บทที่ 84

ถังหยินหันหลังให้กับหยวนจี้ ก่อนจะหันมองไปยังสองพี่น้องฉางกวงด้วยหางตา เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย ชายหนุ่มก็อดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้ “พวกเจ้าไม่ต้องขอบคุณข้าหรอก ไปขอบคุณพี่ชายเจ้าเถอะ”

น้ำเสียงของเขาดูสุภาพ แต่เมื่อเทียบกับสีหน้าแล้วนั้น มันกลับคนละทางกันเลย ดวงตาของเขาขี้เกียจแม้แต่จะมองสองคนนี้ด้วยซ้ำ

หยวนอู่และหยวนเปียวพากันโกรธจัด พวกเขากัดฟันเสียแน่น ก่อนจะหันมามองหน้ากันด้วยแววตาที่กำลังคิดอ่านวางแผนบางอย่าง ทั้งสองต่างก็คิดจะล้างแค้นถังหยินในภายหลัง

เมื่อสัมผัสได้ถึงจิตสังหารจากทั้งสอง ถังหยินก็หัวเราะในใจ และหันมาพูดกับหยวนจี้ “สหายหยวนจี้ พวกเจ้าพาทั้งสองออกไปก่อนเถอะ”

“เป็นพระคุณอย่างยิ่งท่านถัง” หยวนจี้รู้สึกขอบคุณและก้มหัวให้จากใจจริง

ชายหนุ่มโบกมือให้ “ไม่จำเป็นต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้ ถ้าจะขอบคุณ ข้าคิดว่าคำดังกล่าวนั้นต้องยกให้เจ้าที่ช่วยเหลือกองทัพมาโดยตลอดน่าจะดีกว่า”

ความนอบน้อมของชายหนุ่มทำให้หยวนจี้นั้นอดที่จะประหลาดใจไม่ได้ เป็นเพราะตอนแรกนั้นเขารู้สึกว่าถังหยินเป็นคนที่หยาบโลน แต่เมื่อดู ๆ ไปแล้วมันคงจะไม่ใช่เช่นนั้น

ถังหยินมองหยวนจี้ที่มีสีหน้ามากมายและพูด “ที่ตกลงกันไว้ ข้าหวังว่าเจ้าจะทำตามที่ข้าต้องการ อย่าทำให้ข้าผิดหวังเสียละ เข้าใจไหม ? ”

ถึงแม้หยวนจี้จะขอบคุณถังหยินจากใจจริง แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะยอมทำตาม

ไม่ว่าถังหยินจะบริหารจัดการยังไง ตำแหน่งของเขาก็ไม่ง่ายที่จะถูกโค่นล้ม ทว่าเรื่องกิจการภายในนั้น มันกลับต้องใช้เวลามากทีเดียวเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดี ซึ่งต่างกับการทำผิดที่ง่ายกว่ามาก

ยิ่งสภาพในปัจจุบันที่มีทั้งปัญหาภายในและภายนอก มันจึงทำให้เรื่องการจัดการบ้านเมืองยากขึ้นนับ 10 เท่า มันยากยิ่งกว่าการจัดการกองทัพเสียอีก ตอนนี้ชีวิตของเขากำลังอยู่ในช่วงสุขสบาย ทำไมเขาถึงต้องไปหาเหาใส่หัวให้ชีวิตตัวเองต้องลำบากกัน ?

ในใจของเขา หยวนจี้เองก็ไม่อยากจะรับคำนี้สักเท่าไหร่ แต่เขาจะปฏิเสธทันทีมันก็กระไรอยู่ ดังนั้นเขาจึงประกบมือและก้มหัวให้ “แน่นอน ทันทีที่ข้ากลับไปข้าจะไตร่ตรองให้ดีพร้อมจะกลับมาให้คำตอบท่านในอีกสามวันข้างหน้า”

“ถ้างั้นข้าจะรอฟังข่าวดีนะ” ถังหยินยิ้มให้อย่างมั่นใจ

“ข้าขอตัวก่อนก็แล้วกันท่านถัง” หยวนจี้พูดอย่างสุภาพยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ตัวน้องทั้งสองกลับมาด้วย ก่อนที่พวกเขาจะออกจากจวนผู้ว่าไป

ทันทีที่สามพี่น้องออกไป ชิวเจิ้น ไป่หยง และคนอื่น ๆ ก็เข้ามาถามชายหนุ่มด้วยความฉงนในทันที “ทั้ง ๆ ที่กว่าจะจับทั้งสองได้นั้นมันยากลำบาก แล้วทำไมนายท่านถึงได้ปล่อยสองพี่น้องนั่นไปง่าย ๆ กัน ? ”

“ถูกต้อง พวกมันเลวทรามขนาดไหนท่านก็รู้ พวกมันคงจะหาโอกาสล้างแค้นท่านในอนาคตแน่ ! ”

“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าหยวนจี้คุมสองคนนั้นไม่อยู่ แล้วพวกเขากลับไปเป็นโจรอีกล่ะ ? ”

ด้วยประโยคนี้ จึงทำให้ทุกคนพากันไม่พอใจ

ถังหยินไม่ได้สนใจ เขาหัวเราะออกมา และเมื่อพวกเขาพูดกันจนหมด ชายหนุ่มก็กล่าวขึ้นมาบ้างว่า “สิ่งที่พวกเจ้าพูดมามันก็ถูก หยวนจี้ไม่มีทางควบคุมสองคนนั้นได้หรอก พวกเขาจะต้องกลับมาล้างแค้นแน่ ที่ข้าคิดว่าเร็วที่สุดก็คือพวกมันจะมาหาข้าคืนนี้เลย ! ”

ชายหนุ่มนั้นเคยเป็นเด็กกำพร้ามาก่อน ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าโลกมนุษย์นั้นอันตรายขนาดไหน หยวนอู่และหยวนเปียวต่างก็เกลียดเขาจับใจด้วยเพราะโดนเหยียดหยามครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาไม่คิดแม้แต่จะปิดบังสีหน้าและความต้องการที่จะแก้แค้นเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นแล้ว ยังไงพวกเขาก็ต้องตามมาล้างแค้นแน่

สีหน้าชายหนุ่มนั้นดูผ่อนคลาย ทว่าทุกคนที่ได้ยินต่างก็พากันตื่นตระหนก “คืนนี้หรือ ? นายท่าน ถ้างั้นพวกเรายิ่งไม่ควรปล่อยมันไปเช่นนี้ ! ”

ชายหนุ่มหัวเราะ “ถ้าพวกเราไม่ปล่อยไป แล้วแบบนี้ข้าจะได้คำสัญญาของหยวนจี้หรือ ? เพียงข้ามคืนนี้ไปข้าก็จะได้ตัวเขามาใช้งานแล้ว ! ”

ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็ประหลาดใจ ปกติแล้วพวกเขาคิดว่าถังหยินจะบีบให้หยวนจี้เข้ามา แต่ไม่คิดเลยว่าถังหยินจะวางแผนซ้อนแผนหยวนเปียวและหยวนอู่เอาไว้ขนาดนี้

หยวนอู่และหยวนจี้ ทั้งสองพี่น้องนั้นเป็นผู้ชำนาญการใช้พลังยุทธ์ ถ้าพวกเขาสามารถนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ได้ก็จะดีมาก ซึ่งมันก็ติดอยู่แค่ว่าทั้งคู่นั้นดื้อด้านและเย่อหยิ่งจนเกินไป

ในเมื่อเขาปล่อยทั้งคู่ไป ดังนั้นแล้วชายหนุ่มก็ต้องย่อมรู้ดีว่าอีกฝ่ายจะต้องกลับมาล้างแค้นแน่ ซึ่งเขาก็ได้วางแผนจัดการเอาไว้เรียบร้อยแล้ว

ถังหยินฉลาดมาก และเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว เมื่อเขาคิดอะไรจริงจังจะน่ากลัวมากทีเดียว

เมื่อเห็นทุกคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร เขาก็หัวเราะออกมา “ต่อให้พวกฉางกวงย้อนกลับมาบุกที่นี่จริง ๆ พวกเราก็ไม่มีอะไรต้องกลัวไปหรอก เพราะข้าได้วางแผนเอาไว้เรียบร้อยแล้ว”

จากนั้นเขาก็อธิบายแผนการทั้งหมด

ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็ตะลึงและหัวเราะออกมา ทั้ง ๆ ที่แผนของถังหยินนั้นฟังดูเรียบง่าย ทว่ามันก็ดูจะใช้ได้ผลจริง ๆ

ชิวเจิ้นปรบมือให้ “ข้าว่าแผนนี้ใช้ได้ ! ถ้าสองคนนั้นกลับมาจริง ๆ พวกเขาก็จะถูกจัดการได้อย่างง่ายดาย ดีมาก นี่มันเยี่ยมมากจริง ๆ ”

ทุกคนพยักหน้าและยิ้มออกมา

ไป่หยงถามอย่างกังวล “แล้วทำแบบนี้จะไม่อันตรายหรือ ? ”

ถังหยินโบกมือและหัวเราะ “ไม่ต้องกังวลไป สองพี่น้องนั่นอยู่แค่ระดับปราณบรรพกาล มันไม่ยากเลยที่จะจัดการพวกเขา”

“ขอรับ ! ” ไป่หยงพยักหน้าให้ “ข้าจะทำตามแผนของท่าน”

“แล้วคนอื่นล่ะ ไม่มีใครคัดค้านใช่ไหม ? ”

ทุกคนพากันส่ายหัว

ถังหยินหัวเราะ “เอาล่ะ” เขามองไปยังซ่งเฉิงและฉินฟางฟาง “ครั้งนี้จะเป็นงานของพวกเจ้า จงไปเตรียมตัวให้ดี ระวังอย่าให้ใครจับได้เสียก่อนล่ะ”

“รับทราบ” ซ่งเฉิง กับ เฉินฟางลุกขึ้นรับคำสั่ง

เมื่อได้ข้อสรุป ถังหยินก็เปลี่ยนหัวข้อพูดคุยไปสู่กิจการกองทัพ

“พวกเรามีหน่วยสอดแนมหรือเปล่า ข้าอยากจะติดตามข่าวสารเกี่ยวกับพวกมอร์ฟีสบ้าง ? ”

จางโจวและไป่หยงมองหน้าและส่ายหัว

ถังหยินไม่เข้าใจ

ไป่หยงอธิบาย “พวกเรามีหน่วยสอดแนม ทว่าก็ไม่มีใครกล้าที่จะเข้าไปในเขตของพวกมอร์ฟีส”

“ทำไมล่ะ ? ”

“มันกว้างเกินไป อีกทั้งพวกเราก็ไม่รู้เกี่ยวกับภูมิประเทศแถวนั้น ถ้าส่งออกไปก็อาจจะไม่ได้ตัวพวกเขากลับมา”

ถังหยินส่ายหัว “พวกมอร์ฟีสรู้ทุกการกระทำของพวกเรา แต่พวกเราไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับมัน รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง ทว่าถ้าเป็นเช่นในตอนนี้ แล้วเราจะเอาชนะพวกเขาได้ยังไงกัน ? ”

ทุกคนขมวดคิ้วและเห็นด้วยกับชายหนุ่ม พวกเขาประหลาดใจเล็กน้อยเพราะดูเหมือนว่าถังหยินจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับการสงครามเลย แต่เขากลับพูดสำนวนแบบนั้นออกมาได้

ไม่มีใครรู้หรอกว่าในโลกที่ถังหยินอยู่คำพูดนั้นถูกใช้จนกลายเป็นคำธรรมดาไปแล้ว

ถังหยินพูดต่อ “ข้าต้องการที่จะเข้าถึงทุกการเคลื่อนไหวของพวกมอร์ฟีส และไม่ใช่แค่นั้น ข้าต้องการที่จะเพิ่มระดับความรวดเร็วของการส่งข่าวสารขึ้นไปอีกขั้น ในสถานการณ์ที่อันตรายแบบนี้ มีแต่ต้องเร็วกว่าเท่านั้นถึงจะรอดได้”

เขามาจากโลกปัจจุบันและเคยเป็นนักฆ่ามาก่อน ดังนั้นชายหนุ่มจึงรู้ทุกอย่างที่เกี่ยวกับการสงครามดี และสิ่งสำคัญที่สุดก็เห็นจะเป็นหน่วยข่าวกรองนี่แหละ เพราะมันเหมือนกับหูตาของกองทัพ ถ้าไม่มีมันก็เท่ากับว่าทั้งกองทัพหูหนวกตาบอด ไม่ว่าจะฝีมือเก่งกาจแค่ไหน แต่ถ้าไม่มีมัน ทุกอย่างก็ไร้ค่า

จางโจวและไป่หยงเริ่มจริงจัง “นายท่าน พวกเราจะรีบจัดการฝึกกองสอดแนมทันที ! ”

ถังหยินโบกมือ “แค่กองที่มีตอนนี้ก็เพียงพอแล้ว”

ทางที่ดีที่สุดก็คือการจัดตั้งหน่วยข่าวกรองอิสระภายใต้การบัญชาการของเขา เครือข่ายข่าวกรองจะต้องมีกองทหารสามกองและมีไม่เกิน 50 คนในแต่ล่ะกองเพื่อความคล่องตัว

เมื่อคิดได้แบบนี้เขาก็มองไปรอบ ๆ

ชิวเจิ้นเป็นคนเจ้าเล่ห์ แต่ก็รักความสบาย ทำให้เขาไม่เหมาะกับงานแบบนี้ จางโจว ไป่หยงเองก็เป็นแม่ทัพและมีหลายอย่างต้องจัดการในกองทัพ จึงทำให้พวกเขายุ่งเกิดกว่าจะจัดการเรื่องพวกนี้ และถึงแม้ว่ากู่เยว่ หลีเว่ย กับคนอื่น ๆ จะมีความสามารถ แต่ทว่าก็ยังดีไม่พอ ท้ายที่สุดเขาก็มองไปที่หลีเทียน

หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ก็ไม่มีใครที่จะเหมาะสมกับตำแหน่งนี้ไปมากกว่าหลีเทียนอีกแล้ว

เขาเป็นนักธนูที่มากไปด้วยเทคนิคและการระวังภัย การตอบสนองของเขาเองก็อยู่ในระดับที่สูง ไม่ว่าจะเป็นอะไรเขาก็สามารถตั้งรับได้อย่างทันท่วงที เมื่อคิดได้แบบนี้ รอยยิ้มก็ปรากฏบนใบหน้าของถังหยิน เขาพูดออกไปว่า “ข้าอยากจะจัดตั้งหน่วยข่าวกรองอิสระขึ้นมา ! ” จากนั้นก็มองไปยังหลีเทียน “หลีเทียน เจ้าเหมาะที่จะเป็นหัวหน้ากองนี้ที่สุดแล้ว เจ้าคิดว่างั้นไหม ? ”

หลีเทียนตะลึงและยืนขึ้นอย่างไม่ลังเล “ข้าน้อยพร้อมรับคำสั่ง ! ”

ตั้งแต่ที่พวกเขามายังปิงหยวน หลีเทียนเองก็เหมือนกับกู่เยว่และทุกคน แม้ว่าจะอยู่ข้างถังหยินทุกวัน แต่มันก็เป็นเพียงแค่นั้น พวกเขาไม่ได้ทำงานอะไรที่เกี่ยวข้องกับการรบเลย ตอนนี้ถังหยินกำลังจะมอบหมายงานให้เขาใหม่ แล้วทำไมเขาถึงไม่รับมันมาล่ะ ?

ถังหยินดีใจที่อีกฝ่ายรับคำง่ายแบบนี้ “หลีเทียน ตอนนี้ข้าจะมีคนให้เจ้าก่อนเพียงเล็กน้อย ซึ่งเจ้าสามารถเพิ่มจำนวนคนได้มากสุด 5 ร้อยนายจากที่ไหนก็ได้ในกองทัพเท่านั้น ตราบเท่าที่เจ้าคิดว่าคนคนนั้นเข้าตา และไม่ว่าจะได้เรื่องอะไรก็ต้องรายงานมายังข้าก่อน เอาล่ะ เจ้าออกไปหาคนมาซะ”

ได้ยินแบบนี้ทุกคนก็สูดหายใจลึก ด้วยการจัดการแบบนี้ มันก็เท่ากับว่าหน่วยข่าวกรองนั้นมีความสำคัญเท่าเทียมกับกองอื่น ๆ เลยทีเดียว เห็นได้ชัดเลยว่าถังหยินไว้วางใจหลีเทียนมากแค่ไหน