจจะแค่ไม่กี่นาที แต่ก็อาจจะเป็นหนึ่งวัน หรือถึงขนาดหลายวันหลายคืนก็ได้ หลิงหลานที่ไม่สามารถยืนยันได้แน่ชัดก็เลยได้แต่กล่าวอย่างคลุมเครือว่า “นี่ก็ต้องดูว่าคราวนี้ฉันยืมพลังมาเท่าไหร่ ถ้าแค่นิดเดียวไม่กี่นาทีก็ฟื้นฟูกลับมาได้ แต่ถ้ามาก ฉันก็อาจจะตามไปแข่งรอบชิงชนะเลิศไม่ทัน”

ถ้อยคำของหลิงหลานทำให้ฉีหลงซึมกะทือในทันที เดิมทีเขายังตื่นเต้นที่จะได้ต่อสู้กับลูกพี่หลาน

หลิงหลานเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมว่า “ฉีหลง ไม่ว่าสถานการณ์ตอนนั้นจะเป็นยังไง นายก็ต้องยืนหยัดต่อไปนะ จะทำให้ปีหนึ่งห้องเอของเราขายหน้าไม่ได้”

ฉีหลงได้ยินคำพูดนี้ก็อึ้งไป ไม่รู้ว่าที่หลิงหลานพูดมาหมายความว่าอะไรกันแน่

หานจี้จวินกลับฟังเข้าใจ เมื่อเห็นฉีหลงทำหน้างุนงงก็รีบอธิบายว่า “ลูกพี่หลานหมายความว่า ถ้าเกิดสุดท้ายนายเป็นตัวแทนของปีหนึ่งห้องเอไปท้าประลองกับชั้นปีสูงกว่า นายจะทำให้พวกเราห้องเอขายหน้าไม่ได้เด็ดขาด”

ฉีหลงเข้าใจแล้ว เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาเข้าใจแล้ว “วางใจเถอะ ฉันคือน้องแมลงสาบที่ตีไม่ตายนะ!”

ถึงแม้ว่าฉีหลงจะไม่รู้ว่าน้องแมลงสาบที่หลิงหลานพูดมาคืออะไร แต่เขาชอบคำว่าตีไม่ตายมากๆ คิดว่ามันเข้ากับภาพลักษณ์ของเขาเป็นพิเศษ

หลิงหลานอดหัวเราะไม่ได้ แน่นอนว่าความหมายของการหัวเราะของเธอมีเพียงตัวเธอเท่านั้นที่เข้าใจ อย่างไรก็ตาม เธอหัวเราะได้ไม่นาน สีหน้าก็เปลี่ยนเป็นซีดเผือดมากยิ่งขึ้น พลังงานที่มิติการเรียนรู้ดึงจิตสำนึกของหลิงหลานค่อยๆ รุนแรงมากขึ้น จนหลิงหลานแทบต่อต้านไม่ไหว สลบลงไปตรงนั้นเลย

เมื่อเห็นสีหน้าของหลิงหลานซีดเผือดยิ่งกว่าเดิม พวกฉีหลงสามคนก็ไม่กล้าพูดอะไรที่ส่งผลกระทบต่อหลิงหลานอีก พวกเขารีบรุดไปที่แคปซูลรักษาที่หอต่อสู้จัดไว้ให้นักเรียนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บโดยเฉพาะ

ลั่วล่างรีบเปิดแคปซูลรักษาที่ยังว่างอยู่ ฉีหลงกับหานจี้จวินประคองหลิงหลานนอนลงไป หลิงหลานเอ่ยฝากฝังได้ทันแค่ประโยคเดียวก็ต่อต้านแรงดูดที่รุนแรงเพิ่มขึ้นไม่ได้อีกต่อไปก่อนจะสลบไปโดยสิ้นเชิง

ฉีหลงเห็นหลิงหลานหลับตาเข้าสู่สภาวะสลบไสล พวกเขาก็ปิดแคปซูลรักษาลงช้าๆ มองดูน้ำยารักษาปกคลุมทั่วทั้งตัวหลิงหลานไว้ ใบหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความกังวล แต่ตอนนี้พวกเขาก็ทำได้เพียงเฝ้าดูเขาเท่านั้น ไม่สามารถช่วยเหลือหลิงหลานได้เลย ได้แต่อดทนรอให้หลิงหลานฟื้นตัวกลับมาเท่านั้น พวกเขาได้แต่หวังว่าช่วงเวลานี้มันจะเร็วขึ้นมากพอ

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายหลิงหลานก็ตื่นขึ้นมาไม่ทัน ขาดการประลองรอบสุดท้ายไป เท่ากับว่าสละสิทธิ์ยอมแพ้

ฉีหลงกลายเป็นอันดับหนึ่งของปีหนึ่งห้องเอ และได้รับสิทธิ์ท้าประลองกับอันดับหนึ่งจากห้องเอชั้นปีสูงกว่า นี่ก็คือการท้าประลองข้ามชั้นที่ปีที่นักเรียนทุกคนต่างตื่นเต้น

การท้าประลองข้ามชั้นจะเริ่มขึ้นในวันพรุ่งนี้ ภายในหอต่อสู้จะมีลานประลองเพียงแห่งเดียวเท่านั้น ให้ชั้นปีที่ต่ำกว่าท้าประลองขึ้นไปทีละขั้นจนกว่าจะแพ้แล้วค่อยหยุด แน่นอนว่าเขาสามารถเอาชนะต่อไปเรื่อย ๆ จนถึงรอบสุดท้ายได้ เมื่อขึ้นสู่อันดับสูงสุดได้อย่างราบรื่นก็จะกลายเป็น NO. 1 ที่แท้จริงของสถาบันศูนย์กลางลูกเสือ

อย่างไรก็ตาม ในใจพวกเด็กปีหนึ่งห้องเอต่างรู้ดีว่าหลิงหลานถึงจะเป็นอันดับหนึ่งที่แท้จริง เป็นราชาไร้มงกุฎของปีหนึ่งห้องเอ แม้แต่ฉีหลงเองก็เชื่อเรื่องนี้อย่างสนิทใจ

…………………………………….

[1] หวั่นไหวกับการโน้มน้าวมากกว่าการบีบบังคับ